ตอนที่ 497 โฉมงามอันดับหนึ่งในใต้หล้า
เมื่อน้ำชาถูกยกมา นางสังเกตสตรีที่ยกน้ำชามาเล็กน้อย เป็นสตรีที่เคยสร้างความลำบากใจให้ตนก่อนหน้านี้
ก่วนฟางอี๋เอ๋ยถาม “ท่านประมุข ท่านผู้นี้คือใครหรือ?”
อี้ซูเหลือบมองนางเล็กน้อย คิดว่านางจะฟ้องเรื่องตน
หลงซิวไม่ทราบความ ยังคงตอบด้วยรอยยิ้ม “อี้ซูศิษย์คนเล็ก เป็นศิษย์คนสุดท้ายที่รับไว้”
ก่วนฟางอี๋เอ่ยกับอี้ซูทันที “แม่นางอี้คงยังไม่รู้กระมัง สมัยก่อนอาจารย์เจ้าดีต่อข้ามาก ใจกว้างมือเติบ ควักเงินหมื่นเหรียญทองให้โดยไม่พูดพร่ำทำเพลง”
จะพูดเรื่องนี้ไปทำไมกัน หนิวโหย่วเต้าส่งสายตาให้นางอยู่หลายครั้ง แต่นางทำเป็นมองไม่เห็น หรือก็คือตั้งใจเอ่ยให้อี้ซูได้ฟัง
อี้ซูมองอาจารย์ตนเล็กน้อย
หลงซิวตกอยู่ในสภาพยิ้มไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก เขาส่ายหน้าไปมา “ชั่วพริบตาเดียว เกรงว่าจะผ่านไปสามสิบกว่าปีแล้วกระมัง ตอนนี้มุทะลุเลินเล่อ เกรงว่าคงทำให้หงเหนียงต้องขบขันเสียแล้ว แต่วัยเยาว์ยังคงเป็นช่วงเวลาที่ดี!” เขาเองก็ไม่ได้หลบเลี่ยงเช่นกัน เห็นได้ชัดว่าปล่อยวางแล้ว
ก่วนฟางอี๋กล่าวว่า “ข้าไม่กล้าขบขันหรอกเจ้าค่ะ ข้าสำนึกเสียใจแทบแย่ หากรู้แต่แรกว่าท่านจะได้ขึ้นเป็นประมุขแห่งวังเหินเวหา ตอนนั้นเป็นตายอย่างไรข้าก็จะตามพัวพันแต่งกับท่านให้ได้”
“ฮ่าๆ!” หลงซิวที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนตั่งเงยหน้าหัวเราะดังลั่น หัวเราะอย่างเต็มที่ จากนั้นชี้ไปที่ก่วนฟางอี๋ “ปีนั้นมีคนมาเกี้ยวพาเจ้ามากมาย ตัวข้าหลงซิวมีหน้ามีตาสู้คนอื่นไม่ได้ จึงไม่เข้าตาของหงเหนียงอย่างไรเล่า”
แม้จะกล่าวเช่นนี้ แต่ก็แค่พูดไปตามมารยาทเท่านั้น ในใจกลับทราบดีว่าหากตอนนั้นตนครองคู่กับสตรีที่มีชื่อเสียงเช่นนี้จริง ภายในสำนักจะต้องมีการคัดค้าน และจะต้องถูกคนในสำนักวิจารณ์อย่างหนักแน่นอน อีกทั้งด้วยอุปนิสัยของตนในเวลานั้น หากสตรีนางนี้ยอมตกลงติดตามตนจริงๆ เกรงว่าตนคงไม่มีทางยอมปล่อยมือง่ายๆ ผลสุดท้ายคงเลือกยอมรับแรงกดดันไว้จนทำให้ทางสำนักโกรธเกรี้ยว เกรงว่าตนคงไม่ได้ขึ้นดำรงตำแหน่งประมุขวังเหินเวหาแล้ว
แต่แน่นอน มันก็อาจจะมีผลลัพธ์อีกอย่างปรากฏขึ้นมาเช่นกัน นั่นคือเมื่อได้รับแรงกดดัน ตนอาจจะทอดทิ้งสตรีนางนี้ก็เป็นได้
ก่วนฟางอี๋กล่าวว่า “สุดท้ายแล้วยังคงเป็นข้าที่สายตาไร้แวว มองพลาดไปจริงๆ มิเช่นนั้นตอนนี้อาจจะเป็นฮูหยินประมุขไปแล้ว ดูสิยังจะมีผู้ใดกล้ารังแกข้าอีก”
หลงซิวถามยิ้มๆ “ผู้ใดจะกล้ารังแกเจ้ากัน?”
