ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า – ตอนที่ 490 ตัดสัมพันธ์

ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า

ตอนที่ 490 ตัดสัมพันธ์

ว่ากันตามตรงคืออีกฝ่ายคิดว่าเจ้ามีค่ามากพอ

พอฟังมาถึงตรงนี้ ก่วนฟางอี๋พอจะเข้าใจขึ้นมาแล้ว เอ่ยถามไปว่า “เจ้าจะให้สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ไปอยู่ที่แคว้นเว่ย?”

หนิวโหย่วเต้าถอนหายใจ “เรื่องบางอย่างก่อนหน้านี้ดูเหมือนจะไม่มีช่องทางคลี่คลายได้ ยามนี้มีช่องทางก็สมควรจะตัดสินใจกันได้แล้ว ไปเถอะ ไปเชิญถังอี๋มา”

ทางนี้เรียกหา ถังอี๋ย่อมรีบมาทันที

ก่อนหน้านี้หนิวโหย่วเต้าบอกว่าเขาขอเวลาทบทวนสองสามวัน ทางสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ก็เฝ้ารอมาตลอด ไม่ได้มารบกวนอีก ยามนี้หนิวโหย่วเต้าเป็นฝ่ายเชิญมาก่อน คาดว่าคงตัดสินใจในขั้นสุดท้ายได้แล้ว ครั้งนี้แม้แต่ถังซู่ซู่ก็ตามมาด้วยกันหมด

เมื่อทั้งสี่คนมาถึง ภายในห้องพักมีสุราอาหารชั้นดีโต๊ะหนึ่งที่สั่งให้ทางโรงเตี๊ยมจัดเตรียมคอยท่า

“ทุกท่าน เชิญ!” หนิวโหย่วเต้าผายมือเชิญ

ทั้งสี่คนมองหน้ากันเหลอหลา นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นอีกฝ่ายยิ้มแย้มให้แก่ทางนี้ และเป็นครั้งแรกที่เห็นหนิวโหย่วเต้ารับรองอย่างเป็นกันเองเช่นนี้ แต่ก่อนพบหน้ากันคราใดไม่เคยมีสีหน้าดีๆ ให้เลย

ยิ่งเขาสุภาพ ทั้งกลุ่มก็ยิ่งไม่ค่อยสบายใจ

“เชิญนั่ง!” หนิวโหย่วเต้านั่งลงไปก่อน จากนั้นผายมือเชื้อเชิญอีกครั้ง

ก่วนฟางอี๋นำจานชามมาวางเพิ่มอีกชุด ไม่ได้คาดการณ์ไว้ก่อนว่าถังซู่ซู่จะมาด้วย

ถังอี๋พยักหน้าเล็กน้อยให้เหล่าผู้ติดตาม หลังจากนางนั่งลงแล้ว สามผู้อาวุโสก็เข้าประจำที่นั่ง

ก่วนฟางอี๋ยกกาสุรารินสุราให้ทุกคน เริ่มจากรินให้หนิวโหย่วเต้าหนึ่งจอกก่อน ยังไม่ทันได้รินให้คนอื่นๆ อิ๋นเอ๋อร์ก็ปรี่เข้ามาแย่งงาน ฉวยกาสุราไปถือไว้ “ข้าจะทำ ให้ข้าทำ เจ้าถอยไป”

ก่วนฟางอี๋ยิ้มแห้งๆ พลางถอยหลบไปด้านข้าง

ทั้งสี่คนจากสำนักสวรรค์พิสุทธิ์มองดูอิ๋นเอ๋อร์ สงสัยในฐานะของคนผู้นี้มาโดยตลอด

หนิวโหย่วเต้าก็ยิ้มน้อยๆ มองไปที่อิ๋นเอ๋อร์เช่นกัน สามารถเรียกใช้งานราชินีปีศาจต่างข้ารับใช้ได้ ความรู้สึกนี้ดูเหมือนจะยอดเยี่ยมนัก ดูเหมือนจะค่อยๆ อบรมสั่งสอนได้

แต่ทันใดนั้นรอยยิ้มบนหน้าพลันแข็งทื่อ สีหน้ามืดมนลงในชั่วพริบตา

อิ๋นเอ๋อร์ยกกาสุราขึ้นดม คล้ายจะน้ำลายไหลอยากลองชิมดูเล็กน้อย

และนางก็ไม่เกรงใจเลยจริงๆ อยากจะชิมก็ชิมทั้งแบบนั้นเลย นางยกกาสุราขึ้นมา ยื่นปากจ่อพวยกาลองจิบดูสองอึก

จากนั้นก็ขยับปากเสียงดังแจ๊บๆ หรี่ตาย่นจมูก เห็นได้ชัดว่าไม่ชอบรสชาติ นางลดกาสุราลงแล้วรินสุราใส่จอกให้หลัวหยวนกงที่อยู่ด้านข้างทันที

‘เอาของเปื้อนน้ำลายเจ้ามาให้ข้าดื่มหรือ?’ หลัวหยวนกงผงะไป ทำตัวไม่ค่อยถูก จะขัดหรือไม่ขัดดี

ถังอี๋ ซูพั่วและถังซู่ซู่อ้าปากค้าง มองอิ๋นเอ๋อร์ที่กำลังรินสุราอย่างจริงจัง สีหน้าดูตกตะลึงอย่างเห็นได้ชัด

หยวนกังที่เฝ้าอยู่หน้าประตูหันมองมาทางนี้ก็ตะลึงงันเช่นกัน การกระทำเช่นนี้ทำให้คนไม่ทันตั้งตัวจริงๆ!

“…..” ก่วนฟางอี๋ที่อยู่ด้านข้างอ้าปากค้าง ตกใจเหมือนกัน มองดูด้วยความตกตะลึง ไม่เคยคิดเลยว่าเกิดเหตุเช่นนี้ขึ้น

หนิวโหย่วเต้าโมโหขึ้นมา ตวาดด้วยความโกรธ “เจ้าลิง พานางออกไป!”

หยวนกังรีบเดินเข้ามาคว้าตัวอิ๋นเอ๋อร์แล้วคุมตัวออกไปจากจุดนั้น

“ทำอะไร? เจ้าจะทำอะไร? ข้าเกลียดเจ้า ปล่อยข้านะ รีบปล่อยข้า!”

อิ๋นเอ๋อร์กระฟัดกระเฟียดไม่พอใจ พ่นคำพูดออกมาเป็นชุดอย่างที่หาได้ยาก ดูเหมือนจะยังไม่รู้ตัวว่าตนทำอะไรผิดไป ราวกับได้รับความคับข้องหมองใจนัก ร้องโวยวายอยู่ตรงนั้น

โวยวายต่อไปก็ไม่มีประโยชน์ ยังคงถูกหยวนกังบังคับพาตัวออกไปอยู่ดี

หนิวโหย่วเต้าที่สีหน้ามืดมนโบกมือส่งสัญญาณเล็กน้อย ก่วนฟางอี๋เข้ามารับหน้าที่ต่อทันที เปลี่ยนจอกสุราให้หลัวหยวนกง นำกาสุราที่อิ๋นเอ๋อร์เคยดื่มออกไปเปลี่ยนเป็นของใหม่แทน จากนั้นก็รินให้แต่ละคนใหม่อีกครั้ง

“มิได้มีเจตนาจะล่วงเกินดูหมิ่น ข้ารับใช้โง่เขลาไม่รู้ความ ทำให้ทุกท่านต้องเห็นเรื่องขายหน้าแล้ว ข้าขอปรับตัวเองหนึ่งจอกเพื่อขออภัยต่อทุกท่าน”

ซูพั่วกล่าวอย่างไว้หน้าว่า “เพียงเรื่องเล็กน้อย ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้เลย แม่หนูคนนี้ดูสดใสไร้เดียงสา จะว่าไปก็น่าเอ็นดูทีเดียว”

“ยังไม่แน่ว่าจะน่าเอ็นดู แต่สมองตื้นเขินเบาปัญญาเป็นเรื่องจริง” หนิวโหย่วเต้าเอ่ยเสริมไปประโยคหนึ่ง หลังจากเติมสุราจนเต็มก็ชูจอกขึ้นเชื้อเชิญอีกครั้ง “รู้จักกับทุกท่านมาก็นานหลายปี แต่เพิ่งเคยดื่มสุราด้วยกันครั้งแรก เป็นข้าเสียมารยาทแล้ว เชิญ! …อะไรกัน? หรือกังวลว่าจะมียาพิษในสุรา?” พอเห็นทั้งสี่ดูลังเลก็ถามจี้ไปประโยคหนึ่ง

ถังอี๋หยิบจอกสุราขึ้นมาก่อน สามผู้อาวุโสทั้งสามจึงปฏิบัติตาม ร่วมชนจอกกับหนิวโหย่วเต้า

อันที่จริงในใจของทั้งสี่คนก็พอจะสันนิษฐานไว้แล้ว อีกฝ่ายพูดจาสุภาพมีมารยาท แต่หากว่าคนผู้นี้ยังอยู่ในสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ล่ะก็ ไหนเลยจะสิทธิ์มานั่งเสมอเทียบชั้นกับพวกเขาได้

หลังจากสนทนาพูดจาตามมารยาทกันไปสองสามประโยค ถังอี๋พลันถามออกไป “เรียกตัวข้ามาไม่ทราบว่ามีเรื่องใดจะสั่งการหรือ?”

หนิวโหย่วเต้าตอบว่า “ไม่กล้าสั่งการอันใด แค่อยากจะถามอะไรเจ้าสำนักถังเสียหน่อย ไม่ทราบว่าสะดวกตอบหรือไม่”

ถังอี๋กล่าวว่า “พูดมาได้เลย”

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยว่า “พวกเราเข้าพิธีแต่งงาน เคยเข้าหอด้วยกัน ขึ้นชื่อว่าเป็นสามีภรรยากันเพียงในนาม ในส่วนนี้คาดว่าเจ้าสำนักถังน่าไม่ปฏิเสธกระมัง?”

ทั้งสี่คนมองหน้ากัน ไม่ทราบว่าจู่ๆ คนผู้นี้เอ่ยถึงเรื่องนี้ด้วยเจตนาใด ถังอี๋จ้องเขาแล้วพยักหน้านิดๆ “ถูกต้อง”

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “ล้วนกล่าวกันว่าแต่งกับผู้ใดก็ต้องปรับตัวให้เข้ากับคนผู้นั้น มีคติที่ว่าสามีนำภรรยาตาม หากอ้างอิงตามคตินี้ ถ้าต้องการให้เจ้าสำนักถังทอดทิ้งสำนักสวรรค์พิสุทธิ์มาติดตามข้า ไม่ทราบว่าเจ้าสำนักถังจะยินยอมหรือไม่?”

ทั้งสี่คนตะลึงงันไปพร้อมกัน ถังอี๋มองเขาด้วยแววตาพินิจพิเคราะห์ ทรวงอกสะท้อนขึ้นลง นางสูดหายใจลึกๆ ก่อนจะถามไปว่า “หากข้าติดตามเจ้าแล้ว เจ้าจะทุ่มเทกำลังเพื่อสำนักสวรรค์พิสุทธิ์หรือไม่? หากว่าเป็นเช่นนี้ ข้าก็ยินดีจะออกจากสำนักสวรรค์พิสุทธิ์แล้วมาติดตามเจ้า ยึดถือเจ้าเป็นช้างเท้าหน้า เจ้าว่าอย่างไรก็ว่าอย่างนั้น จะไม่บ่นคร่ำครวญเด็ดขาด”

หนิวโหย่วเต้าส่ายหน้าเล็กน้อย “เจ้าสำนักถังเข้าใจความหมายของข้าผิดไปแล้ว ความหมายของข้าคือจะไม่สนใจไยดีความเป็นความตายของสำนักสวรรค์พิสุทธิ์อีก ตราบเท่าที่ข้าไม่สนใจไยดีสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ ขอให้เจ้าเลือกระหว่างสำนักสวรรค์พิสุทธ์และตัวข้า เจ้าต้องการสำนักสวรรค์พิสุทธิ์หรือว่าข้า?”

สามผู้อาวุโสขมวดคิ้วแทบจะพร้อมกัน ถังอี๋เม้มปากเล็กน้อย ถามออกไป “ความหมายของเจ้าคือจะสนใจเพียงข้า แต่ไม่ไยดีสำนักสวรรค์พิสุทธิ์หรือ?”

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “เจ้าจะเข้าใจเช่นนี้ก็ได้”

ถังอี๋ถาม “นี่คือคำตอบที่เจ้าทบทวนมาแล้วอย่างนั้นหรือ?”

กลุ่มคนจากสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ต่างนึกว่าตนเข้าใจความคิดของหนิวโหย่วเต้าแล้ว หากพาตัวถังอี๋ไปก็จะลดความยุ่งยากไปได้ ตัดปัญหาไปได้ไม่น้อย ไม่จำเป็นต้องแบกรับภาระอันหนักอึ้งนั้นไว้อีก

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “เจ้าติดตามข้า ข้าไม่มีทางเอาเปรียบเจ้า เมื่อเป็นคนที่ต้องการเคียงคู่กับข้าไปชั่วชีวิต ข้าก็หวังว่าเจ้าจะเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกับข้า ไม่ใช่ทำตัวเหมือนในปีนั้นที่เอาแต่คิดเพื่อสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ แต่ไม่คำนึงถึงความเป็นความตายของข้าเลย หากว่ายังคงทำเช่นนั้น สิ่งใดคือความแตกต่างระหว่างอยากอยู่เคียงคู่ข้ากับอยากใช้ประโยชน์จากข้าล่ะ?” 艾琳小說

ถังอี๋ถามด้วยสีหน้าขมขื่น “มิใช่ว่าข้าไม่คำนึงถึงความเป็นความตายของเจ้า! แต่ท่านพ่อท่านแม่ของข้าพลีชีพเพื่อสำนักสวรรค์ ท่านปู่รองกับญาติผู้พี่ของข้าก็พลีชีพเพื่อสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ยังมีผู้คนอีกมากมายที่สละชีพเพื่อความรุ่งเรืองของสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ แม้แต่ท่านอาจารย์ของเจ้าเองก็เช่นกัน มีคนมากมายที่ฝากความหวังเอาไว้ แล้วเจ้าจะให้ข้าทอดทิ้งไปได้อย่างไร?”

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยเนิบๆ “ตอนนี้ยังไม่ต้องไปเอ่ยถึงเรื่องถูกผิดบุญคุณความแค้น ข้าเองก็ละวางเรื่องความแค้นในอดีตไปแล้ว เพียงอยากหารือเรื่องสัมพันธ์สามีภรรยากับเจ้าเท่านั้น เจ้ายินยอมหรือไม่?”

บรรยากาศในตอนนี้ตึงเครียด แววตาก่วนฟางอี๋วาววับ มองไปทางนั้นทีทางนี้ที สังเกตปฏิกิริยาของทุกคน

นางก็ไม่เข้าใจเช่นกันว่าในเมื่อตัดสินใจจะช่วยคนเขาและตัดสินใจทำตัวเป็นคนดีแล้ว ไยต้องสร้างสถานการณ์เช่นนี้ขึ้นมาอีก

ถังอี๋ส่ายหน้า “ขออภัยด้วย ข้าทำไม่ได้!”

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าคิดว่าสถานะสามีภรรยาในนามของพวกเราจำเป็นต้องมีอยู่ต่อไปอีกหรือไม่? ผู้อาวุโสทั้งสามท่านก็อยู่ที่นี่ด้วยพอดี มิสู้ให้ทุกท่านมาเป็นสักขีพยานในการยุติความสัมพันธ์ที่ไม่จำเป็นต้องดำรงไว้อีกต่อไปอันนี้ พวกท่านวางใจเถอะ ข้าไม่มีทางทำให้เจ้าสำนักถังต้องลำบาก ย่อมคำนึงถึงชื่อเสียงของเจ้าสำนักถังแน่นอน ให้เจ้าสำนักถังเป็นฝ่ายเขียนหนังสือหย่าร้างมา เป็นผู้หย่าขาดจากข้า ข้าช่วยคิดหาเหตุผลที่ฟังขึ้นให้เจ้าสำนักถังใช้ประกาศต่อสาธารณะเอาไว้แล้ว”

เขายกมือชี้ไปทางก่วนฟางอี๋ “บอกไปว่าจับได้ว่าข้ามีความสัมพันธ์กับหงเหนียง เจ้าสำนักถังทนรับไม่ได้ จึงต้องการหย่าขาดจากข้าด้วยความโกรธเคือง”

ก่วนฟางอี๋พูดไม่ออก กลอกตาไปมา อยากจะถามเหลือเกินว่าเกี่ยวอะไรกับข้าด้วย? เหตุใดต้องลากข้าเข้ามาให้ชื่อเสียงข้าเสียหาย?

แต่นางเองก็แค่บ่นอยู่ในใจ ไม่ได้ถือสาอะไรกับเรื่องนี้จนเกินไป รู้ดีว่าหนิวโหย่วเต้าต้องมีแผนการอันใดอยู่เป็นแน่ ถึงอย่างไรชื่อเสียงตนก็มัวหมองอยู่แล้ว นำมาใช้แก้ไขปัญหาก็ไม่เห็นเป็นอะไร อย่างมากก็แค่ทำตะบึงตะบอนด่าทอหนิวโหย่วเต้าแล้วเรียกค่าชดเชยเสียหน่อย

ในมุมมองของคนจากสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ การที่หนิวโหย่วเต้าทำเช่นนี้เพราะอยากจะตัดสัมพันธ์กับสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ให้หมดจด

ถังซู่ซู่แสดงสีหน้าโกรธเคือง เอ่ยเสียงเข้ม “หนิวโหย่วเต้า พูดมาถึงขนาดนี้แล้ว เช่นนั้นข้าก็ขอพูดให้ชัดเจนเลยแล้วกัน พวกเรามาหาเจ้าในครานี้เพราะเจตนาของจ้าวสยงเกอ เจ้าเคยคิดถึงเรื่องการเผชิญหน้ากับจ้าวสยงเกอบ้างหรือไม่?”

หนิวโหย่วเต้าไม่รู้ว่าเลยจริงๆ ควรจะว่าอย่างไรกับยายเฒ่าคนนี้ดี เขาเคยได้ยินเรื่องบุญคุณความแค้นระหว่างนางกับจ้าวสยงเกอมาแล้ว ปกติแล้วยายเฒ่าคนนี้ถึงตายก็ไม่ยอมข้องแวะ ทำเหมือนเป็นศัตรูคนหนึ่ง แต่วันนี้กลับยอมทุ่มทุกอย่างออกมาแล้ว

แต่เขาเองก็ไม่อยากจะพูดถึงเรื่องนี้ รู้สึกว่ามันไม่มีประโยชน์ จึงเอ่ยอย่างสุขุมว่า “ขอกล่าวกับผู้อาวุโสถังตามตรง หลายวันก่อนข้าได้พบหน้าจ้าวสยงเกอแล้ว ผลจากการเจรจาคือจะจัดการอย่างไรก็ให้ขึ้นอยู่กับข้า ส่วนข้าก็รับปากเขาแล้วว่าช่วยหาทางรอดให้สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ แต่ข้าได้เอ่ยไปก่อนแล้วว่าเรื่องบางอย่างก็ต้องมีข้อแลกเปลี่ยนกันบ้าง หาไม่แล้วข้าก็ไม่จำเป็นต้องหาเรื่องให้ตัวเองเช่นกัน” สายตาเขาจ้องมองไปที่ถังอี๋

ทุกคนต่างทราบชัดเจนดี อันสิ่งที่เรียกว่า ‘ข้อแลกเปลี่ยน’ ก็คือหนังสือหย่าร้างที่เขากล่าวถึงก่อนหน้านี้ ตัดขาดสัมพันธ์ส่วนตัวกับถังอี๋

ถังอี๋รู้สึกกระวนกระวายขึ้นมาเล็กน้อย “เจ้ายังติดใจเรื่องที่ข้าถูกสำนักหมื่นสรรพสัตว์จับกุมไป? ข้าขอยืนยันอีกครั้ง ข้ายังบริสุทธิ์ไร้มลทิน หากว่าเจ้าไม่เชื่อ…” นางกัดฟันเอ่ยไปว่า “คืนนี้ข้ารั้งอยู่ที่นี่เพื่อพิสูจน์ได้…”

ถึงขึ้นที่ทำให้สตรีหัวโบราณอย่างนางเอ่ยเช่นนี้ออกมาได้ นับว่าเป็นเรื่องน่าตกใจปานฟ้าถล่มดินทลาย

“เจ้าสำนักถัง เจ้าคิดมากไปแล้ว” หนิวโหย่วเต้าเอ่ยขัด “ข้าได้ติดต่อไปหาเสวียนเวยอัครเสนาบดีหญิงแห่งแคว้นเว่ยแล้ว นางเองก็ตอบตกลงแล้ว เมื่อพวกเราปราศจากสัมพันธ์ฉันสามีภรรยา เช่นนั้นก็ไม่จำเป็นต้องพัวพันกันอีก ไม่ขอเอ่ยถึงบุญคุณความแค้นในอดีตอีกต่อไป ถือว่าข้าทำผิดต่อเจ้าเอง ขอเพียงเจ้าตอบรับเงื่อนไข สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ก็สามารถอพยพไปยังแคว้นเว่ยได้ทุกเมื่อ”

สามผู้อาวุโสค่อนข้างตกใจ แคว้นเว่ยคือแคว้นที่มั่งคั่งเป็นอันดับหนึ่งในเจ็ดแคว้น เสนาบดีหญิงนางนั้นก็ยิ่งมีชื่อเสียงไปทั่วหล้า

ฮ่องเต้แคว้นเว่ยทำตัวเหลวไหลแทบจะไม่สนใจงานราชกิจเลย อำนาจส่วนใหญ่ในแคว้นเว่ยล้วนอยู่ในมือพระเชษฐภคินีขององค์ฮ่องเต้ หรือก็คือองค์หญิงเสวียนเวยผู้นั้น

หากว่าอพยพไปอยู่ที่แคว้นเว่ยแล้วได้รับการดูแลจากเสวียนเวย ย่อมเป็นเรื่องที่ผู้ครองมณฑลเป่ยโจวอย่างเซ่าผิงปอไม่อาจเทียบชั้นได้ สำหรับการพัฒนาสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ในปัจจุบันนี้แล้ว ต่อให้ติดตามหนิวโหย่วเต้าก็ยังไม่แน่ว่าจะได้รับสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการพัฒนาถึงเพียงนี้

แต่หากมองกันในระยะยาวแล้ว การติดตามหนิวโหย่วเต้าย่อมเป็นเรื่องดีกว่า หนิวโหย่วเต้าขอความช่วยเหลือจากเสวียนเวยได้ มีอิทธิพลเหนือไปจากที่พวกเขาจินตนาการไว้ อย่างน้อยหากพวกเขาไปขอเข้าพบเสวียนเวย ก็เกรงว่าคงจะไม่ได้เข้าพบเสวียนเวยด้วยซ้ำ

แต่ไม่มีทางเลือกแล้ว หนิวโหย่วเต้ายื่นเงื่อนไขอย่างชัดเจน

“ไม่ว่าจะตกลงหรือไม่ ข้าก็ไม่มีความสัมพันธ์ใดๆ กับสำนักสวรรค์พิสุทธิ์อีกต่อไปแล้ว ส่วนโอกาสก็มีให้เพียงครั้งนี้ หากพลาดครั้งนี้ไป ข้าจะไม่หยิบยื่นให้อีกแล้ว พวกเจ้าเลือกกันเอาเองเถอะ!” หนิวโหย่วเต้าเอ่ยอย่างเย็นชาไร้เยื่อใย

ถังอี๋ค่อยๆ ลุกขึ้นมา ขอบตาแดงเรื่อ พลันเอ่ยด้วยเสียงกระจ่างชัดหนักแน่น “ได้! ข้ายอมรับเงื่อนไขของเจ้า!”

หนิวโหย่วเต้าก้มหน้าลง เอ่ยเนิบๆ “เตรียมเครื่องเขียน!”

…………………………………………………………………….

ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า

ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า

Status: Ongoing
ใต้หล้ากว้างใหญ่…จะลมก็ดี จะฝนก็ช่าง ไม่มีอะไรจะขวางข้าได้!นิยายแปลกำลังภายในเลือดเดือดร้อยเล่ห์กล พระเอกฉลาดมากไหวพริบ ฉากบู๊มันสะใจ!เมื่อปรมาจารย์แห่งการขุดสุสานผู้หลงใหลในการบำเพ็ญเพียรได้หลุดเข้าไปในยุคสมัยโบราณอันวุ่นวายเพราะไฟสงครามด้วยโชคชะตาวาสหนาหนุนนำ ทำให้เขาได้รับสุดยอดเคล็ดวิชาและต้องฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ นานา เพื่อสยบใต้หล้าเอาไว้ในกำมือ!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท