ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า – ตอนที่ 505 สีดำ

ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า

ตอนที่ 505 สีดำ

แต่ปัญหาคือเขาได้ทำเรื่องใหญ่ที่อันตรายกว่านี้ไปแล้ว เขาไม่เหลือช่องให้เจรจาต่อรองอีก ไม่จำเป็นต้องมาแตกหักกับหนิวโหย่วเต้าเพียงเพราะเรื่องเล็กน้อยแค่นี้

คิดจะวางแผนเล่นงานอีกฝ่าย แต่กลับถูกอีกฝ่ายกุมจุดอ่อนไว้แทน บนโลกนี้ไม่มียาช่วยรักษาโรคเสียใจภายหลัง สิ่งที่เขาต้องทำในตอนนี้ก็คือพยายามจัดการงานนั้นให้ลุล่วงโดยเร็ว จะได้ควบคุมจุดอ่อนหนิวโหย่วเต้าไว้ในมือเช่นกัน ทำให้คนผู้นี้ไม่กล้าเรียกใช้งานตนเหมือนสุนัขรับใช้อีก

ด้วยเหตุนี้เฉาเซิ่งไหวจึงยังคงไปพบเฉินถิงซิ่ว ‘โดยบังเอิญ’

ใต้ต้นสนเก่าแก่นอกเรือนรับรอง บนโต๊ะศิลาตัวหนึ่ง เฉินถิงซิ่วนั่งดื่มชาอยู่ตรงนั้น ทอดมองขุนเขาสายธารหรือไม่ก็ผู้คนในสถานที่แห่งนี้

ตอนนี้เขาทำได้เพียงเฝ้ารออยู่ที่นี่ รอข่าวจากศิษย์ที่ส่งออกไปสืบหาภายในสำนักหมื่นสรรพสัตว์ แล้วก็กำลังรอให้ซีไห่ถังเรียกเข้าพบ เป็นตัวแทนสำนักหยกสวรรค์เข้าเยี่ยมเยือนเล็กน้อย

เขาพอจะตระหนักถึงบางอย่างได้ ในสายตาของสำนักหมื่นสรรพสัตว์แล้ว สำนักหยกสวรรค์ยังด้อยกำลังนัก มิเช่นนั้นต่อให้ซีไห่ถังงานยุ่งเพียงใดก็คงไม่ยุ่งจนถึงขั้นนี้ อย่างน้อยจัดผู้อาวุโสประจำสำนักหยกสวรรค์อย่างเขาไว้ในลำดับท้ายๆ ก็มิใช่เรื่องเสียหายอะไร

ทางเดินโรยหินลาดชันลดเลี้ยวไปตามซอกเขา เฉาเซิ่งไหวเดินเอ้อระเหยเข้ามา เดินผ่านนอกเรือนเล็กไป

เฉินถิงซิ่วหันมองเขา ผลคือสังเกตเห็นว่าอีกฝ่ายเพียงแค่กวาดสายตามองเขาอย่างเย่อหยิ่งเล็กน้อย ไม่ได้สนใจอะไรเขา ถูกอีกฝ่ายเมินไป

ศิษย์สำนักหมื่นสรรพสัตว์ที่รับผิดชอบดูแลแขกอยู่ทางนี้คารวะเฉาเซิ่งไหวที่เดินผ่านมาอย่างอ่อนน้อม “ศิษย์พี่เฉา ท่านมาได้อย่างไรขอรับ หรือว่ามีธุระจะสั่งการ?”

“เดินเรื่อยเปื่อยเท่านั้น” เฉาเซิ่งไหวตอบส่งๆ ไป จากนั้นพยักพเยิดไปทางเรือนรับรอง “ที่นี่มีแขกหรือ?”

ศิษย์คนนั้นมองเฉินถิงซิ่วที่อยู่ใต้ต้นไม้เล็กน้อย เอ่ยตอบว่า “เป็นแขกจากสำนักหยกสวรรค์แห่งหนานโจวในแคว้นเยี่ยนขอรับ”

เฉาเซิ่งไหวร้องโอ้คำหนึ่ง คล้ายจะไม่สนใจอะไร เตรียมจะเดินผ่านไป

กลับเป็นฝ่ายเฉินถิงซิ่วที่ลุกขึ้นเดินเข้ามาหาเอง ยิ้มแล้วทักทาย “ไม่ทราบว่าท่านเป็นศิษย์ของผู้อาวุโสท่านใดหรือ?”

จากท่าทางของศิษย์คนนั้น ทำให้เขามองออกว่าฐานะของเฉาเซิ่งไหวน่าจะไม่ธรรมดา

เฉาเซิ่งไหวหยุดฝีเท้า หันมองเขาหัวจรดเท้า “ท่านเป็นใคร?”

ศิษย์คนนั้นเหงื่อตกเล็กน้อย ปฏิบัติต่อแขกเช่นนี้ออกจะเสียมารยาทเกินไปหน่อยกระมัง

เฉินถิงซิ่วกลับไม่ถือสา เขาสามารถดูแคลนสถานะผู้บำเพ็ญเพียรและอำนาจของหนิวโหย่วเต้าได้ แต่ไม่สามารถดูแคลนคนที่อยู่เบื้องหน้าผู้นี้ได้ ยิ่งมีท่าทางหยิ่งผยองเท่าไรก็แปลว่ายิ่งมีภูมิหลังสูงส่ง เขาขยับเข้าหา ประสานมือเอ่ยว่า “เฉินถิงซิ่วผู้อาวุโสแห่งสำนักหยกสวรรค์มณฑลหนานโจวแห่งแคว้นเยี่ยน”

“โอ้ ยินดีที่ได้พบ” เฉาเซิ่งไหวประสานมือทักทายกลับอย่างคล้ายจะไม่เต็มใจ

หลังจากพูดจาตามมารยาทกันไปมา สุดท้ายทั้งสองก็มานั่งดื่มชาด้วยกันที่ใต้ต้นสน

หลังจากได้ทราบว่าปู่ของเฉาเซิ่งไหวคือผู้อาวุโสเฉาจิ้งแห่งสำนักหมื่นสรรพสัตว์ ท่าทีของเฉินถิงซิ่วย่อมเป็นมิตรขึ้นมากกว่าเดิม ฝ่ายเฉาเซิ่งไหวก็คล้ายจะดื่มด่ำไปกับคำเยินยอของเขา พอได้ฟังคำเยินยอมากเข้าก็เหมือนจะคุมปากตนไม่อยู่ พูดในสิ่งที่ไม่สมควรพูดออกมา…

….

ภายในศาลา หนิวโหย่วเต้านั่งอยู่หน้าโต๊ะศิลา ใช้ผ้าขนหนูผืนหนึ่งเช็ดตัวกระบี่ที่ส่องประกายแวววาว เช็ดถูอย่างพิถีพิถัน ราวกับอยากจะเช็ดจนไม่มีฝุ่นเกาะเลยแม้แต่ธุลีเดียว

หยวนกังมองอยู่ด้านข้างพักหนึ่งถึงเอ่ยถาม “เรื่องที่ขัดต่อกฎของสำนักเช่นนี้ โจวเถี่ยจื่อจะยอมทำตามที่รับปากคุณไว้เหรอ?”

เขาหมายถึงเรื่องที่ทางนี้สั่งให้โจวเถี่ยจื่อไปจับตามองทางเรือนรับรองของสำนักชะตาสวรรค์ แน่นอนว่าตามคำพูดของหนิวโหย่วเต้าคืออยากให้โจวเถี่ยจื่อช่วยทำธุระให้เล็กน้อย

หนิวโหย่วเต้าใช้สมาธิกับการเช็ดถูกกระบี่ในมือ “จะทำหรือไม่ก็ไม่สำคัญ ทางเฉาเซิ่งไหวส่งข่าวมาแล้ว ฉันแค่อยากรู้ว่าเขามีค่าพอจะให้ช่วยเหลือหรือไม่ สำนักหมื่นสรรพสัตว์แห่งนี้ก็ไม่ใช่สถานที่ดีเด่อะไร ที่ใดมีคนที่นั่นมีการแก่งแย่ง หากมิใช่คนที่อยากแก่งแย่งไยจะต้องเข้าสู่สถานที่แก่งแย่งชิงดีเช่นนี้ด้วย แบบนั้นช่วยเหลือเขาไปกลับจะเป็นการทำร้ายเขาเปล่าๆ ไม่สู้ปล่อยให้เก็บตัวทำงานจิปาถะอย่างสงบต่อไปดีกว่า ให้เขาได้เลือกด้วยตัวเองแล้วกัน!” ดฮณ๊ฯดฯฌซ,

หยวนกังเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย มองเห็นลุงเฉินเดินออกมาจากเรือนด้านหลัง จากนั้นเข้ามาในศาลา ก่อนจะเอ่ยถาม “เรียกหาข้าด้วยเรื่องใด?”