“คนรังแกข้ามีอยู่มากมาย” ก่วนฟางอี๋ชี้ไปที่หนิวโหย่วเต้า “เขาก็มักจะรังแกข้าอยู่บ่อยครั้งเช่นกัน หลอกข้าให้จากเมืองหลวงแคว้นฉีมา ตอนนี้ถูกเรียกใช้เยี่ยงสาวใช้ ประมุขหลง ท่านต้องช่วยทวงความเป็นธรรมให้ข้านะเจ้าคะ!”
“โอ้!” หลงซิวตีหน้าขึงขัง แสร้งซักถามตำหนิ “หนิวโหย่วเต้า เจ้าทำเช่นนี้ไม่ถูกนะ!”
หนิวโหย่วเต้ายิ้มเจื่อน “ท่านประมุข ท่านดูนางสิ สภาพนางเหมือนคนที่จะถูกข้ารังแกได้หรือ? ท่านเคยเห็นเจ้านายที่ปล่อยให้สาวใช้สาดชาใส่หน้าแล้วไม่เอาความหรือ? เป็นผู้ใดรังแกผู้ใดกันแน่?”
ก่วนฟางอี๋ถลึงตาใส่ “นั่นเป็นเจ้ารนหาที่เอง”
“ฮ่าๆ!” หลงซิวหัวเราะเสียงสดใสอีกครั้ง ยกชาขึ้นจิบอึกหนึ่ง รอยยิ้มค่อยๆ จางลง มองไปที่หนิวโหย่วเต้า ถามด้วยสุ้มเสียงที่เปลี่ยนไป “หนิวโหย่วเต้า ต้องการพบข้าด้วยเรื่องใด?”
หนิวโหย่วเต้าลุกขึ้นกล่าวอย่างนอบน้อม “มาเยือนสำนักหมื่นสรรพสัตว์ ได้ข่าวว่าท่านประมุขมาเยี่ยมเยือนที่นี่ด้วย ผู้น้อยไม่กล้ารบกวน แต่ก็ไม่กล้าเมินเฉย จึงได้แต่ทำหน้าหนา ขอเข้าคารวะอย่างหวาดหวั่นใจ”
หลงซิวยิ้มคล้ายมิยิ้ม กล่าวว่า “แค่มาคารวะ?”
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยอย่างนอบน้อม “ขอรับ!”
หลงซิวค่อนข้างแปลกใจ
หลังจากนั้นก็เป็นไปตามที่หนิวโหย่วเต้าว่ามาจริงๆ ไม่เอ่ยเรื่องงานใดๆ เลย เป็นการมาเยี่ยมเยือนอย่างแท้จริง รับฟังก่วนฟางอี๋และหลงซิวคุยเล่นกัน มีเอ่ยสอดประสมโรงบ้างเป็นครั้งคราว
อดีตโฉมงามที่ตนเคยเกี้ยวพามาประจบเอาใจ ทำให้วันนี้หลงซิวอารมณ์ดีนัก คำหยอกเย้าของก่วนฟางอี๋ทำให้เขามีความสุขอย่างยิ่ง
หลังส่งแขกจากไปแล้ว หลงซิวเท้าราวกั้นศาลาริมน้ำอย่างเงียบๆ
ใครบ้างจะไม่เคยมีวัยเยาว์สดใส ใครบ้างจะไม่มีเรื่องในอดีตที่ลืมไม่ลงฝังลึกอยู่ในความทรงจำ
เมื่อได้พบหน้ากันอีกครั้ง ตะกอนความทรงจำก็ลอยขึ้นมา โฉมงามมิได้งามล้ำล่มเมืองเช่นในวันวานแล้ว ทำให้เขาสะท้อนใจอย่างยิ่ง แล้วก็รู้สึกปลงขึ้นมาเล็กน้อย พบว่าเรื่องราวในอดีตกลายเป็นอดีตไปแล้วจริงๆ พบพานมิสู้เก็บไว้ในความทรงจำ
อี้ซูกลับมาจากส่งแขกแล้ว เดินอย่างแผ่วเบาไปหยุดข้างกายหลงซิว เอ่ยถามไป “อาจารย์ ท่านคิดอย่างไรกับหนิวโหย่วเต้าคนนี้เจ้าคะ?”
หลงซิวกล่าวว่า “โดดเด่นในหมู่คนรุ่นเยาว์ ไม่ธรรมดา! หากมิใช่เพราะชาติกำเนิดและฐานอำนาจอ่อนด้อย ขาดกำลังและผู้หนุนหลังไป เจ้ากับพวกศิษย์พี่ทั้งหลายก็คงสู้เขาไม่ได้”
อี้ซูค่อนข้างดูแคลน “ข้าว่าเขาก็ไม่เท่าไรเลยเจ้าค่ะ ขี้ประจบสอพลอ ท่านอาจารย์อย่าได้ถูกรูปลักษณ์ของเขาหลอกลวงเอานะเจ้าคะ!”
ท่าทางยามที่หนิวโหย่วเต้าเอ่ยสอดประสมโรงเป็นระยะๆ ก่อนหน้านี้ นางมองแล้วอยากจะอาเจียนนัก
หากมิใช่เพราะมีหงเหนียงแห่งเมืองหลวงแคว้นฉีคนนั้นปรากฏตัวขึ้นมา ทั้งยังมีท่าทางสนิทสนมคุ้นเคยกับท่านอาจารย์ปานนั้น ทำให้นางไม่สะดวกจะเผยอารมณ์ หาไม่แล้วนางคงทำให้หนิวโหย่วเต้าได้เห็นดีแน่ อาจจะจัดการเล่นงานสักยกด้วยซ้ำ
“ประจบสอพลอ? เจ้าคิดเช่นนี้หรือ?” หลงซิวหันมามองนางเล็กน้อย จากนั้นก็หันมองนภาราตรีด้านนอกอีกครั้ง “ตัวเจ้าย่อมมีสิทธิ์ที่ไม่ต้องไปประจบเอาใจใคร แต่เขากลับไม่มี เมื่อถึงคราวที่สมควรต้องก้มหัวก็จำเป็นต้องยอมก้มหัวให้ เจ้าจะพูดว่าเขาเป็นคนประจบสอพลอก็ได้ จะบอกว่าเขาเป็นชายชาตรียืดได้หดเป็นก็ได้ ขึ้นอยู่กับว่าเจ้ามองจากมุมไหน รอดูกันต่อไปสิ พยัคฆ์สองตัวไม่มีทางอยู่ร่วมถ้ำได้ ไม่ช้าก็เร็วสองขั้วอำนาจในหนานโจวจะต้องปะทะกันแน่นอน รอดูเถิดว่าสุดท้ายผู้ใดจะได้ไปครอง!”
อี้ซูถาม “อาจารย์คิดว่าหนิวโหย่วเต้าจะได้ชัยหรือเจ้าคะ?”
หลงซิวเอ่ยด้วยสีหน้าราบเรียบ “ผู้ใดมีชัยผู้ใดพ่ายแพ้ก็ไม่กระทบต่อผลประโยชน์ของวังเหินเวหา ผู้ใดจะชนะก็ได้ทั้งนั้น ข้าต้องการให้คนแข็งแกร่งที่สุดเป็นผู้ชนะ! ทางแคว้นเยี่ยนนั่นน่ะ เอะอะก็จะให้พวกเราออกหน้าไม่ได้ ต้องมีคนระดับล่างที่สามารถปะทะและจัดการศัตรูได้ เข้าใจหรือไม่?”
อี้ซูเงียบไป จากนั้นก็ลองถามหยั่งเชิงอีกประโยค “อาจารย์ หงเหนียงคนนั้นงามมากหรือเจ้าคะ?”
หลงซิวยิ้มน้อยๆ สะท้อนใจมากเช่นกัน “หรือว่านางไม่งามเล่า? แน่นอน ตอนนี้ความงามสร่างซาลงไม่น้อย เทียบกับในอดีตไม่ได้ แต่สมัยนั้นได้รับการยกย่องว่าเป็นโฉมงามอันดับหนึ่งในใต้หล้า เลอโฉมทรงเสน่ห์! ตอนนั้นอาจารย์ของเจ้าก็เกือบจะต้านทานไม่ไหวเช่นกัน”
อี้ซูเม้มปากนิดๆ ถามไปอีก “ความสัมพันธ์ระหว่างอาจารย์กับนางดีมากหรือเจ้าคะ?” นี่ต่างหากเรื่องที่นางอยากรู้
หลงซิวเอ่ยว่า “เจ้าคิดมากไปแล้ว ไม่มีความสัมพันธ์อันใดทั้งนั้น”
….
เมื่อกลับมาถึงเรือนรับรองของตน ระหว่างที่ทั้งสองเดินเข้าเรือน หนิวโหย่วเต้าก็ได้หยิบยกเอาเรื่องความสัมพันธ์มาหยอกเย้าก่วนฟางอี๋เช่นกัน “ไม่ว่าเรื่องใดก็กล้าพูดออกไปทั้งสิ้น ความสัมพันธ์ระหว่างเจ้ากับหลงซิวไม่เลวเลยนี่”
ก่วนฟางอี๋ดูแคลน “ไหนเลยจะมีความสัมพันธ์อันใด เดิมทีก็ไม่ได้ทอดไมตรีอันใดอยู่แล้ว อีกฝ่ายเพียงหาเรื่องเล่นสนุกตอนอยู่ว่างๆ เท่านั้น เจ้าคิดว่าคนที่ไปถึงจุดนั้นได้จะยังมีเรื่องความสัมพันธ์อันใดอีกหรือ? เพราะข้ามีค่าพอให้ใช้ประโยชน์ถึงได้ผูกสัมพันธ์ด้วย หากไม่มีค่าพอให้ใช้ประโยชน์ อย่างมากก็แค่นับเป็นคนรู้จักคนหนึ่งเท่านั้น”
หนิวโหย่วเต้าหัวเราะฮ่าๆ “เจ้ายังนับว่ามองออก”
ก่วนฟางอี๋แค่นเสียง “ใช้ชีวิตอยู่มานานขนาดนี้ ข้ามองจนทะลุปรุโปร่งแล้ว ข้าไม่อยากไป เจ้าก็รั้นจะพาข้าไปให้ได้ คนเขาไม่ถือสาก็แล้วไป หากเขาถือสาขึ้นมา กังวลว่าข้าจะส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงเขา เจ้าลากข้าไปด้วย เผลอๆ อาจจะได้ผลลัพธ์ตรงกันข้ามนะ”
หนิวโหย่วเต้าพอจะเข้าใจแล้วว่าเหตุใดนางถึงไม่อยากเอ่ยถึงเรื่องที่เกี่ยวข้องกับคนเหล่านั้น เขาเอ่ยยิ้มๆ ว่า “คนประเภทใดบ้างเล่าที่เจ้าไม่เคยพบเจอมาก่อน พบคนประเภทไหน ต้องพูดคุยเช่นไรเจ้าย่อมรู้ดี ข้าไม่กังวลเลยสักนิด พาเจ้าไปก็เพื่อช่วยผ่อนคลายบรรยากาศเท่านั้น จะมีเรื่องใดไปได้เล่า”
พอเอ่ยมาถึงตรงนี้ ก่วนฟางอี๋ก็สงสัยขึ้นมา “ตั้งแต่ต้นจนจบไม่เห็นเจ้าพูดเรื่องสำคัญเลย กลับเอาแต่ส่งสัญญาณให้ข้าชวนเขาคุยเล่น เจ้าไปเข้าพบเขาต้องการอะไรกันแน่? เพียงไปคารวะเปล่าๆ เท่านี้น่ะหรือ?”
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยออกไปสองคำ “วางหมาก!”
ก่วนฟางอี๋กะพริบตาปริบๆ ตระหนักได้แล้วว่าเขากำลังวางแผนบางอย่างอยู่ นางถามด้วยความอยากรู้ “วางหมากอันใด?”
แต่หนิวโหย่วเต้าตัดจบเพียงเท่านี้ “เอาล่ะ เจ้าเข้านอนให้เร็วหน่อยเถอะ พรุ่งนี้จะพาเจ้าไปเยี่ยมเยือนอีกหลายสำนัก ข้ายังต้องพึ่งบารมีเจ้าเข้าไปนั่งเล่นสักพักต่อ”
อมพะนำอีกแล้ว ก่วนฟางอี๋กลอกตาใส่ ร้อง “เฮอะ” ใส่เขาทีหนึ่ง “ไม่ต้องมาเรียกข้า ข้าไม่ไปแล้ว!” ว่าจบก็สะบัดหน้าเดินจากไป
หนิวโหย่วเต้าทำเป็นไม่ได้ยิน อย่างไรเสียพอถึงเวลาย่อมมีวิธีพาตัวนางไป
หยวนกังที่เร้นตัวอยู่ในความมืดเดินเข้ามาหา เอ่ยถามออกไป “ไม่เป็นไรใช่ไหมครับ”
หนิวโหย่วเต้าส่ายหน้า เอ่ยถามว่า “เรื่องทางเมืองวั่นเซี่ยง คนของสำนักเบญจคีรีส่งข่าวมาบ้างหรือยัง?”
หยวนกังเอ่ยว่า “กำลังคนที่ระดมมาจากสำนักเบญจคีรีกระจายตัวจับตามองอยู่ภายในเมืองแล้ว ตอนนี้ยังไม่เห็นคนของสำนักเขามหายานปรากฏตัวขึ้น คำนวณจากเวลาแล้ว หากไม่เร่งเดินทางมาก็น่าจะยังมาไม่ถึง แต่คงใกล้จะมาถึงแล้วครับ ยังมีความเป็นไปได้อีกกรณีคือแปลงโฉมปลอมตัวกันมาทั้งหมด อีกทั้งไม่ได้รู้จักพวกเขาดี จึงยากจะหาตัวให้พบได้”
หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “แดนความฝันยังไม่ปิดตัวลง หลังจากสำนักเขามหายานทราบข่าวต้องส่งคนมาตรวจสอบสถานการณ์แน่นอน หากไม่พักในเมืองวั่นเซี่ยงก็คงมาที่สำนักหมื่นสรรพสัตว์ ให้จับตามองทางเมืองวั่นเซี่ยงต่อไป หากพบตัวแล้วมาแจ้งฉันทันที ส่วนทางสำนักหมื่นสรรพสัตว์ ฉันจะให้เฉาเซิ่งไหวช่วยตรวจสอบดู อาจจะให้เขาช่วยตรวจสอบทางเมืองวั่นเซี่ยงด้วย”
หยวนกังถาม “พบกับเฉาเซิ่งไหวในสำนักหมื่นสรรพสัตว์อย่างเปิดเผยจะดีเหรอ?”
หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “ไม่จำเป็นต้องไปพบอย่างเปิดเผย ตอนนี้เจ้าหมอนั่นคงกระสับกระส่ายไม่เป็นสุขแล้ว กลัวฉันจะก่อเรื่องวุ่นวาย ถ้าสังเกตเห็นเรื่องผิดปกติที่ไม่เข้าใจขึ้นมาคงร้อนใจแน่ ฉันกล้าประกันเลยว่าเขาจับตามองทางนี้อยู่ตลอดเวลา พอรู้ว่าฉันไปหาคนทางวังเหินเวหามา คงจะกระวนกระวายขึ้นมาอีก เขาต้องเป็นฝ่ายมาหาพวกเราถึงที่แน่”
….
แสงโคมส่องสลัว ผีเสื้อจันทราเกาะเสาคานให้แสงสว่าง ซีไห่ถังนั่งขัดสมาธิหลับตาอยู่บนเบาะกลมอย่างสงบ
โฉวซานมาถึงแล้ว เดินเข้ามานั่งขัดสมาธิอยู่ตรงข้ามกัน “หนิวโหย่วเต้าไปพบหลงซิวมาแล้วขอรับ”
ซีไห่ถังตอบทั้งที่หลับตาอยู่ “จะพบก็พบไปสิ คู่ควรให้เจ้าต้องมารายงานด้วยตัวเองหรือ? หรือจะมาช่วยพูดให้สำนักหยกสวรรค์นั่นอีก?”
โฉวซานกล่าวว่า “เจ้าสำนักเข้าใจผิดไปแล้ว เพียงอยากจะมาแจ้งว่าระยะเวลาที่เขาเข้าไปพบหลงซิวไม่ใช่สั้นๆ เลย หนิวโหย่วเต้าอยู่ด้านในครึ่งชั่วยามเต็มถึงได้ออกมา เกรงว่าจะมิใช่การเยี่ยมเยือนธรรมดาขอรับ”
ซีไห่ถังลืมตาขึ้นมา “หลงซิวคุยกับเขานานขนาดนั้นเชียวหรือ?”
โฉวซานกล่าวว่า “ก็เพราะรู้สึกว่าค่อนข้างน่าประหลาด ข้าจึงมาเรียนให้ทราบ หนิวโหย่วเต้ายังพาคนผู้หนึ่งไปด้วย เป็นหงเหนียงแห่งเมืองหลวงแคว้นฉีคนนั้นขอรับ”
“นางก็มาด้วยหรือ?” ซีไห่ถังแปลกใจ มุมปากกระตุกเล็กน้อยอย่างที่ยากจะสังเหตเห็นได้ ถามออกไปว่า “เหตุใดก่อนหน้านี้ไม่เคยได้ยินเจ้าเอ่ยถึงเลย?”
แม้แต่หนิวโหย่วเต้าเองก็ยังไม่มีค่าให้พูดถึงเลย เพียงแค่ผู้ติดตามคนหนึ่ง ข้าจะเอ่ยถึงนางโดยเฉพาะไปทำไม? โฉวซานสังเกตเห็นว่าปฏิกิริยาของเจ้าสำนักผิดแผกไป จึงเอ่ยถามด้วยความสงสัยว่า “เจ้าสำนักรู้จักนางหรือขอรับ?”
ซีไห่ถังเห็นว่าเขามองตนด้วยสายตาที่แปลกไป ทราบว่าเขาเข้าใจผิดไปแล้ว จึงเอ่ยชี้แจงไปทันที “เจ้าอย่าได้คิดเหลวไหลไป ข้ารู้จักนางจริง สมัยก่อนนางมีชื่อเสียงมากนัก แต่ไม่มีภูมิหลังอันใด อีกทั้งไม่ใช่คนในสำนักใดๆ ที่จะพบตัวได้ยาก เงื่อนไขในการเข้าพบนางไม่นับว่ายากเย็น คนมากมายที่เดินทางไปเยือนเมืองหลวงแคว้นฉีทุกคนที่พอจะมีอิทธิพลล้วนสามารถพบนางได้ง่าย ช่วงที่เดินทางไปจัดการธุระให้อาจารย์ในเมืองหลวงแคว้นฉี ได้ข่าวว่าโฉมงามอันดับหนึ่งในใต้หล้าก็พำนักอยู่ในเมืองหลวงแคว้นฉีเช่นกัน ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่อยากจะไปเห็นว่าโฉมงามอันดับหนึ่งในใต้หล้าเป็นเช่นไรกัน หลังจากได้เห็นก็รู้สึกว่าไม่เท่าไร ไม่มีอะไรน่าสนใจ เรื่องมีเพียงเท่านี้”
โฉวซานร้องโอ้ แต่กลับบ่นอยู่ในใจ หากมีเพียงเท่านี้ เหตุใดท่านถึงดูประหลาดใจถึงเพียงนั้น?
พอเห็นว่าคนผู้นี้ดูเหมือนจะไม่ค่อยเชื่อ ซีไห่ถังอึกอักคล้ายอยากพูดอะไร แต่พอคิดๆ ไปก็คร้านจะอธิบาย เลี่ยงไม่ให้ยิ่งอธิบายยิ่งวุ่นวาย
แน่นอนว่าย่อมต้องรู้สึกกระอักอระอ่วนใจอยู่เล็กน้อย เพราะมันมิใช่แค่ไปพบหน้าเพียงครั้งเดียวเท่านั้น หากแต่หลังจากได้พบหน้าคราหนึ่งแล้ว เขาก็เป็นฝ่ายถ่อไปพบหน้านางอีกหลายครั้ง แต่สุดท้ายเป็นเพราะสถานะหน้าที่ ด้วยฐานะศิษย์ของสำนักหมื่นสรรพสัตว์ พอจบภารกิจก็ไม่อาจรั้งอยู่ในเมืองหลวงแคว้นฉีโดยไม่ยอมกลับได้
……………………………………………………………………………