บทที่ 532 สองมาตรฐาน…
หลังจากตื่นนอนตอนเที่ยงแล้ว เฉินชางก็เก็บของและอาบน้ำ แล้วตอนบ่ายไปซื้อเสื้อผ้ากับยัยขี้ประจบฉิน
ตอนบ่ายฉินเยว่แอบหนีออกจากแผนกไป เฉินชางได้แต่กลอกตามองบน
ตอนนี้เธอแทบจะไม่กลัวอะไรแล้ว “เธอโดดงานอีกแล้วเหรอ!”
ฉินเยว่มองเฉินชางอย่างจริงจัง “คิดให้ดีแล้วค่อยพูดใหม่!”
เฉินชางถอนหายใจ “ประสิทธิภาพการทำงานของเธอดีจริงๆ”
พอได้ยินแบบนี้ ฉินเยว่ถึงได้เผยรอยยิ้มออกมา ตอนนี้เธออยู่ในสถานะกึ่งลาออกแล้ว ไม่ค่อยสนใจแผนกฉุกเฉินเท่าไร แผนกศัลกรรมทั่วไปก็ไม่อยากได้ คนที่เตรียมสอบปริญญาเอกก็อยู่ท่ามกลางสภาพแวดล้อมแบบนี้
รับผิดชอบงานวิจัยของแผนกโดยเฉพาะ หัวหน้าแผนกหลี่เป่าซานนี่ก็ช่างคิดได้จริงๆ ที่เตรียมตำแหน่งแบบนี้ไว้ให้เธอ
ขณะที่มองยัยขี้ประจบฉินดีใจเพราะถูกตนปลอบอย่างขอไปที เฉินชางก็ถอนหายใจ
ผู้หญิงคนนี้ช่างตื้นเขินจริงๆ
แต่…ผู้ชายก็ดันชอบผู้หญิงที่ตื้นเขินแบบนี้!
เฮ้อ…ผู้ชายก็แบบนี้!
……
ฤดูใบไม้ร่วงอากาศปลอดโปร่ง เฉินชางไม่ได้ออกมาเดินซื้อของนานแล้ว ถนนการค้ายังคึกคักเหมือนเดิม
ฉินเยว่นำกระดาษใบหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเสื้อ “ไปค่ะ ไปซื้อเสื้อผ้ากัน!”
ขณะที่พูดก็ดึงเฉินชางเข้าไปในห้างสรรพสินค้า
“เธอเขียนอะไรไว้บนนั้น” เฉินชางสงสัย
“แผนการไงคะ” ฉินเยว่ตอบอย่างมีเหตุผล
“ไปซื้อเสื้อผ้าก่อน แล้วก็ไปทำผม จากนั้นก็ไปซื้อของขวัญ…”
เฉินชางมองกระดาษครึ่งหน้าของฉินเยว่แล้วขนหัวลุกนิดหน่อย เขารู้สึกว่าถ้าวันนี้ไม่ได้กินยาบำรุงพลัง ก็คงรายงานผลการปฏิบัติงานไม่ไหวเลย…
แต่พอคิดว่าต่อไปนี้ต้องทำการบ้านของยัยขี้ประจบฉินวันละห้าสิบนาที เฉินชางก็กลุ้มใจ ช่วงนี้ตัวเองต้องตีมอนสเตอร์ให้เยอะๆ หน่อยเพื่อดรอปยาบำรุงพลัง ยาบำรุงพลังอะไรพวกนั้น
ทางที่ดีควรดรอปหินเสริมแกร่งสักก้อน!
เฉินชางไม่ได้ช่างเลือกเสื้อผ้าอะไรมากมาย ใส่แบรนด์ไหนก็ได้ทั้งนั้น ขอแค่ใส่สบาย ดูแล้วสบายตาก็พอแล้ว
แต่ฉินเยว่สายตาดี ให้เฉินชางลองเสื้อผ้าไม่หยุด
ทุกครั้งที่ลองเสร็จ เธอก็ตาลุกวาว! ทำให้เฉินชางตัวสั่นทั้งที่ไม่ได้หนาว ไม่น่าเชื่อว่าจะรู้สึกขนลุกขนพอง
เหมือนหมาป่าสีเทากำลังจ้องแกะน้อยแสนสวย
พอออกมาจากร้านเสื้อผ้า เฉินชางก็มองฉินเยว่ด้วยสีหน้าจริงจังสุดๆ “บอกมาซะดีๆ คุณจ้องอยากได้ตัวผมมานานแล้วใช่ไหม!”
“คุณมั่นใจเกินไปแล้ว!” ฉินเยว่กลอกตามองเฉินชาง
เฉินชางพูดด้วยท่าทางดูถูก “เช็ดน้ำลายหน่อย พูดมาซะดีๆ!”
ฉินเยว่อึ้งทันที รีบเช็ดน้ำลายตัวเอง แต่พบว่าไม่มีน้ำลายไหล พอเธอรู้ว่าเฉินชางกำลังแกล้งเธอ เธอก็กระทืบเท้าอย่างหงุดหงิดทันที
ทั้งสองเดินห้างสรรพสินค้ากันทั้งบ่าย จนกระทั่งสองทุ่มถึงซื้อของเสร็จ บนตัวเฉินชางมีถุงใบเล็กใบใหญ่มากมาย ตรงไหนที่แขวนได้ก็แขวนหมด
……
……
ตอนกลางคืนกลับมาที่บ้าน ฉินเสี้ยวยวนกำลังอ่านหนังสืออยู่ในห้องหนังสือ จี้หรูอวิ๋นกำลังนอนมาส์กหน้าอยู่บนโซฟา ฉินเยว่เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วมาเอนกายลงบนโซฟา เธอมองแม่แล้วอดถามไม่ได้ว่า “คุณแม่คะ พรุ่งนี้หนูต้องกลับบ้านเกิดของเฉินชาง เป็นวันเกิดของแม่เขาค่ะ เขาไม่ได้กลับบ้านมาหลายปีแล้ว หนูบอกว่าครั้งนี้หนูจะกลับไปเป็นเพื่อนเขา”
จี้หรูอวิ๋นได้ยินแล้วงงไปชั่วขณะ แต่จากนั้นก็เข้าใจทันที “แม่ก็คิดอยู่ว่าทำไมสองวันนี้ลูกแปลกๆ ไป ลูกทำกับข้าวทุกวัน แม่ยังบอกพ่ออยู่เลยว่าลูกสาวเราโตแล้ว!”
“ที่แท้ลูกก็ทำเพื่อเอาใจแม่สามีนี่เอง! ฉินเสี้ยวยวน คุณออกมาดูลูกสาวคุณสิคะ!”
เสียงตะโกนดังขนาดนี้ ฉินเสี้ยวยวนก็ต้องเดินออกมาทันทีอยู่แล้ว พอได้ยินจี้หรูอวิ๋นพูดแบบนี้ก็รีบถามทันที “มีอะไรเหรอที่รัก”
จี้หรูอวิ๋นแสยะยิ้ม “ลูกสาวคุณเตรียมจะกลับบ้านเกิดพร้อมเฉินชาง”
เมื่อภรรยาพูดแบบนี้ ฉินเสี้ยวยวนแทบก็จะตอบอย่างไม่ลังเล “ไม่ได้ๆ!”
ฉินเยว่งงทันที “ทำไมไม่ได้ล่ะคะ ก็แค่กลับไปเยี่ยมคุณอาคุณน้า มีอะไรหรือเปล่าคะ”
“ไม่ใช่ บ้านของเสี่ยวเฉินรู้หรือเปล่าว่าเขาคบกับลูก แล้วอีกอย่าง…ทั้งสองคนก็ยังไม่ได้คบกันถึงขั้นนั้น ถ้าไปที่บ้านเขาแบบไม่ดูตาม้าตาเรือ…” ฉินเสี้ยวยวนกล่าว
ฉินเยว่ย่นจมูก “เฉินชางเคยเจอคุณพ่อกับคุณแม่แล้วไม่ใช่เหรอคะ เขาเองก็เริ่มชัดเจนกับหนูแล้ว หนูก็แค่ไปทำให้ชัดเจนกว่าเดิมไงคะ”
ฉินเสี้ยวยวนได้ฟังแล้วกระวนกระวายนิดหน่อย ถึงยังไงก็เป็นลูกสาวของตัวเอง เขาจึงเป็นห่วงมาก ในชีวิตมีตัวอย่างให้เห็นมากมาย ฉินเสี้ยวยวนพูดอย่างอดทนว่า “เยว่เยว่ หนูฟังพ่อนะ ถ้าหนูไปแบบนี้ บ้านเขาจะมองเรายังไงล่ะ…”
พอจี้หรูอวิ๋นได้ยินคำพูดหัวโบราณของฉินเสี้ยวยวนก็อดพูดไม่ได้ว่า “พอแล้วค่ะ เหล่าฉิน นี่มันยุคไหนแล้ว”
ฉินเสี้ยวยวนมองภรรยาตัวเอง “นี่…จู่ๆ ไปเข้าบ้านเขาแบบนี้ บ้านฝ่ายชายจะไม่ดูถูกเหรอ เมื่อก่อนคุณก็พูดกับผมแบบนี้นะ!”
จี้หรูอวิ๋นกลอกตา “พอแล้ว ความคิดหัวโบราณของคุณล้าสมัยไปนานแล้ว ใครบอกว่าผู้หญิงเข้าบ้านฝ่ายชายแล้วจะโดนดูถูก ใครจะมาดูถูกลูกสาวเราได้คะ!”
ฉินเยว่ยืดอกส่ายหน้า “ใช่ค่ะ หนูเคารพผู้อาวุโส จะโดนดูถูกได้ยังไงกัน”
ฉินเสี้ยวยวนมองจี้หรูอวิ๋น “ตอนนั้นที่ผมพาคุณไปบ้าน คุณก็บอกผมแบบนี้ไม่ใช่เหรอ”
จี้หรูอวิ๋นยิ้มเขินๆ “ยุคสมัยไม่เหมือนกัน แล้วอีกอย่าง คุณกับเสี่ยวเฉินก็ไม่เหมือนกัน ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้วค่ะ ตอนนี้ไม่มีใครพูดแบบนั้นแล้ว!”
เหล่าฉินได้ยินแบบนี้แล้วรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรม
ทำไมไม่ว่าเรื่องอะไร พอไปเทียบกับเฉินชางก็กลายเป็นไม่เหมือนกันแล้ว
แบบนี้สองมาตรฐานเกินไปแล้ว!
ฉินเสี้ยวยวนเห็นว่าตัวเองไม่มีโอกาสเถียงชนะ แต่ก็ยังอดพูดกับจี้หรูอวิ๋นไม่ได้ “คุณมานี่ มาคุยกับผมสักหน่อย”
พอพูดจบก็เดินไปที่ห้องนอน
จี้หรูอวิ๋นมองฉินเยว่แวบหนึ่ง “ไม่ต้องห่วงลูก แม่จะโน้มน้าวพ่อเอง”
ฉินเยว่โบกกำปั้นสื่อว่าสู้ๆ!
จี้หรูอวิ๋นมาถึงห้องนอนแล้วปิดประตู “เป็นอะไรไปคะเหล่าฉิน”
ฉินเสี้ยวยวนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วถอนหายใจ “ที่รัก คุณต้องคุยกับเยว่เยว่ให้ดีนะ ไป…ก็ไปได้ แต่ต้องระวังเรื่องบางอย่างไว้ด้วย”
“คุณลองคิดดูสิ ยกตัวอย่างเช่นหลังจากลูกไปที่นั่นแล้ว ตอนกลางคืนไม่ใช่ว่าพักอยู่ด้วยกันหรอกนะ ถึงยังไง…สองคนนั้นก็ยังไม่แต่งงาน คุณว่าผมพูดถูกไหม…
…ครั้งนี้ไม่ใช่แบบไปเช้าเย็นกลับด้วย ไม่ใช่แค่ค้างคืนเดียว แต่เธอคงไปสองวัน คุณต้องคุยกับเยว่เยว่ให้ดีนะ”
จี้หรูอวิ๋นเห็นฉินเสี้ยวยวนมีสีหน้ากลัดกลุ้ม ก็รู้เช่นกันว่าเขากังวลอะไร
ในฐานะคนเป็นพ่อ ก็ต้องคิดเผื่อลูกสาวไม่ใช่หรอกหรอ
เสี่ยวเฉินเป็นคนดี ฉินเยว่ก็ไม่ได้แย่ แต่จะมีใครคิดถึงในภายภาคหน้าบ้างไหม
แม้ความคิดของเขาจะคร่ำครึไปหน่อย แต่…เฮ้อ…
ช่างเถอะ ไม่พูดดีกว่า
จี้หรูอวิ๋นยิ้ม “เอาละ เหล่าฉิน ลูกสาวเราโตป่านนี้แล้ว คุณไม่ต้องควบคุมมากขนาดนั้นก็ได้ค่ะ แต่งงานมีลูกเร็วๆ ไม่ใช่เรื่องดีหรือไง…
…ฉันกำลังคิดว่า ครั้งนี้ให้เยว่เยว่ไปดูลาดเลาก่อน ถ้ามีโอกาสเมื่อไร เราสองครอบครัวค่อยมาเจอกัน ถือโอกาสกำหนดเรื่องแต่งงานให้เร็วขึ้น…
…ลูกสาวเราก็ไม่ใช่เด็กๆ แล้ว ทั้งยังอายุมากกว่าเสี่ยวเฉินหนึ่งปีด้วย ลูกอายุยี่สิบแปดแล้วนะคะ ตอนที่พวกเราอายุยี่สิบแปด เยว่เยว่อายุตั้งกี่ขวบแล้ว”
ฉินเสี้ยวยวนถอนหายใจ ใช่ว่าเขาจะไม่รู้เรื่องนี้ เป็นเพราะอยู่ที่โรงพยาบาลนานเกินไป เห็นความเป็นไปของโลกนี้มาเยอะมาก บางครั้งเวลาจะทำอะไรก็ต้องพิจารณามากขึ้นหน่อย
ถ้าเรื่องเกิดกับคนอื่นคงพูดง่าย บอกเพียงว่ายุคสมัยเปลี่ยนไปก็สิ้นเรื่องแล้ว แต่พอเรื่องนี้เกิดขึ้นกับตัวเอง ก็ไม่ได้พูดง่ายอย่างนั้นแล้ว