หนิวโหย่วเต้าสอดกระบี่กลับเข้าฝัก วางฝักกระบี่ยันพื้น เลื่อนมือขึ้นมากุมด้ามกระบี่ มองไปทางเรือนด้านหลัง ถามออกไปว่า “ยังไม่ออกมาจากห้องอีกหรือ?”

ลุงเฉินตอบว่า “เคาะประตูดูแล้ว ตอบว่าจะนั่งสมาธิบำเพ็ญเพียรอยู่ในห้อง”

“ขยันบำเพ็ญเพียรขึ้นมาเสียอย่างนั้น” หนิวโหย่วเต้ายิ้ม ผายมือเชื้อเชิญอีกฝ่าย “เชิญนั่ง!” จากนั้นก็โบกมือให้หยวนกัง “ยกชามา !”

หยวนกังหันหลังไปจัดเตรียมรินชา

ลุงเฉินมองกระดานหมากที่วางอยู่บนโต๊ะ ค่อยๆ นั่งลงพลางเอ่ยถาม “คงไม่ได้เรียกข้ามาเพื่อเดินหมากกับท่านกระมัง?”

หนิวโหย่วเต้ายื่นมือไปแยกชามหมากออกจากกัน มองตัวเบี้ยขาวดำที่อยู่ในชามทั้งสองใบ ตั้งใจหมุนชามสลับทิศทาง ดันชามหมากสีขาวออกไป ส่วนตนก็เก็บชามหมากสีดำไว้ หยิบหมากสีดำเม็ดหนึ่งขึ้นมา ‘แปะ’ เสียงวางหมากดังชัด จากนั้นผายมือสื่อให้อีกฝ่ายวางหมาก

ลุงเฉินไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ แต่รู้ดีว่าไม่ใช่แค่ให้เดินหมากธรรมดา จะต้องมีเรื่องใดอยู่แน่นอน ในเมื่อถามแล้วไม่ตอบ อย่างนั้นก็ทำได้เพียงรอดูต่อไป เขาวางหมากสีขาวลงบนกระดาน ตอบโต้กลับไป

หลังจากวางหมากไปครู่หนึ่ง หยวนกังก็ยกน้ำชาเข้ามา รินใส่ถ้วยชาสองใบ

หนิวโหย่วเต้าวางหมากสีดำเม็ดหนึ่งลงไป เอ่ยขึ้นว่า “ถ้วยชาสองใบนี้ ใบหนึ่งมีพิษ ใบหนึ่งไม่มีพิษ ข้าก็ไม่ทราบเช่นกันว่าเป็นใบไหนที่มีพิษ ซึ่งพิษนี้ไม่มียาถอน”

หยวนกังเหลือบมองเขาเล็กน้อย เขาเป็นคนรินชาเองกับมือ มีพิษหรือไม่เขาจะไม่รู้เชียวหรือ? ไม่มีพิษเลย!

แววตาของลุงเฉินที่คีบหมากขาวอยู่วูบไหว ไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายมีเจตนาเช่นไร

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยเสริมไปว่า “พวกเราดื่มกันคนละถ้วย ให้เจ้าเลือกก่อน เลือกใบไหนก็ต้องดื่มใบนั้น ใบที่เหลือจากเจ้า ข้าจะดื่มเอง ยุติธรรมสมเหตุสมผล”

ม่านตาลุงเฉินหดตัวลง “ท่านหมายความว่าอย่างไร?”

หนิวโหย่วเต้าตอบว่า “หมายความว่าอย่างไร หลังจากดื่มชานี้เข้าไปแล้วข้าย่อมจะบอกเอง”

ลุงเฉินเอ่ยว่า “ทำไมจู่ๆ ข้าต้องเอาชีวิตมาเดิมพันกับท่านด้วย?”

หนิวโหย่วถาม “หากว่าเพื่อหงเหนียงเล่า?”

ลุงเฉินขมวดคิ้ว “เรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับหงเหนียง”

“เมื่อเจ้าดื่มเข้าไปแล้ว ข้าย่อมจะมอบคำอธิบายที่เจ้าพอใจให้”

“หากข้าไม่ดื่มล่ะ?”

“ไสหัวไปทันที นับจากนี้ไปไม่อนุญาตให้เจ้าปรากฏตัวอยู่ข้างกายหงเหนียงอีก”

“ข้าจะอยู่ข้างกายหงเหนียงได้หรือไม่ก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับท่าน”

“อยู่ร่วมกันมานานขนาดนี้แล้ว เจ้าน่าจะรู้นะว่าข้ามีวิธีทำให้เจ้าไสหัวไปให้พ้นจากข้างกายหงเหนียงได้ อย่างเช่นประกาศภูมิหลังเจ้าออกไป ยังไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่นเลย ลำพังแค่คนในสวนไม้เลื้อยเองจะมองไส้ศึกอย่างเจ้าอย่างไรกันเล่า เจ้ายังจะอยู่ต่อไปได้หรือ? เจ้าเลือกเอาเองเถอะ ชาก็อยู่ตรงนี้แล้ว ข้าไม่บังคับเจ้า”

ลุงเฉินเงียบไป จ้องมองถ้วยชาสองใบอยู่เนิ่นนาน เอ่ยเนิบๆ ว่า “ท่านแน่ใจหรือว่าหากข้าดื่มเข้าไปแล้วท่านจะมอบคำอธิบายที่ทำให้ข้าพอใจได้?”

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “หากต้องการแค่สังหารเจ้า ข้าก็ไม่จำเป็นต้องรอมาถึงตอนนี้เลย”

ในจุดนี้ลุงเฉินย่อมเชื่อ กินดื่มด้วยกันอย่างไร้การป้องกันมาโดยตลอด อีกฝ่ายมีโอกาสลงมือมากมายหลายครั้ง ไม่จำเป็นต้องรอจนถึงตอนนี้เลยจริงๆ

หลังจากเขาวางหมากสีขาวลงไปก็ยื่นมือออกไป ลังเลอยู่ระหว่างแก้วชาทั้งสองใบ แต่สุดท้ายก็เลือกหยิบมาใบหนึ่ง เชิดหน้าดื่มเข้าไป อดทนต่อความร้อนลวกไว้ แม้แต่ใบชาก็ดื่มลงท้องไปด้วย พอหมดถ้วยก็แสดงให้หนิวโหย่วเต้าเห็น “ตาท่านดื่ม!”

หนิวโหย่วเต้าคลึงตัวหมากในมือเล่น จ้องมองกระดานหมากหาจุดวางหมาก ปากก็เอ่ยตอบว่า “ข้าบอกไปแล้วว่าข้าไม่รู้ว่าถ้วยไหนมีพิษ ไม่จำเป็นต้องรนหาที่ตายใส่ตัวเลย”

สีหน้าที่เรียบเฉยเสมอมาของลุงเฉินดูโมโหอย่างเห็นได้ชัด “นี่น่ะหรือคำตอบน่าพอใจที่ท่านมอบให้ข้า?”

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “เอาล่ะ ล้อเจ้าเล่นเท่านั้น ในชาไม่มีพิษ ในเมื่อเจ้าไม่ยอมบอกว่าเป็นผู้ใดที่ส่งเจ้ามา ต่อไปข้าก็จะไม่ถามอีก ข้าเชื่อคำพูดของเจ้าที่บอกว่ามาเพื่อปกป้องหงเหนียงโดยไร้ซึ่งเจตนาร้าย” มือข้างหนึ่งของเขากุมกระบี่ไว้ อีกข้างวางเบี้ยลงไป หลังจากวางเบี้ยลงไปแล้วก็ค่อยๆ ยกถ้วยน้ำชาขึ้นมาจ่อปาก จิบเข้าไปอย่างเชื่องช้าสองสามอึก

ลุงเฉินจ้องมองถ้วยชาตรงหน้าแล้วเงียบไป

“ตาเจ้าแล้ว” หนิวโหย่วเต้าวางถ้วยชาลงพลางสื่อว่าให้อีกฝ่ายเดินหมากต่อ

ลุงเฉินจิตใจไม่อยู่กับตัว ยามที่สถานการณ์บนกระดานหมากตกที่นั่งลำบากถูกรุกสังหาร โจวเถี่ยจื่อกลับมาพอดี

พอเห็นว่าหนิวโหย่วเต้ากำลังเดินหมากกับคนอื่นอยู่ เขาจึงลังเลเล็กน้อย ไม่รู้ว่าควรเข้ามาแจ้งเรื่องหรือไม่

หยวนกังเดินออกมาจากศาลา พาโจวเถี่ยจื่อออกไปคุยกันด้านข้างสองสามประโยค

หลังจากโจวเถี่ยจื่อไปแล้ว หยวนกังเดินกลับ โน้มตัวลงกระซิบแจ้งข้างหูหนิวโหย่วเต้า “โจวเถี่ยจื่อเห็นเฉินถิงซิ่วเข้าไปในเรือนพำนักของทางสำนักชะตาสวรรค์แล้ว”

“ดูเหมือนจะเป็นอย่างที่ข้าคาดการณ์ไว้ ต้องการจะเล่นงานข้าจริงๆ ในเมื่อพุ่งเป้ามาที่ข้าแล้ว จะได้รอดชีวิตกลับไปหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับดวงของผู้อาวุโสเฉินคนนี้แล้ว” หนิวโหย่วเต้าหัวเราะฮ่าๆ ขึ้นมา เขาเอ่ยออกมาโดยไม่ได้หลบเลี่ยงลุงเฉินเลย ทั้งยังเอ่ยกับลุงเฉินไปว่า “ลุงเฉิน รบกวนเจ้าช่วยทำงานอย่างหนึ่งให้ข้าที”

ลุงเฉินถามด้วยสีหน้าเรียบตึง “งานอะไร?”

หนิวโหย่วเต้าบอกไป “ไปหาตู้อวิ๋นซาง ช่วยด่าเขาแทนข้าสักยก!”

ลุงเฉินถาม “ท่านล้อเล่นอะไรอยู่ เหตุใดท่านไม่ไปเองล่ะ?”

หนิวโหย่วเต้าตอบว่า “ความเป็นความตายของข้าเกี่ยวพันถึงคนกลุ่มหนึ่ง แต่ความตายของเจ้าจะจบที่ตัวเจ้าเท่านั้น ชีวิตข้ามีค่ามากกว่าเจ้า ข้าไปเองไม่คุ้มค่าพอที่จะเสี่ยงชีวิต แต่เจ้าต่างกันไป เจ้าเป็นองครักษ์เดนตาย” ลุงเฉินอ้าปากหมายจะพูด แต่ถูกเขายกมือปรามไว้ “เรื่องนี้จะไม่เกี่ยวข้องใดๆ กับข้า หากแต่เป็นเพราะตัวเจ้าที่เป็นคนเก่าคนแก่ของสวนไม้เลื้อยที่ทนดูไม่ได้อีกต่อไป ตั้งแต่ต้นจนจบห้ามพูดถึงข้าเด็ดขาด ห้ามชักนำความเดือดร้อนใดๆ มาให้ข้า หลังจากไปพบตู้อวิ๋นซาง…”

พอฟังเขาพูดสั่งงานตนจบ ลุงเฉินค่อนข้างสับสนไม่เข้าใจ “ท่านคิดจะทำอะไรกันแน่?”

หนิวโหย่วเต้าไม่อธิบายว่าเพราเหตุใด ดันกระดานหมากที่สะเปะสะปะวุ่นวายออก ยันกระบี่ลุกขึ้นยืน หันหลังเดินออกไป “เวลาเป็นเงินเป็นทอง อย่าโอ้เอ้เลย ไปเถอะ มีคนรอนำทางเจ้าอยู่ด้านนอกแล้ว”

….

ผู้นำทางคือโจวเถี่ยจื่อ หลังจากลุงเฉินตามโจวเถี่ยจื่อจากไปแล้ว หนิวโหย่วเต้ากับหยวนกังก็เดินออกมาจากในเรือน

ทั้งสองยืนอยู่ริมเขา เฝ้ามองทั้งสองคนที่อยู่ไกลออกไป หยวนกังถาม “ให้เขาไปออกหน้าเพื่อหงเหนียง เหวินซินจ้าวไหนเลยจะปล่อยให้เขาเข้าไปก่อเรื่องได้? ดีไม่ดีอาจจะเอาชีวิตไปทิ้งที่นั่น!”

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “ข่าวที่เฉินถิงซิ่วได้ไปคือเหวินซินจ้าวตบหงเหนียงด้วยความหึงหวง สื่อให้เห็นว่าหงเหนียงพัวพันกับตู้อวิ๋นซาง เฉินถิงซิ่วไหนเลยจะไปหาตู้อวิ๋นซางให้มาจัดการฉันได้ แล้วก็ไม่มีทางกล้าเอ่ยเรื่องของหงเหนียงต่อหน้าตู้อวิ๋นซางด้วย มิเช่นนั้นคงเป็นการรนหาเรื่อง เขาจะต้องไปพบเหวินซินจ้าวเป็นการส่วนตัวแน่ ส่วนทางเหวินซินจ้าวเมื่อเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับหงเหนียงก็จะไปพบเขาโดยหลบเลี่ยงตู้อวิ๋นซาง ในเวลานี้ ตู้อวิ๋นซางจะต้องไม่ได้อยู่กับเหวินซินจ้าวแน่นอน เป็นโอกาสดีที่จะไปพบตู้อวิ๋นซาง”

หยวนกังเอ่ยว่า “แต่คุณสั่งให้เขาไปทำแบบนั้น สถานการณ์ของเขาก็ยังอันตรายอย่างมาก ถ้าเกิดตู้อวิ๋นซางโมโหขึ้นมา…เพื่อยืนยันการคาดเดาในใจคุณ จำเป็นต้องให้เขาเอาชีวิตไปเสี่ยงเลยหรือ?”

“ถ้าไม่ให้เขาไป จะให้นายไปหรือไง?”

“เต้าเหยี่ย ผมยอมไปถ้าคุณจะให้ผมไป”

“เจ้าลิง นายเอาอีกแล้วนะ เขารู้จักกับตู้อวิ๋นซาง เป็นพยานในเรื่องราวสมัยก่อน ด้วยฐานะคนเก่าคนแก่ข้างกายหงเหนียง เขามีสิทธิ์พอที่จะทวงความเป็นธรรมให้หงเหนียง นายไปแล้วจะได้เรื่องอะไร? สถานะของนายแค่เห็นก็รู้แล้วว่าเป็นคนของฉัน จะทำให้อีกฝ่ายสงสัยเอาได้ง่ายๆ เสียเปล่า”

“แต่ถ้าเกิดเขาจี้จุดตู้อวิ๋นซางจนโมโหแล้วตายด้วยน้ำมือของตู้อวิ๋นซางล่ะครับ?”

“ถ้าตู้อวิ๋นซางยังระลึกถึงความรักแต่เก่าก่อนก็จะไม่มีทางฆ่าเขา ถ้าฆ่าเขาโดยไม่ไยดีต่อรักเก่า ความอยุติธรรมที่หงเหนียงเคยได้รับมาฉันก็คงยากจะทวงความเป็นธรรมคืนให้เธอได้ ลุงเฉินสามารถแฝงตัวอยู่ข้างหงเหนียงมานานขนาดนี้โดยปกปิดเรื่องคนเบื้องหลังไว้ได้ แสดงว่าเขาจะต้องเป็นคนที่ผู้อยู่เบื้องหลังคนนั้นไว้วางใจแน่นอน หากตู้อวิ๋นซางฆ่าคนสนิทของคนผู้นั้น ก็จะเป็นการสร้างศัตรูที่ร้ายกาจขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว มีศัตรูร้ายกาจอีกคนมาช่วยทวงความเป็นธรรมให้หงเหนียงด้วยไม่ดีหรือไง?”

“เต้าเหยี่ย บางครั้งคุณก็เลือดเย็นเกินไปนะครับ”

“เผชิญปัญหามากมายจะให้มาคอยใส่ใจทุกคนก็คงยาก ฉันไม่ใช่เทพเซียน ยังไงก็ต้องมีคนเสียสละอยู่ดี เจ้าลิง นายเลือกได้ว่าจะอยู่ฝั่งขาวหรือดำ แต่ในหลายๆ ครั้งฉันกลับไม่จำเป็นต้องเลือกเลย ในหมากกระดานหนึ่งมีแต่ต้องถือหมากสีดำเท่านั้น!” เมื่อเอ่ยจบ หนิวโหย่วเต้าก็ค่อยๆ หันหลังเดินค้ำกระบี่จากไป สีหน้าเรียบเฉย เดินจากไปอย่างเดียวดาย

………………………………………………………………………..

ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า

ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า

Status: Ongoing
ใต้หล้ากว้างใหญ่…จะลมก็ดี จะฝนก็ช่าง ไม่มีอะไรจะขวางข้าได้!นิยายแปลกำลังภายในเลือดเดือดร้อยเล่ห์กล พระเอกฉลาดมากไหวพริบ ฉากบู๊มันสะใจ!เมื่อปรมาจารย์แห่งการขุดสุสานผู้หลงใหลในการบำเพ็ญเพียรได้หลุดเข้าไปในยุคสมัยโบราณอันวุ่นวายเพราะไฟสงครามด้วยโชคชะตาวาสหนาหนุนนำ ทำให้เขาได้รับสุดยอดเคล็ดวิชาและต้องฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ นานา เพื่อสยบใต้หล้าเอาไว้ในกำมือ!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท