ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า – ตอนที่ 462 เขย่าขวัญ

ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า

ตอนที่ 462 เขย่าขวัญ

หยวนฟางถือมีดคู่ยืนประชิดตัวหนิวโหย่วเต้า กวาดตามองไปรอบๆ อย่างหวาดกลัว

พอเห็นอสูรปีกขาวที่ชักกระตุกอยู่บนพื้น ก่วนฟางอี๋ลดเสียงลงพลางเอ่ยด้วยความโกรธว่า “ยังไม่หนีอีก เจ้าบ้าไปแล้วหรือ?”

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “สายไปแล้ว!”

มีเสียงประหลาดแว่วมาจากรอบทิศทาง ‘มนุษย์’ ที่มีรูปลักษณ์แปลกประหลาดทยอยปีนป่ายโผล่ออกมาจากด้านหลังต้นไม้หรือว่าก้อนหินตัวแล้วตัวเล่า เพียงครู่เดียวก็มีอสูรผีเสื้อโผล่ออกมาหลายสิบตัวแล้ว แต่ละตัวพากันจ้องมองมาที่พวกเขาด้วยสีหน้าดุร้ายโหดเหี้ยม ค่อยๆ กางปีกผีเสื้อด้านหลังออกมา

ในบรรดาปีกผีเสื้อที่กางออกมามากมาย ส่วนใหญ่เรืองแสงสีขาว มีแสงสีน้ำเงินอยู่หลายตัว แถมยังมีตัวที่แผ่แสงสีแดงออกมาตัวหนึ่งด้วย

อสูรโลหิต? ม่านตาก่วนฟางอี๋หดตัว ตวัดมือคีบยันต์อาคมออกมา “สารเลว รีบหนีได้แล้ว ยันต์อาคมในมือข้าน่าจะคุ้มกันพวกเราไปได้สักระยะ”

หนิวโหย่วเต้ากลับเหลือบมองไปทางหยวนกัง “ฝากเจ้าด้วย”

กรามของหยวนกังขยับเล็กน้อย กัดปลายลิ้นตัวเอง จากนั้นก็อ้าปากพ่นน้ำลายที่มีโลหิตปนเปื้อนออกมา สาดพ่นใส่ร่างหนิวโหย่วเต้าดั่งละอองหมอก หนิวโหย่วเต้าก็ยอมให้พ่นไป

หยวนฟางเองก็หลบไม่พ้นเช่นกัน

ก่วนฟางอี๋ที่กำลังตะลึงงันอยู่ก็ถูกพ่นน้ำลายปนโลหิตใส่หน้าเช่นกัน นางยกมือขึ้นเช็ดหน้าเล็กน้อย มือเปื้อนคราบเลือดจางๆ

เดิมทีนางคิดจะใช้พลังขจัดทิ้ง แต่พอเห็นว่าหนิวโหย่วเต้าปล่อยให้หยวนกังพ่นน้ำลายใส่ นางก็ตระหนักได้ว่าหยวนกังทำเช่นนี้ต้องมีเหตุผลแน่นอน จึงยอมปล่อยให้พ่นใส่หน้าไป

แต่พอนึกขึ้นได้ว่าสิ่งที่พ่นลงบนหน้าคือน้ำลายของหยวนกัง นางก็คลุ้มคลั่งขึ้นมาเล็กน้อยทันที นางเป็นสตรีที่รักสวยรักงามคนหนึ่ง จึงย่อมต้องรักความสะอาดไปด้วย นี่เป็นครั้งแรกที่ถูกคนพ่นน้ำลายใส่หน้าเช่นนี้ ยิ่งไปกว่านั้นคือถูกคนที่ตนเกลียดพ่นใส่หน้าด้วย นางรู้สึกขยะแขยงเป็นอย่างอย่างยิ่ง

แต่นางยังไม่ทันได้สอบถามเรื่องราวให้กระจ่าง อสูรโลหิตที่ดวงตาฉายแววโหดเหี้ยมที่ยืนอยู่บนก้อนหินตัวนั้นพลันอ้าปากแยกเขี้ยว เปล่งเสียงดัง “กี้ด” อย่างโกรธเกรี้ยว

อสูรผีเสื้อตัวอื่นที่กระจายตัวอยู่ตามพื้นที่ลุ่มดอนรอบข้างพากันบินพุ่งเข้ามา เข้าปิดล้อมโจมตี!

หนิวโหย่วเต้าที่กุมสองมืออยู่บนด้ามกระบี่สงบนิ่งเยือกเย็น แต่ทำให้คนรับรู้ได้ถึงความพร้อมรับมือที่อยู่ภายใต้ความสงบนิ่ง

สีหน้าและแววตาของหยวนฟางฉายแววประหม่าหวาดกลัวออกมาอย่างชัดเจน

นับตั้งแต่ออกจากวัดมาจนถึงตอนนี้ เขายังไม่เคยผ่านการต่อสู้ฆ่าฟันอย่างเป็นจริงเป็นจังมาก่อนเลย ยกตัวอย่างเช่นการต่อสู้นอกเมืองไจซิงเขาก็แค่หนีไปซ่อนตัว รอให้พวกหนิวโหย่วเต้าจัดการเรียบร้อยแล้วค่อยโผล่หน้ามา

ดังนั้นตอนนี้เขาจึงนึกเสียใจขึ้นมาเล็กน้อยแล้ว นึกเสียใจว่าไม่ควรรบเร้าอยากติดตามหนิวโหย่วเต้าออกมาเลย มีอะไรน่าเปิดหูเปิดตากัน เก็บตัวอยู่ในบ้านต่างหากถึงจะปลอดภัย โลกภายนอกอันตรายเกินไปแล้ว

ก่วนฟางอี๋ก็คีบยันต์อาคมในมือไว้แน่น ตั้งท่าพร้อมจะใช้ยันต์เพื่อทำการป้องกันอยู่ตลอดเวลา

หยวนกังถือดาบไว้ในมือ หันเข้าหาอสูรโลหิตที่อยู่บนก้อนหินตัวนั้น

แต่ภาพการโจมตีอันดุเดือดแบบที่หยวนฟางและก่วนฟางอี๋จินตนาการไว้กลับไม่เกิดขึ้น อสูรผีเสื้อที่พุ่งเข้ามาโจมตีหยุดลงกะทันหัน ปากสองข้างยืดกางออก พากันร่อนลงบนพื้นที่อยู่ห่างออกไปประมาณหนึ่งจั้ง ต่างค่อยๆ ถอยหลังไปด้วยสีหน้าหวาดกลัว ไม่รู้ว่ากลัวอะไรอยู่

ก่วนฟางอี๋ที่จิตใจกำลังตึงเครียดพลันประหลาดใจ นึกเชื่อมโยงไปถึงอสูรปีกน้ำเงินสามตัวที่จะเข้ามาโจมตีพวกเขาก่อนหน้านี้ก็เหมือนจะมีท่าทีเช่นนี้เหมือนกัน จากนั้นก็นำมาผนวกรวมกับการกระทำของหนิวโหย่วเต้าและหยวนกัง นางอดไม่ได้ที่จะหันไปมองหยวนกัง ในที่สุดก็ตระหนักได้แล้วว่าเหตุการณ์ผิดปกตินี้น่าจะเกี่ยวข้องกับหยวนกัง

พอเห็นว่าพรรคพวกถอยหนีไม่ยอมเข้าโจมตี อสูรโลหิตที่อยู่บนก้อนหินตัวนั้นโมโหขึ้นมา ชี้กรงเล็บไปทางพวกหนิวโหย่วเต้าอย่างโกรธเกรี้ยว เปล่งเสียง ‘กี้ด’ ดุดันออกมาอีกครั้ง น้ำเสียงเต็มไปด้วยเจตนาข่มขู่

อสูรผีเสื้อที่ถอยหลังออกไปเป็นวงหยุดนิ่งลง มีท่าทางกล้าๆ กลัวๆ ทั้งไม่กล้าเดินหน้าเข้าไปโจมตี แต่ก็ไม่กล้าถอยเนื่องจากหวาดกลัวอสูรโลหิต

พรึบ! เงาสีแดงพุ่งเข้ามา เมื่อเห็นว่าพรรคพวกไม่กล้าลงมือ ในที่สุดอสูรโลหิตก็ลงมือทำการโจมตีด้วยตัวเองก่อน

แต่พอมาถึงระยะห่างหนึ่งจั้งเท่ากัน การโจมตีของอสูรโลหิตก็เปลี่ยนทิศทางไป บินวนอ้อมรอบตัวคนทั้งกลุ่ม ตกอยู่ในสถานการณ์ที่เปลี่ยนทิศทาง ทว่าไม่ได้ถอยหนีไปเช่นเดียวกับอสูรผีเสื้อตัวอื่นๆ แถมยังส่งเสียงร้อง “กี้ด” ใส่พวกหนิวโหย่วเต้าด้วย ไม่เข้าใจว่าต้องการจะสื่ออะไร

หยวนกังที่ถือดาบพาดเฉียงๆ อยู่ในมือก้าวเท้าเดินออกไป เดินเข้าไปทางอสูรโลหิตทีละก้าวๆ บีบเข้าไปใกล้ขึ้นเรื่อยๆ

ฝ่ามือของหยวนฟางมีเหงื่อไหลซึมออกมาแล้ว พบว่าหยวนเหยี่ยก็คือหยวนเหยี่ย ช่างดุดันห้าวหาญเสียเหลือเกิน!

ก่วนฟางอี๋มีสีหน้าตกใจและสับสน

เมื่อหยวนกังเข้าไปใกล้ เท้าข้างหนึ่งของอสูรโลหิตก้าวถอยหลังไปทันที แต่ก็ชักกลับมาอย่างรวดเร็ว เพื่อแสดงว่าตนไม่ได้หวาดกลัว มันยืดคอร้อง “กี้ด” ใส่หยวนกังอย่างโกรธเกรี้ยว คล้ายว่ากำลังข่มขู่หรือเตือนไม่ให้หยวนกังเข้าไปใกล้มากกว่านี้

เมื่ออสูรโลหิตคำรามใส่ หยวนกังก็เปล่งเสียง “โฮก” ตอบกลับไป อารมณ์ที่แฝงอยู่ในเสียงทำให้คนรับรู้ได้ถึงโทสะอย่างชัดเจน

“กี้ด!” อสูรโลหิตคำรามออกมาอีกครั้ง สองปีกขยับกระพือ ชี้กรงเล็บไปทางอสูรปีกขาวที่ล้มอยู่ข้างๆ หนิวโหย่วเต้า คล้ายกำลังบรรยายอันใดอยู่ดฮณ๊ฯดฯฌซ,

หนิวโหย่วเต้าขมวดคิ้วเล็กน้อย พบว่าเรื่องราวมันไม่ได้เป็นไปตามที่ตนคาดการณ์ไว้ รู้สึกรางๆ ว่าหยวนกังไม่ได้มีอำนาจมากพอจะข่มอสูรผีเสื้อระดับอสูรโลหิตได้ จึงอดนึกเป็นห่วงหยวนกังขึ้นมาไม่ได้ ฝ่ามือที่วางทาบบนด้ามกระบี่ค่อยๆ กุมด้ามกระบี่ไว้แน่น

“โฮก…”

ประกายดาบส่องวาบ หยวนกังกุมดาบด้วยสองมือแล้วฟันออกไปอย่างกะทันหัน เสียงพยัคฆ์คำรามที่ระเบิดออกมาจากดาบราวกับอัสนีที่ผ่าลงมาจากฟากฟ้า สะเทือนจิตใจคน

อสูรโลหิตยกกรงเล็บสองข้างไขว้กันเหนือศีรษะเพื่อป้องกันทันที

กระแสลมโหมกระโชก ดาบสามคำรามหยุดนิ่งอยู่กลางอากาศ คมดาบเยียบเย็นอยู่ห่างจากกรงเล็บของอสูรโลหิตที่ยกขึ้นมาป้องไว้เพียงชุ่นเดียวเท่านั้น ไม่ได้ฟันลงไปอีก

อสูรโลหิตค่อยๆ คลายสองมือออก เงยหน้าขึ้นด้วยความตะลึงสับสน มองคบดาบที่หยุดนิ่งไม่ได้ฟันลงมา ร้อง “กี้ด” ใส่หยวนกังเบาๆ คล้ายจะยังไม่ยินยอม

“โฮก!” หยวนกังคำรามกลับไปอีกครั้ง ความโกรธเกรี้ยวที่แฝงอยู่ในเสียงตะคอกครั้งนี้ค่อนข้างรุนแรงอย่างเห็นชัด

อสูรโลหิตค่อยๆ ถอยหลังไปในทันใด หลังจากถอยออกไปสองสามก้าวก็หันหลังไป กระพือปีกบินขึ้นสู่อากาศพลางร้อง “กี้ด” ทีหนึ่ง กลุ่มอสูรผีเสื้อที่ปิดล้อมอยู่รอบข้างกางปีกโผบินออกไปทันที จากนั้นก็หุบปีกหายลับไปด้านหลังก้อนหินภายในชั่วพริบตา

หยวนกังถือดาบหันหลังกลับมา พยักหน้าให้หนิวโหย่วเต้าที่มองตนอยู่เล็กน้อย สื่อว่าจบเรื่องแล้ว

ก่วนฟางอี๋และหยวนฟางเรียกได้ว่าตกตะลึงตาค้างไปแล้วจริงๆ เหตุการณ์เมื่อครู่ทำให้คนทั้งสองมองจนเหม่อลอยไป สถานการณ์วิกฤตคลี่คลายลงเช่นนี้น่ะหรือ?

“หยวนเหยี่ย!” หยวนฟางพลันเดินเข้ามาหาหยวนกังด้วยรอยยิ้มประจบประแจง เรียกได้ว่าอ่อนน้อมจนหัวแทบโน้มลงไปแนบเอวแล้ว ท่าทางเคารพเทิดทูนหยวนกังเป็นอย่างยิ่ง ไม่เข้ากับรูปลักษณ์ทรงภูมิน่าเลื่อมใสของเขาเลย

พอได้ประสบเหตุการณ์นี้เข้า จิตใจและมุมมองที่เขามีต่อหยวนกังก็ถูกยกระดับขึ้นไปอีกขั้น หาเหตุผลมาปลอบใจตนเองที่มักจะกลายเป็นคนอ่อนแอเหยาะแหยะเมื่ออยู่ต่อหน้าหยวนกังได้แล้ว หยวนเหยี่ยทรงพลังแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ การที่ตนจะซื่อสัตย์อ่อนน้อมก็นับเป็นเรื่องสมควรแล้ว

“เจ้าตัวโต เจ้าเข้าใจภาษาของอสูรผีเสื้อหรือ?” ก่วนฟางอี๋ถามอย่างสับสนแปลกใจ

ในสายตาของนาง ภาพที่เห็นเมื่อครู่เหมือนเขากำลังสื่อสารกับอสูรผีเสื้ออยู่ไม่มีผิดเลย ตอนนี้นางพอจะเข้าใจแล้วว่าเหตุใดหนิวโหย่วเต้าถึงกล้าลงมา ที่แท้ก็เตรียมพร้อมมาแล้ว

“ไม่เข้าใจ” หยวนกังตอบห้วนๆ

ก่วนฟางอี๋ไม่เชื่อ “เมื่อครู่เจ้าสื่อสารกับอสูรโลหิตตัวนั้นอยู่ชัดๆ”

หยวนกังคร้านจะสนใจนาง ทั้งสองไม่ถูกกันมาโดยตลอด ไม่มีอะไรให้ต้องคุยกันดีๆ

หนิวโหย่วเต้าเองก็ไม่สามารถแสร้งทำเหมือนเมื่อครู่ไม่เคยเกิดอะไรขึ้นได้ เมื่อตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ เรื่องราวบางอย่างก็ต้องคุยกันให้กระจ่าง ก่อนหน้านี้เขาเข้าใจผิดไป

เรื่องราวที่เคยประสบจากปีศาจหิมะในภูเขาหิมะ เรื่องราวที่หยวนกังเล่าว่าเคยควบคุมราชาแม่งป่องทรายในทะเลทรายมาก่อน รวมถึงได้เห็นความกริ่งเกรงที่อสูรปีกน้ำเงินเหล่านั้นมีต่อหยวนกัง ทำให้เขาตระหนักได้ว่ากลิ่นอายของหยวนกังสามารถสะกดสัตว์ประหลาดทุกชนิดได้ ด้วยเหตุนี้ถึงได้กล้าตามศิษย์สำนักหมื่นสรรพสัตว์สามคนนั้นเข้ามาลึกขนาดนี้ เนื่องจากมีที่พึ่งพาอยู่แล้ว

แต่ภาพการเผชิญหน้ากับอสูรโลหิตเมื่อครู่นี้กลับดูเหมือนจะไม่ได้เป็นไปตามที่คิดไว้เสียทั้งหมด เขานึกๆ ดูแล้วก็รู้สึกหวาดหวั่นขึ้นมาเช่นกัน

แต่แน่นอน การที่เขากล้าเข้ามาเพราะยังมีอีกเหตุผลหนึ่ง นั่นก็คือยันต์อาคมของก่วนฟางอี๋ ดูเหมือนก่วนฟางอี๋จะมียันต์อาคมร้ายกาจติดตัวอยู่ไม่น้อย ไม่รู้ว่าในตัวสตรีนางนี้มีอาวุธร้ายกาจอะไรติดตัวเอาไว้บ้าง อีกอย่างเมื่อครู่ตอนก่วนฟางอี๋ตกอยู่ในความร้อนใจ นางก็เอ่ยออกมาเองว่ายันต์อาคมที่มีติดตัวพอจะปกป้องทุกคนไปได้ระยะหนึ่ง พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่านางมียันต์ที่ร้ายกาจติดตัวอยู่ไม่น้อย

นี่คือเหตุผลที่เขาพาก่วนฟางอี๋ไปด้วยทุกแห่งหน มีตัวช่วยชั้นดีขนาดนี้อยู่ หากไม่พาไปด้วยก็โง่แล้ว

“เจ้ามีวิธีสื่อสารกับอสูรโลหิตหรือ?” หนิวโหย่วเต้าก็ถามไปเช่นกัน

คำถามทำนองเดียวกัน แต่พอเปลี่ยนคนถาม ปฏิกิริยาตอบสนองของหยวนกังก็เปลี่ยนไปเช่นกัน เขาใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งถึงตอบออกมาว่า “ข้าก็ไม่ทราบเช่นกัน ก่อนหน้านี้ไม่ได้รู้สึกถึงอันใดเลย แต่ดูเหมือนจะค่อยๆ รับรู้ถึงอารมณ์ที่สัตว์ประหลาดเหล่านี้สื่อออกมาได้ ส่วนตัวข้าก็สามารถสื่ออารมณ์ของตนให้พวกมันรับรู้ได้เช่นกัน ส่วนเรื่องอื่นๆ ข้าเองก็ไม่รู้”

ก่วนฟางอี๋และหยวนฟางฟังแล้วงงงันไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจว่าเขาพูดเรื่องอะไรอยู่

หนิวโหย่วเต้ากลับพยักหน้ารับเงียบๆ เขารู้ดีว่าหยวนกังหมายถึงปราณเสริมแกร่งที่เขาฝึกฝน เมื่อฝึกฝนปราณเสริมแกร่งถึงระดับที่ลึกล้ำยิ่งขึ้น เหตุการณ์ผิดปกติบางอย่างก็ค่อยๆ ปรากฏขึ้นมา

เขาเองก็พอจะเข้าใจถึงความสับสนของหยวนกังได้ ไม่มีคนที่เคยผ่านประสบการณ์ด้านนี้คอยให้คำแนะนำหยวนกัง ไม่มีแม้แต่เบาะแสคำใบ้ใดๆ ทั้งนั้น ทุกอย่างล้วนเป็นหยวนกังที่ทำการวิเคราะห์ด้วยตัวเอง เบื้องหน้ามืดมนมองไม่เห็นเบาะแสใดๆ เรียกได้ว่าเป็นการเดินไปพลางหาคำตอบไปพลาง การที่จะเข้าใจได้ไม่กระจ่างก็เป็นเรื่องสมเหตุสมผล

แต่ความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับตัวหยวนกังก็ทำให้หนิวโหย่วเต้านึกสนใจในปราณเสริมแกร่งที่หยวนกังฝึกขึ้นมา สรุปแล้วปราณเสริมแกร่ง ‘ชือโหยวไร้อาณา’ นี้มีความเป็นมาอย่างไรกันแน่ หรือจะเกี่ยวข้องกับชือโหยวที่อยู่ในตำนานจริงๆ?

ในหัวหนิวโหย่วเต้าเริ่มใคร่ครวญถึงตำนานที่เกี่ยวข้องกับชือโหยวเล็กน้อย ชือโหยวที่อยู่ในตำนานนั้นมีภาพลักษณ์เป็นสัตว์ร้าย เมื่อได้สู้แล้วหากไม่ตายจะไม่ยอมเลิกรา ขอเพียงไม่ตายก็ยืนหยัดอยู่ได้ชั่วนิรันดร์ ดุดันห้าวหาญอย่างยิ่ง สามารถทำศึกต่อสู้กับเทพสวรรค์ได้!

เขาละวางความสงสัยในใจไว้ชั่วคราว สถานการณ์ในตอนนี้ไม่มีเวลาพอให้เขาค่อยๆ ขบคิดถึงเรื่องอื่นได้ เขาเอ่ยกับหยวนกังว่า “เจ้าลองไปทดสอบดูอีกครั้งหน่อย ดูว่าพอจะสื่อสารกับอสูรผีเสื้อเหล่านั้นได้อีกหรือไม่”

หยวนกังไม่เข้าใจ “สื่อสาร?”

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “แมงป่องในทะเลทรายเหล่านั้นเคยช่วยเจ้าไว้ไม่ใช่หรือ? ลองดูสักหน่อย กันไว้ดีกว่าแก้!”

หยวนกังพยักหน้ารับ เข้าใจเจตนาของเขา หันหลังเดินออกไป วิ่งไปในทิศทางที่อสูรผีเสื้อหายลับไป

หนิวโหย่วเต้าหันหลังไปหาอีกสองคนที่เหลือ “สารเลวสามคนนั้นของสำนักหมื่นสรรพสัตว์น่าจะไม่ได้คิดเพียงล่อพวกเรามาเจอเรื่องแบบนี้ ทำการใดมักจะต้องมีเป้าหมายเสมอ ถึงจะสังหารพวกเรา พวกเขาก็ต้องยืนยันว่าพวกเราตายจริงหรือไม่ ดังนั้นมีความเป็นไปได้สูงที่จะย้อนกลับมาอีก พวกเราไปหาที่รอพวกเขาเถอะ”

“เจ้ายังจะอยู่รอพวกเขาอีกหรือ?” สีหน้าก่วนฟางอี๋หมองคล้ำทันที “เจ้ายังคิดจะเอาคืนพวกเขาอยู่หรือ? ที่นี่เป็นอาณาเขตของสำนักหมื่นสรรพสัตว์ อย่าหาเรื่องเดือดร้อนใส่ตัวเลย เอาตัวรอดมาได้แล้วก็รีบหนีให้ไวดีกว่า ข้าไม่อยากตายไปกับเจ้าด้วย!”

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยว่า “เรื่องราวหาได้น่ากลัวอย่างที่เจ้าคิดไม่ หากว่าสำนักหมื่นสรรพสัตว์ต้องการลงมือกับพวกเราจริงสามคนจริงๆ พวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องมานั่งเสียเวลาครึ่งค่อนวันเลย ด้วยกำลังของสำนักหมื่นสรรพสัตว์แล้ว พวกเขาไม่มีความจำเป็นต้องค่อยๆ ล่อพวกเรามาที่นี่เพื่อลงมือเลย เรื่องนี้น่าจะไม่เกี่ยวข้องกับสำนักหมื่นสรรพสัตว์ ข้าต้องรู้ให้ได้ว่าสรุปแล้วทั้งสามคนต้องการทำร้ายข้าด้วยสาเหตุใด หากแม้แต่ศัตรูเป็นใครก็ยังไม่ทราบกระจ่างชัด นั่นต่างหากถึงจะเป็นอันตรายที่น่ากลัวที่สุด”

……………………………………………………

ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า

ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า

Status: Ongoing
ใต้หล้ากว้างใหญ่…จะลมก็ดี จะฝนก็ช่าง ไม่มีอะไรจะขวางข้าได้!นิยายแปลกำลังภายในเลือดเดือดร้อยเล่ห์กล พระเอกฉลาดมากไหวพริบ ฉากบู๊มันสะใจ!เมื่อปรมาจารย์แห่งการขุดสุสานผู้หลงใหลในการบำเพ็ญเพียรได้หลุดเข้าไปในยุคสมัยโบราณอันวุ่นวายเพราะไฟสงครามด้วยโชคชะตาวาสหนาหนุนนำ ทำให้เขาได้รับสุดยอดเคล็ดวิชาและต้องฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ นานา เพื่อสยบใต้หล้าเอาไว้ในกำมือ!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท