ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า – ตอนที่ 495 ยุแยงให้ร้าวฉาน

ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า

ตอนที่ 495 ยุแยงให้ร้าวฉาน

“ศิษย์พี่ทั้งสอง” ศิษย์ที่มาด้วยกันเดินเข้าไปสื่อสารเล็กน้อย

หลังจากทราบเรื่อง ศิษย์ทั้งสองประสานมือคำนับ หนึ่งในสองคนเอ่ยกับเฉินถิงซิ่วว่า “ผู้อาวุโสเฉิน ท่านที่อยู่ด้านในบอกไปแล้วมิใช่หรือว่าไม่พบ ถึงไปถ่ายทอดข้อความอีกก็ยังไม่แน่ว่าจะยอมพบท่าน! มารบกวนคนเขาซ้ำๆ ออกจะไม่ค่อยเหมาะกระมัง?”

เฉินถิงซิ่วเอ่ยว่า “ข้ารู้ดี ครั้งนี้ข้ามิได้มาขอพบท่านประมุข แต่มาขอเข้าพบอี้ซูศิษย์ของท่านประมุข ข้ากับนางรู้จักกัน เป็นคนรู้จักเก่า รบกวนไปแจ้งให้ทีเถิด”

เขาหาใช่คนโง่ไม่ หลงซิวเป็นคนเช่นใดเล่า ในเมื่อหลงซิวบอกแล้วว่าไม่พบ เขาไหนเลยจะกล้ายืนกรานขอพบ

ศิษย์ทั้งสองสบตากันเล็กน้อย ศิษย์คนนั้นพยักหน้าให้ “เช่นนั้นก็ได้ ผู้อาวุโสเฉินโปรดคอยสักครู่”

“รบกวนด้วย” เฉินถิงซิ่วประสานมือเอ่ยขอบคุณ มองดูศิษย์คนนั้นหันหลังเดินเข้าไปด้านใน

ไม่นานนัก ศิษย์คนนั้นก็เดินออกมา มีสตรีสวยสง่างามสะพรั่งนางหนึ่งเดินออกมาด้วย คนที่เดินนำมากลับไปยืนเฝ้าตรงจุดประจำทางเข้า ส่วนคนที่ตามหลังมาคืออี้ซูศิษย์คนเล็กของหลงซิว อายุยังไม่มาก

ศิษย์ของหลงซิวล้วนถูกหลงซิวรับเป็นศิษย์ก่อนที่จะขึ้นดำรงตำแหน่งประมุขวังเหินเวหา หลงซิวเห็นแววอี้ซูตั้งแต่ยามเยาว์วัย นับว่าโชคดี แล้วก็นับว่าเป็นศิษย์คนสุดท้ายของหลงซิว หลังจากรับอี้ซูแล้วหลงซิวก็ไม่คิดจะรับศิษย์อีก เมื่อขึ้นดำรงตำแหน่งประมุขแล้ว เขาย่อมไม่มีเวลามาสนใจในเรื่องนี้อีก

ศิษย์ที่โตกว่าล้วนทยอยมีตำแหน่งหน้าที่ในสำนักแล้ว ปัจจุบันนี้เขาจึงพาศิษย์คนเล็กออกนอกสำนักเป็นครั้งคราว นับว่าเป็นการเพิ่มพูนประสบการณ์ให้นาง และให้นางได้รู้จักคนเอาไว้ อย่างน้อยๆ ในอนาคตจะได้สะดวกยามออกไปทำภารกิจให้วังเหินเวหา ปูทางสร้างฐานอำนาจให้นางในภายภาคหน้า

พออี้ซูเห็นเฉินถิงซิ่วที่รออยู่ด้านนอกก็เชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย เผยความเย่อหยิ่งออกมา เดินเนิบๆ ลงมาตามขั้นบันได

สำหรับอุปนิสัยและความเย่อหยิ่งของสตรีนางนี้ เฉินถิงซิ่วเคยมีประสบการณ์มาแล้ว ตอนที่ไปเยือนสำนักหยกสวรรค์ก็เคยสร้างความลำบากใจให้เผิงโย่วไจ้ไว้เช่นกัน เคยชินกับนิสัยนางไปเสียแล้ว เขาพลันยกยิ้มเดินเข้าไปทักทาย “แม่นางอี้”

อี้ซูเอ่ยถามอย่างเย็นชา “ผู้อาวุโสเฉิน ท่านมาด้วยเหตุใด?”

เฉินถิงซิ่วมองคนที่อยู่รอบตัวจากนั้นผายมือเชื้อเชิญ “แม่นางอี้ ขอคุยเป็นการส่วนตัวได้หรือไม่?”

อี้ซูไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ แต่เดินตามเขาออกไปถึงใต้ต้นสนเก่าแก่ที่อยู่ด้านนอก “ผู้อาวุโสเฉิน ท่านประมุขบอกแล้วว่าไม่พบ ถึงท่านมาหาข้าก็ไม่มีประโยชน์ ข้าขอเตือนว่าท่านอย่าได้เปลืองแรงเปล่าเลย”

เฉินถิงซิ่วเอ่ยยิ้มๆ “ได้พบแม่นางอี้ก็ไม่ต่างกันเลย มาเยือนสำนักหมื่นสรรพสัตว์ ทราบว่าแม่นางก็อยู่ด้วย หากไม่มาเยี่ยมเยือนก็คงเสียมารยาท”

อี้ซูไม่เชื่อว่าอีกฝ่ายจะเชิญตนออกมาคุยเป็นการส่วนตัวเพราะบทสนทนาทักทายตามมารยาท “อย่ามัวอ้อมค้อมเลย”

เวลามีจำกัด เฉินถิงซิ่วจึงไม่อ้อมค้อมแล้วเช่นกัน ถามไปว่า “แม่นางอี้ ท่านประมุขยอมพบหนิวโหย่วเต้าแต่ไม่ยอมพบข้าเป็นเพราะเหตุใดกัน?”

อี้ซูปรายตามองอย่างเย็นชา “เรื่องท่านประมุขใช่เรื่องที่ท่านจะมาสอดรู้ได้หรือ?”

เฉินถิงซิ่วรีบเอ่ยว่า “มิกล้าๆ เพียงแต่ค่อนข้างแปลกใจ หนิวโหย่วเต้าคนนั้นไม่เคยเห็นวังเหินเวหาอยู่ในสายตาเลย เหตุใดท่านประมุขถึงไว้หน้าเขาขนาดนี้เล่า?”

อี้ซูยิ้มหยัน “ไม่เห็นวังเหินเวหาอยู่ในสายตาอย่างนั้นหรือ? เขามีคุณสมบัติใดที่จะไม่เห็นวังเหินเวหาอยู่ในสายตาได้? ผู้อาวุโสเฉิน นี่ท่านคิดจะยุแยงสร้างความร้าวฉานหรือ?”

“ไม่ๆ ไม่เลย ข้ารู้จักกับเขามานานหลายปี เขาเป็นคนเช่นไรข้ารู้กระจ่างดี แน่นอนว่ามีเรื่องหนึ่งที่ต้องยอมรับกันเลยว่าคนผู้นี้เป็นคนหนุ่มมากความสามารถที่หาได้ยากในใต้หล้าจริงๆ แล้วก็เป็นบุคคลโดดเด่นในหมู่คนหนุ่มที่มากความสามารถแน่นอน คนที่เอาชนะเขาได้เกรงว่าคงมีไม่มาก…” เฉินถิงซิ่วเอ่ยชมหนิวโหย่วเต้ายกใหญ่ ขณะเดียวกันก็คอยสังเกตปฏิกิริยาสีหน้าของอีกฝ่ายไปด้วย

เขาไม่ได้เพิ่งจะเคยพบนางเป็นครั้งแรก ทราบถึงความหยิ่งทะนงของนางดี ประเมินตนสูงส่ง แต่แน่นอน อีกฝ่ายก็มีสิทธิ์ที่จะหยิ่งทะนงได้

ใบหน้าของอี้ซูฉายแววไม่สบอารมณ์ขึ้นมาอย่างที่คาดไว้จริงๆ เอ่ยอย่างดูแคลน “ก็แค่กบในกะลาเท่านั้น เขาเคยพูดหรือว่าไม่เคยเห็นวังเหินเวหาอยู่ในสายตา?”

เฉินถิงซิ่วตอบว่า “เรื่องนั้นกลับไม่เคยกล่าวไว้”

อี้ซูยิ้มหยัน “เช่นนั้นท่านทราบได้อย่างไรว่าเขาไม่เห็นวังเหินเวหาอยู่ในสายตา?”

เฉินถิงซิ่วเอ่ยเบาๆ “เรื่องนี้จะว่าอย่างไรดีล่ะ แม่นางอี้เป็นคนฉลาด เรื่องบางอย่างเมื่ออยู่ต่อหน้าแม่นางอี้แล้วก็ไม่จำเป็นต้องปิดบังเลย เพื่อให้ได้หนานโจวมา สำนักหยกสวรรค์เกิดความขัดแย้งกับหนิวโหย่วเต้าคนนี้จริงๆ จะว่าไปแล้วสำนักหยกสวรรค์ก็เสียหายไปไม่น้อย ช่วงแรกที่เกิดเรื่องขึ้น ข้าเคยเอ่ยเตือนเขาต่อหน้าไปแล้วว่าสำนักหยกสวรรค์ได้รับอนุญาตจากทางสามสำนักหลักให้เข้าครอบครองหนานโจวได้ บอกเขาไม่ให้สอดมือเข้ามายุ่ง แต่เขาบอกว่าสามสำนักหลักหาได้ห้ามไม่ให้เขาสอดมือเข้ามายุ่งไม่ ผู้ใดมีความสามารถผู้นั้นก็ได้ไป เขายังตอบกลับมาด้วยว่าให้ทำตัวเป็นจิ้งจอกอ้างบารมีเสือให้น้อยๆ ลงหน่อย บอกว่าตอนเขาอยู่ในเมืองหลวงแคว้นฉีแม้แต่ศิษย์ของสำนักเพลิงนภาเขาก็เคยสั่งสอนมาแล้ว”

วาจานี้เป็นการพูดเหลวไหลอย่างแท้จริง แต่สำหรับเขาแล้ว ถึงพูดไปก็ไม่เห็นเป็นไร ต่อให้มาสักถามกันต่อหน้าเขาก็ไม่กลัว ขอเพียงเขายืนกรานว่าหนิวโหย่วเต้าเคยพูดไว้แล้วจะทำอันใดได้เล่า?

อี้ซูยกมุมปากขึ้นเล็กน้อยด้วยไม่รู้ตัว เอ่ยอย่างเฉยเมยว่า “ที่เขากล่าวมาก็ไม่ผิดเลย ข้าก็เคยได้ยินมาเช่นกัน เขาทุบตีศิษย์สำนักเพลิงนภาคนหนึ่งจนบาดเจ็บสาหัส หากไม่มีคนเข้ามาขวางไว้ เขาก็เกือบจะสังหารศิษย์สำนักเพลิงนภาทิ้งต่อหน้าคนมากมายไปแล้ว คุนหลินซู่ที่ได้รับบาดเจ็บคนนั้นข้าก็รู้จักเช่นกัน ตอนนั้นดูเหมือนจะเป็นเรื่องฮือฮาครึกโครมไม่น้อยเลย แม้แต่ท่านประมุขก็ให้ความสนใจเช่นกัน”

เฉินถิงซิ่วถอนหายใจพลางเอ่ยไปว่า “นับว่าไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำเอาเสียเลย สำนักเพลิงนภาแค่ไม่เอาความกับเขาเท่านั้น หากสำนักเพลิงนภาต้องการจัดการเขาจริงๆ มีหรือจะจัดการไม่ได้? แต่เขาหาได้คิดเช่นนั้นไม่ กลับนึกว่าตัวเองฝีมือสูงส่ง แต่ก็พอจะเข้าใจได้ คนหนุ่มมากความสามารถ จากศิษย์คนหนึ่งที่ถูกขับไล่ออกจากสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ ไต่เต้าขึ้นมาได้อย่างราบรื่น ไม่เคยประสบความสูญเสียอันใดเลย ทำสิ่งใดก็ไม่มีผู้ใดคอยขัดขวาง ถือว่ามีต้นทุนพอจะทำตัวหยิ่งทะนงได้จริงๆ คนผู้นี้ภายนอกดูถ่อมตัว มีเพียงคนที่ได้ใกล้ชิดเขาเป็นเวลานาน ถึงจะทราบว่าเนื้อแท้ของคนผู้นี้หยิ่งทะนงมากจริงๆ ประเมินตนสูงส่ง เรียกได้ว่าไม่เห็นผู้ใดอยู่ในสายตาเลย!”

อี้ซูเอ่ยเสียดสี “นี่เป็นคำพูดของท่านเพียงฝ่ายเดียวมิใช่หรือ”

เฉินถิงซิ่วเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “แม่นางอี้ นี่ไม่ใช่คำพูดของข้าเพียงฝ่ายเดียว แต่มีตัวอย่างที่ทุกคนต่างเห็นกันอยู่ชัดเจน เรื่องสำนักสวรรค์พิสุทธิ์อย่างไรเล่า ในอดีตตอนที่ซ่งจิ่วหมิงขุนนางราชสำนักแคว้นเยี่ยนยังเรืองอำนาจอยู่ สำนักสวรรค์พิสุทธิ์อาศัยพึ่งบารมีของตระกูลซ่ง จะบอกว่าเป็นสุนัขรับใช้ตัวหนึ่งที่ตระกูลซ่งชุบเลี้ยงไว้ก็ไม่เกินไปเลยบุตรชายของซ่งจิ่วหมิงก็มีตัวอักษรเดียวกับแม่นางอี้อยู่ในชื่อ มีนามว่าซ่งซู นับเป็นศิษย์สำนักสวรรค์พิสุทธิ์เช่นกัน ว่ากันตามหลักแล้ว ซ่งซูอยู่ในสำนักสวรรค์พิสุทธิ์จะมีตำแหน่งเช่นไร เพียงแค่คิดดูก็รู้แล้ว ในสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ทั้งเบื้องบนเบื้องล่างมีผู้ใดกล้าแตะต้องคนตระกูลซ่งบ้างเล่า? ”

“แต่หนิวโหย่วเต้ากลับต่างออกไป เขาไม่เห็นตระกูลซ่งอยู่ในสายตาเลย เป็นเพียงศิษย์ตัวเล็กๆ คนหนึ่งของสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ แต่ไม่เห็นตระกูลขุนนางแห่งราชสำนักแคว้นเยี่ยนอยู่ในสายตา แม่นางอี้คิดว่าน่าขบขันหรือไม่เล่า? ผู้ใดจะเชื่อบ้าง? แต่ซ่งเหยี่ยนชิงบุตรชายของซ่งซูก็ถูกศิษย์ตัวเล็กๆ คนหนึ่งของสำนักสวรรค์พิสุทธิ์สังหารจริงๆ”

“เมื่อกล่าวถึงสำนักเพลิงนภา แม่นางอี้ก็ทราบดีว่าเป็นหนึ่งในสามเสาหลักแห่งแคว้นฉี คุนหลินซู่ก็นับเป็นเพชรยอดมงกุฏในหมู่ศิษย์รุ่นเดียวกัน แต่แล้วอย่างไรเล่า? มีผู้ใดกล้าลงมือสังหารคุนหลินซู่ภายในอาณาเขตของสำนักเพลิงนภาต่อหน้าคนหมู่มากหรือ? แต่เขาก็ทำไปแล้ว ทำในสิ่งคนอื่นๆ ไม่กล้าทำ ทั้งยังรอดพ้นมาได้อย่างปลอดภัยด้วย ”

“ยังมีอีกคนที่ไม่ทราบว่าแม่นางจะรู้จักหรือไม่ หงเหนียงแห่งสวนไม้เลื้อยในเมืองหลวงแคว้นฉี นางคือสตรีที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วหล้า ไม่ทราบว่ามีชายเจ้าสำราญมากน้อยเพียงใดที่อยากจะเลี้ยงดูนางเป็นอนุส่วนตัว แต่ตลอดหลายปีมานี้ไม่เคยมีชายใดคว้าไปครองได้เลย แต่หลังจากหนิวโหย่วเต้าไปเยือนแคว้นฉี เขาได้เคยเอ่ยออกมาต่อหน้าเหล่าศิษย์สำนักหยกสวรรค์ของเราที่ไปทำภารกิจร่วมกันว่า บุปผางามไร้เจ้าของ เพียงเพราะรอผู้กล้ามาเด็ดดม ข้าจะเด็ดบุปผาดอกนี้มาให้ได้! แม่นาง วาจานี้ของเขาโอหังหรือไม่เล่า? ในสายตาของเขา ใต้หล้าไร้ซึ่งผู้กล้า มีเพียงตัวเขาถึงจะนับเป็นผู้กล้า ต่อมาก็เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ บุปผาที่ไม่มีผู้เด็ดไปได้ดอกนั้นถูกเขาเด็ดลงมาแล้ว หงเหนียงแห่งเมืองหลวงแคว้นฉียอมติดตามเขาจริงๆ!”

อี้ซูหัวเราะเยาะ “ก็แค่สตรีสำส่อนคนหนึ่ง คู่ควรจะเป็นยอดบุปผาหรือ?บุรุษที่สิ้นเปลืองกำลังไปเพื่อสตรีเช่นนี้จะคู่ควรให้เรียกขานว่าผู้กล้าหรือ? ข้าว่าก็แค่ชายไร้ค่าเท่านั้น!”

เฉินถิงซิ่วเอ่ยว่า “แม่นางกล่าวมีเหตุผล ยังมีเรื่องตัวอย่างอันโสมมอีกหลายเรื่องที่ไม่เหมาะจะกล่าวถึง สำหรับคนประเภทนี้ไม่ควรค่าให้เอ่ยถึงเลย แต่ด้วยเรื่องต่างๆ ที่ว่ามานี้ มันยิ่งทำเห็นถึงความจองหองเย่อหยิ่งของคนผู้นี้ เป็นคนที่เย่อหยิ่งฝังลึกลงไปถึงในกระดูก ข้าว่านอกจากเหล่ายอดคนแล้ว คงไม่มีผู้ใดอยู่ในสายตาเขาเลยจริงๆ ว่ากันตามหลักแล้ว เขามีสิทธิ์ใดจะได้เข้าพบท่านประมุขกันเล่า? ไม่รู้จักสำเหนียกตนเสียบ้างหรือ แต่เขาก็ยังมาจนได้ เห็นได้ชัดเจนยิ่งว่าเขานึกว่าตนมีคุณสมบัติมากพอ!”

อี้ซูค่อยๆ เบือนหน้ามองหมู่เขาที่อยู่ลึกเข้าไปในความมืด แววตาวูบไหว

เฉินถิงซิ่วเอ่ยต่อว่า “แน่นอนว่าที่ข้าพูดเรื่องเหล่านี้ไปก็ดูน่าสงสัยว่ามีเจตนามายุแยงจริงๆ แต่ตัวข้ารู้สึกไม่สบายใจอย่างยิ่ง ถ้อยคำบางอย่างหากไม่บอกออกไปก็อึดอัดใจ ผู้ที่ส่งส่วยให้แก่วังเหินเวหาคือสำนักหยกสวรรค์ เขาหาได้เคยส่งส่วยใดๆ ให้วังเหินเวหาไม่ ข้าไม่เข้าใจเลยจริงๆ และอยากจะทราบเหลือเกินว่าเหตุใดท่านประมุขถึงยินยอมพบคนเช่นนี้แต่ไม่ยอมพบข้า?”

อี้ซูหันมาเอ่ยแย้งทันควัน “ท่านไม่พอใจท่านประมุขอย่างนั้นหรือ?”

“มิได้…หามิได้…” เฉินถิงซิ่วรีบปฏิเสธ

สุดท้ายเฉินถิงซิ่วก็ยังคงไม่ได้เข้าพบหลงซิว แต่ตอนที่เขาจากไป จิตใจกลับเบิกบานขึ้นมาหลายส่วน เห็นภายนอกเขานอบน้อมต่ออี้ซู ความจริงแล้วในสายตาเขาอี้ซูยังอ่อนวัยนัก หากไม่มีวังเหินเวหาหนุนหลัง นางก็ไม่ได้มีค่าอันใดเลย

เมื่อกลับมาที่ศาลากลางเขา โฉวซานยังคงรออยู่ที่นั่น พอเห็นหน้าก็เอ่ยถาม “ได้พบหลงซิวแล้วหรือ?”

เฉินถิงซิ่วถอนหายใจพลางส่ายหน้า “ยังคงไม่ยอมพบข้าอยู่ดี”

ความจริงหลังจากที่เขาถูกหลงซิวปฏิเสธแล้วยังเดินทางไปหาด้วยตัวเอง เขาก็ไม่คาดหวังแม้แต่น้อยว่าจะได้พบหลงซิว จุดประสงค์หลักๆ คือต้องการพบอี้ซู

“เฉินซยง รีบกลับไปพักผ่อนเถอะ” โฉวซานผายมือเชิญ สำเนียงวาจาสื่อว่าข้ามีน้ำใจอย่างเต็มที่แล้ว

“ขอบคุณมาก!” เฉินถิงซิ่วคำนับขอบคุณ

กระทั่งเขาจากไปแล้ว โฉวซานถามศิษย์คนนั้น “ไม่ได้พบแล้วไปทำอะไรตั้งนาน?”

ศิษย์ตอบว่า “ไม่ได้พบหลงซิว แต่ได้พบศิษย์หญิงคนนั้นของหลงซิวขอรับ ทั้งสองคุยกันอยู่พักหนึ่ง ไม่ทราบว่าคุยเรื่องใดกันบ้าง”

โฉวซานใคร่ครวญดูเล็กน้อย เอ่ยไปว่า “เจ้าไปพาหนิวโหย่วเต้ามาเถอะ หากเขาถามว่าเหตุใดช้าขนาดนี้ เจ้าก็บอกไปว่าทางสำนักต้องแจ้งไปทีละขั้นจึงล้าช้า”

“ขอรับ!” ฝ่ายศิษย์รับคำสั่งแล้วจากไป

โฉวซานมองความมืดมิดรอบข้าง ทะยานกายจากไปเช่นกัน

….

ภายใต้แสงจันทร์ หนิวโหย่วเต้าเดินวนกลับไปกลับมาอยู่ในลานเรือน

หยวนกังเดินออกมาจากในห้อง เดินเข้าไปหยุดข้างกายเขา เงยหน้ามองท้องฟ้า “แค่แจ้งเรื่อง ต้องใช้เวลานานขนาดนี้เลยเหรอ? ถึงไม่ยอมตกลง ตอบกลับมาสักคำก็ไม่น่าจะนานขนาดนี้หรือเปล่า ทำไมผมถึงรู้สึกว่ามันแปลกๆ?”

หนิวโหย่วเต้าชะงักเท้าเงยหน้ามองจันทรา “ค่อนข้างแปลกจริงๆ”

ในเวลานี้เอง ก่วนฟางอี๋เดินโบกพัดโผล่ออกมา เดินเข้ามาพลางเอ่ยยิ้มๆ ว่า “อะไรกัน ยังไม่ตอบตกลงพบเจ้าอีกหรือ? หลงซิวคนนี้พอได้เป็นเจ้าสำนักแล้ว ท่าทีต่างไปจากเดิมจริงๆ นะเนี่ย”

ผู้พูดไม่คิดอันใด แต่คนฟังกลับเกิดความคิดในใจ 艾琳小說

พอได้ยินวาจานี้ หนิวโหย่วเต้าเหลือบมองนาง จากนั้นก็ชักสายตากลับไป หันไปสบตากับหยวนกังที่มองมาเล็กน้อย

ในเวลานี้เอง โจวเถี่ยจื่อพาศิษย์สำนักหมื่นสรรพสัตว์คนหนึ่งเข้ามา ฝ่ายหลังประสานมือคำนับ “ท่านหนิว ประมุขหลงตอบตกลงพบท่านแล้ว โปรดตามข้ามา”

หยวนกังเอ่ยสอดว่า “เหตุใดถึงเพิ่งได้คำตอบเอาป่านนี้?”

ศิษย์คนนั้นกล่าวว่า “ทางวังเหินเวหาเป็นแขกทรงเกียรติ ไม่อาจรบกวนง่ายๆ ได้ ข้าก็ต้องรอคำตอบจากทางสำนักเช่นกัน ทำให้ท่านต้องคอยนานเสียแล้ว”

ในเมื่อเขาเอ่ยมาเช่นนี้ ทางนี้ยังจะว่าอะไรได้อีก ยอมช่วยถ่ายทอดวาจาให้ก็นับว่าไว้หน้าเขามากพอแล้ว

หนิวโหย่วเต้าหันกลับไป “หงเหนียง เจ้าไปกับข้าเถอะ”

หยวนกังเหลือบมองปฏิกิริยาของนาง

มือก่วนฟางอี๋ที่โบกพัดกลมอยู่แข็งทื่อไป เอ่ยด้วยความตะลึง “ให้ข้าไปกับเจ้าหรือ? เจ้าบอกว่าเจ้าจะไปคนเดียวมิใช่หรือ?”

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “ข้าคิดๆ ดูแล้ว ไปด้วยกันจะดีกว่า”

ก่วนฟางอี๋โบกพัดกลมไปมา ปฏิเสธว่า “สำนักใหญ่กฏเกณฑ์มากมาย พอเจ้าเข้าไปแล้ว ข้าก็ต้องรออยู่ด้านนอก น่าเบื่อจะตาย ข้าไม่ไปหรอก”

………………………………………………………………………………..

ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า

ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า

Status: Ongoing
ใต้หล้ากว้างใหญ่…จะลมก็ดี จะฝนก็ช่าง ไม่มีอะไรจะขวางข้าได้!นิยายแปลกำลังภายในเลือดเดือดร้อยเล่ห์กล พระเอกฉลาดมากไหวพริบ ฉากบู๊มันสะใจ!เมื่อปรมาจารย์แห่งการขุดสุสานผู้หลงใหลในการบำเพ็ญเพียรได้หลุดเข้าไปในยุคสมัยโบราณอันวุ่นวายเพราะไฟสงครามด้วยโชคชะตาวาสหนาหนุนนำ ทำให้เขาได้รับสุดยอดเคล็ดวิชาและต้องฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ นานา เพื่อสยบใต้หล้าเอาไว้ในกำมือ!

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท