ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า – ตอนที่ 518 เฝ้าตอรอกระต่าย

ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า

ตอนที่ 518 เฝ้าตอรอกระต่าย

เฉาเซิ่งไหวโมโหเล็กน้อย ปากก่นด่าว่าคนสับปลับ จะให้เขาเชื่อถือได้อย่างไร แต่เรื่องนี้เดิมทีก็เป็นการเดิมพันกับธาตุแท้ของอีกฝ่ายอยู่แล้ว ต่อให้อีกฝ่ายไม่ให้เงินเขาเลยสักทองแดงเดียว เขาก็ทำอะไรอีกฝ่ายไม่ได้อยู่ดี แต่ไม่ว่าจะพูดอย่างไรก็ตาม อย่างน้อยก็ได้มาหนึ่งล้านเหรียญทองดีกว่าไม่ได้อะไรเลย

แม้ว่าท่านปู่จะเป็นผู้อาวุโสสำนักหมื่นสรรพสัตว์ แต่นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขามีเงินหนึ่งล้านเหรียญทองไว้สำหรับใช้จ่ายส่วนตัว

แต่จากห้าล้านเหลือแค่ล้านเดียว จะไม่ให้เขาโมโหได้อย่างไร เพื่อวิหคห้าตัวนั้น เขาเสี่ยงอันตรายไปมากเพียงใดเล่า?

แต่ตอนนี้มีเรื่องอื่นที่เขาใส่ใจมากกว่า “งานสำเร็จลุล่วงแล้ว ส่งมอบผลประโยชน์มหาศาลขนาดนี้ให้เจ้าไปแล้ว เจ้ารีบจงรีบจากไปเสีย”

เขาไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้ก็แล้วไป แต่พอเอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมา หนิวโหย่วเต้าใคร่ครวญแล้วเอ่ยไปว่า “ตอนนี้ยังไปไม่ได้ เงินที่ติดค้างไว้อีกสี่ล้านเหรียญทองคงต้องรออีกสองสามวัน รอคนนำเงินมาส่งให้ ลองคิดดูสิ เรื่องราวในอนาคตผู้ใดก็บอกได้ไม่แน่ชัด จัดการเรื่องเงินให้เรียบร้อยจะได้ไม่มีใครติดค้างใคร เลี่ยงไม่ให้เกิดความเข้าใจผิดอันใดขึ้น รอจนข้าไปจากสำนักหมื่นสรรพสัตว์แล้ว บัญชีระหว่างพวกเราจะถูกลบล้างกันไป ภายหน้าถึงพูดอะไรไปข้าก็จะไม่ยอมรับเด็ดขาด นับจากนี้ไปทางใครทางมัน วันหน้าก็อย่าได้ติดต่อกันอีกเลย ให้ทำเหมือนไม่เคยรู้จัก เป็นผลดีต่อทุกฝ่าย เจ้าคิดเห็นเช่นไร?”

แรกเริ่มที่ได้ฟัง เฉาเซิ่งไหวเดือดปุดๆ ขึ้นมา สัญชาตญาณตัดสินไปแล้วว่าอีกฝ่ายไม่รักษาคำพูด กำลังหลอกลวงตนอยู่ เกือบจะคลุ้มคลั่งขึ้นมาแล้ว

แต่พอเอ่ยประโยคช่วงหลังออกมา เขาก็เหมือนถูกสาดน้ำเย็นใส่หลายอ่าง ดับเพลิงโทสะเขาให้มอดในทันใด เสี้ยวโทสะที่เหลืออยู่ก็วอดไปกว่าครึ่งเช่นกัน

ถูกคำพูดเขาสกัดกั้นจนพูดไม่ออก

ความคิดกำลังเอนเอียงไปทางเงินสี่ล้านเหรียญทองนั้น สี่ล้านเหรียญทองเชียวนะ รออีกไม่กี่วันก็อาจจะได้มาแล้ว ที่เขาลงมือกับหนิวโหย่วเต้าในโลกมายาอย่างไม่นึกเสียดายมันเพื่อสิ่งใดกันเล่า?

จะให้เมินเฉยต่อเงินสี่ล้านเหรียญทอง เป็นเรื่องที่ตัดสินใจได้ยากลำบากจริงๆ

ในมุมมองของหนิวโหย่วเต้า เฉาเซิ่งไหวยังไร้เดียงสาเกินไป ไม่มีทางสู้เขาได้เลย จับเฉาเซิ่งไหวให้อยู่หมัดได้ง่ายดายนัก หลอกล่อนิดหน่อยก็ทำให้ความคิดอีกฝ่ายไขว้เขวได้แล้ว!

ยังจัดการเรื่องของตนไม่เสร็จสิ้น เขาจะยอมจากไปง่ายๆ ได้อย่างไร?

หนิวโหย่วเต้าไม่รอให้เฉาเซิ่งไหวสงบสติคิดให้ถ้วนถี่ก็ปัดเรื่องนี้ให้พ้นไป เอ่ยขึ้นว่า “เรื่องเมื่อวานไม่ได้เกิดข้อผิดพลาดใดขึ้นกระมัง? เล่ารายละเอียดขั้นตอนมาหน่อย”

เฉาเซิ่งไหวที่สับสนลังเลอยู่คล้อยตามคำพูดเขาไปตามสัญชาตญาณ หลังจากเล่าตบก็เหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ “ใช่แล้ว มีเรื่องหนึ่งที่เจ้าต้องช่วยข้าและถือว่าช่วยตัวเจ้าเองเช่นกัน”

หลังจากหนิวโหย่วเต้าใคร่ครวญตามรายละเอียดขั้นตอนที่เขาลงมืออยู่ครู่หนึ่งก็เอ่ยบตอบไป “เรื่องใดเล่า พูดมาได้เต็มที่เลย”

เฉาเซิ่งไหวกล่าวว่า “ศิษย์น้องสี่คนนั้นที่เข้าร่วมในแผนการของข้าจะเก็บเอาไว้ไม่ได้ หากปล่อยไว้จะกลายเป็นภัยในไม่ช้าก็เร็ว จนปัญญาที่ข้าไม่สะดวกจะลงมือเอง พลังของข้ากับพวกเขาต่างกันไม่มาก อีกทั้งเรื่องเช่นนี้ก็ปล่อยให้คนอื่นทราบไม่ได้จริงๆ ข้าไม่สะดวกจะไปหาผู้อื่นแล้ว เจ้าคิดหาทางช่วยจัดการพวกเขาให้ข้าทีเถอะ”

หนิวโหย่วเต้าเข้าใจแล้ว ต้องการฆ่าคนปิดปากนี่เอง พลันพบว่าคนผู้นี้นิสัยใจคอโหดเหี้ยมจริงๆ พูดเรื่องสังหารศิษย์น้องร่วมสำนักของตนออกมาได้โดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย เขาตอบรับไป “เข้าใจแล้ว เจ้าวางใจเถอะ ยกเรื่องนี้ให้เป็นหน้าที่ข้าเอง หลังจากข้าจากไปแล้วจะให้ลูกน้องในเมืองวั่นเซี่ยงมาแจ้งข่าวเจ้า หากเจ้าคิดว่ามีโอกาสเหมาะสมก็จัดฉากให้ดีแล้วแจ้งให้คนไปลงมือเสียก็พอ”

เฉาเซิ่งไหวเอ่ยว่า “รีบจากไปโดยเร็วเสีย ระหว่างที่อยู่ก็อยากได้ก่อเรื่องขึ้นอีก”

สุ้มเสียงวาจาไม่ได้รีบร้อนจะไล่อีกฝ่ายให้จากไปแล้ว รออีกไม่กี่วันก็มีโอกาสจะได้เงินสี่ล้านเหรียญทองมา ช่างยั่วยวนใจเหลือเกิน!

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยว่า “ข้าไม่ได้อยากมีเรื่อง กลัวก็แต่จะมีคนมาหาเรื่องข้า ดังนั้นเจ้าช่วยจับตามองพวกคนที่ข้าต่อกรด้วยไม่ได้ให้หน่อยเถิด ข้าจะได้จากไปอย่างปลอดภัย”

เฉาเซิ่งไหวถาม “ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง เจ้าสมควรมอบคำอธิบายให้ข้าได้แล้วกระมัง?”

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยไป “เรื่องใดเล่า ว่ามาเลย”

เฉาเซิ่งไหวเอ่ยออกไป “เหอโหย่วเจี้ยน เจ้าควรจะมอบเขาให้ข้าได้แล้วกระมัง?”

หนิวโหย่วเต้าตอบว่า “ตายไปนานแล้ว”

เฉาเซิ่งไหวโมโหขึ้นมาอีกครั้ง “เจ้าเล่นไม้นี้ให้มันน้อยๆ หน่อย จนถึงตอนนี้ยังคิดจะจับเขาไว้ขู่ข้าอยู่อีกหรือ? หากเกิดปัญหาขึ้นกับข้า สำนักหมื่นสรรพสัตว์ต้องระดมกำลังทั่วหล้าตามไล่ล่าเจ้าแน่!”

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยไปว่า “ตัวเจ้าก็ทราบเหตุผลชัดเจนดี ตอนนี้ข้ายังมีความจำเป็นต้องนำเขามาขู่เจ้าอีกหรือ? เจ้าไม่ลองคิดดูหน่อยเล่า ทางเข้าออกของโลกมายามีคนของสำนักหมื่นสรรพสัตว์เฝ้าอยู่ เจ้าคิดว่าข้าจะกล้าเสี่ยงพาตัวเขาออกมาจากโลกมายาจริงๆ น่ะหรือ? ตอนนั้นเพียงล้อเจ้าเล่นก็เท่านั้น แน่นอน เรื่องล้อเล่นนี้ก็ไม่ค่อยน่าขบขันเท่าไร”

เฉาเซิ่งไหวพูดไม่ออกแล้ว คิดๆ ไปก็ว่าถูก

แต่เพราะคิดว่ามีเหตุผลถึงได้รู้สึกคับข้องใจขึ้นมา เขาเสี่ยงมาจนถึงจุดนี้เพียงเพื่อคนที่ตายไปแล้วงั้นหรือ?

ปกติแล้วเขาคิดว่าตนยังคงเฉลียวฉลาดนัก แต่วันนี้จู่ๆ เขาก็ตระหนักได้ว่าตนเหมือนคนโง่ที่ที่ตกอยู่ภายใต้การบงการของอีกฝ่าย

“พี่เฉา คิดให้กว้างหน่อยเถิด หากไม่เกิดเรื่องนี้ขึ้น ชาตินี้เจ้าก็คงหาเงินไม่ได้มากขนาดนี้ ความมั่งคั่งมักมากับความเสี่ยง ผิดถูกไม่สำคัญ สิ่งสำคัญคือเป้าหมายของเจ้าสำเร็จแล้ว มิใช่หรือ?” หนิวโหย่วเต้ารู้ทันความคิดเขา เอ่ยปลอบไปประโยคหนึ่ง จากนั้นก็เอ่ยว่า “หากเจ้าต้องการเห็นกับก่อนถึงจะสบายใจ…คนเขาเป็นพี่น้องกัน ข้าหักใจพรากให้จากกันไม่ลง หากเจ้ายังคาใจจริงๆก็ไปค้นหาในจุดที่เจ้าต่อสู้เข่นฆ่ากับพวกเขาได้ ไปค้นหาที่ใต้ต้นไม้ต้นนั้น พวกเขาสองพี่น้องถูกฝังไว้ด้วยกัน เอาละ ข้าขอตัวกลับก่อน หากอยู่นานไปจะทำให้คนสงสัยได้ หากมีเรื่องได้ก็ให้ติดตามมาตามกฎเดิมของพวกเรา”

….

เพิ่งจะออกจากริมธารหุบเขากลับไปที่ลานเรือนก็เห็นหยวนกังรีบเดินเข้ามาหาแล้ว

หนิวโหย่วเต้าหยุดเท้า หยวนกังโน้มเข้ามาข้างหูกระซิบบอก “ได้ข่าวจากทางเฉินกุยซั่วแล้ว มอบจดหมายให้วังเหินเวหาไปแล้วครับ กำลังไปหารายถัดไป”

หนิวโหย่วเต้าร้องโอ้ ยิ้มน้อยๆ “พวกเราได้ข่าวแล้ว เห็นทีว่าอีกไม่นานพวกประมุขหลงที่อยู่ทางนี้ก็คงจะได้ข่าวเหมือนกัน สำนักเขามหายานกำลังจะมีเรื่องให้แปลกใจแล้ว” ดฮณ๊ฯดฯฌซ,

……

ปีกทองตัวหนึ่งร่อนลงมาจากนภา มุดเข้าสู่เรือนรับรองของวังเหินเวหา

ไม่นานนัก มีเงาร่างของอี้ซูเดินลัดมาตามหมู่ศาลาพลับพลา มาหยุดลงข้างตั่งภายในศาลาริมน้ำ ประคองจดหมายลับฉบับถอดความแล้วยื่นส่งให้ด้วยสองมือ “อาจารย์ ผู้อาวุโสจากทางวังส่งข่าวมาเจ้าค่ะ”

หลงซิวที่นั่งขัดสมาธิทำสมาธิอยู่ค่อยๆ เก็บลมปราณแล้วลืมตาขึ้น ยื่นมือไปรับจดหมายมาอ่านดู อ่านไปก็ขมวดคิ้วนิดๆ พึมพำออกมา “เป่ยโจวอยากหวนคืนหรือ?”

อี้ซูเงียบงัน นางคือผู้ถอดความจดหมายลับ นางย่อมเห็นเนื้อหาด้านในมาแล้ว

“ก่อนหน้านี้คนของสำนักเขามหายานเคยมาหากระมัง?” หลงซิวมองจดหมาย ระหว่างที่ใคร่ครวญอยู่ได้เอ่ยถามขึ้นมา

อี้ซูเอ่ยตอบ “เจ้าค่ะ ผู้อาวุโสหวงทงแห่งสำนักเขามหายานเคยขอเข้าพบท่านอาจารย์ แต่ท่านอาจารย์ไม่ยอมพบเขา”

หลงซิวกล่าวว่า “ไปสอบถามว่าเขาพำนักอยู่ที่ใดแล้วให้เขามาพบข้า”

“เจ้าค่ะ!” อี้ซูตอบรับ รีบเดินออกไป

…..

ม้าตัวหนึ่งวิ่งห้อไปตามเส้นทางหลวง ผู้ขี่ลงแส้เร่งม้าเดินทางไม่หยุดพัก มุ่งหน้าไปตามเส้นทางเบื้องหน้าที่ตัดตรงเข้าสู่ป่าเขา

ผู้ที่ขี่ม้าคือซ่งซู เมื่อมองเห็นเขาสูงตระหง่านปรากกฎรำไรอยู่ด้านหลังป่าเขาเบื้องหน้า ซ่งซูที่มีฐานะเป็นผู้ส่งสารเรียกความกระฉับกระเฉงกลับมาอีกครั้ง ในที่สุดก็ใกล้จะถึงแล้ว ถึงแม้จะใกล้ตาทว่ายังไกลตัวแ แต่หลังจากผ่านป่าแถบนี้ไปก็อยู่ไม่ไกลจากวังเลิศหล้าแล้ว

แต่พอเขาผ่านเข้าสู่ป่าเขาไปได้ไม่นาน ก็จำเป็นต้องรั้งบังเหียนหยุดม้าที่หอบหายใจดังฟืดฟาด

ด้านหน้ามีรถม้าคันหนึ่งจอดเสียอยู่บนถนน ดูเหมือนจะเกิดปัญหากับเพลาล้อเล็กน้อย จอดขวางอยู่กลางทาง ดูเหมือนสารถีกำลังทำการซ่อมแซมอยู่ใต้รถม้า ข้างทางฝั่งหนึ่งเป็นหน้าผา อีกฝั่งเป็นเนินลาดชัน ทำให้ซ่งซูจำเป็นต้องหยุดม้า

ซ่งซูบังคับเดินเข้าไปช้าๆ ตะโกนว่า “รบกวนดึงม้าหลบไปหน่อย ขอผ่านทางไปที”

ผ้าม่านกั้นหน้าต่างรถม้าถูกเลิกเปิด เซียวเถี่ยเถ้าแก่ร้านค้าเซียนสถิตสาขาหอหิมะเหมันต์โผล่หน้าออกมาจากหน้าต่าง จ้องมองหน้ากากแปลงโฉมของซ่งซู

พอเห็นเซียวเถี่ย ซ่งซูหน้าเปลี่ยนสีทันที โชคดีที่มีหน้ากากแปลงโฉมกั้นอยู่จึงมองไม่ออก เขาเบือนหน้าไปเล็กน้อยหลบสายตาเซียวเถี่ย

เหตุใดจึงหน้าเปลี่ยนสี่น่ะหรือ? ก็เพราะทั้งสองรู้จักกันอย่างไรเล่า

สำนักเซียนสถิต สำนักเมฆาล่องและสำนักคีรีพิลาสเดิมทีเคยเป็นสำนักที่ตระกูลซ่งให้การสนับสนุน หากบอกว่าเป็นลูกน้องที่ตระกูลซ่งเลี้ยงไว้ใช้งานก็ไม่เกินไปเลย กลุ่มอิทธิพลที่อยู่ในจุดเดียวกับตระกูลซ่งในยามนั้นลวนชุบเลี้ยงกองกำลังในโลกบำเพ็ญเพียรไว้ค่อยช่วยทำงาน ถึงอย่างไรใต้หล้านี้ก็เป็นของผู้บำเพ็ญเพียร เรื่องราวมากมายยังคงต้องพึ่งพาผู้บำเพ็ญเพียรช่วยจัดการ

ดีร้ายอย่างไรซ่งซูก็อยู่ในโลกบำเพ็ยเพียรมาเนิ่นนานปานนั้นไหนเลยจะไม่เคยไปเยือนหอหิมะเหมันต์มาก่อน

ในสมัยนั้นด้วยฐานะของเขาเมื่อไปเยือนหอหิมะเหมันต์ ขอถามหน่อยเถิดว่าเถ้าแก่อย่างเซียวเถี่ยจะไม่ให้การต้อนรับอย่างกระตือรือร้นได้อย่างไร

ทั้งสองย่อมรู้จักกันดี

เซียวเถี่ยยิ้มออกมา “เสียงนี้ช่างคุ้นหูนัก แต่ความองอาจในแววตากลับสู้สมัยก่อนไม่ได้ คุณชายสามซ่ง ไม่ได้พบกันหลายปี พบหน้าคนรู้จักเก่าไยถึงแสร้งทำเป็นไม่รู้จักกันเล่า? คุณชายสาม แซ่เซียวเฝ้ารออยู่ที่นี่มานานเหลือเกิน โชคดีที่คุณชายสามไม่ทำให้ข้าผิดหวัง มิเช่นนั้นแซ่เซียวก็ไม่รู้จริงๆ ว่าควรไปอธิบายต่อทางสำนักอย่างไร”

พอเขาเอ่ยมาเช่นนี้ หัวใจซ่งซูเต้นกระหน่ำ ไม่พูดพร่ำทำเพลงอีก ทะยานตัวขึ้นไป โผเข้าสู่ป่าด้านข้าง คิดจะหลบหนีไปตามป่าเขา

พอเขาทะยานขึ้นไปถึงกลางอากาศ พลันมีคนสองคนทะยานออกมาจากป่าในแนวขวางเข้าสกัดทางไว้ ทั้งสองฝ่ายชักกระบี่ออกมากลางอากาศ เริ่มต่อสู้กันในทันใด จากนั้นก็มีคนพุ่งออกมาเรื่อยๆ เข้ามาปิดล้อมโจมตี

เกิดเสียงดังปัง! รถม้าพังกระจัดกระจาย เซียวเถี่ยพุ่งออกมาจากรถม้า เข้าร่วมการปิดล้อม

เกิดเสียงดังครึกโครม อาชาได้รับความตกใจกรีดร้องวิ่งเตลิดวุ่นวาย

เสียงครึกโครมนี้ดังอยู่เพียงชั่วครู่เท่านั้น ซ่งซูกระอักเลือดล้มลงสู่พื้น ถูกเซียวเถี่ยยกเท้าเหยีบอก ยากจะดิ้นรนได้

เซียวเถี่ยถือกระบี่จ่อพาดไปที่ลำคอเขา

เซียวเถี่ยเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับโอสถทอง ในเมื่อถูกทางสำนักส่งตัวมาประจำการในหอหิมะเหมันต์ได้ ความสามารถย่อมไม่ธรรมดาแน่นอน

พลังของซ่งซูดาษดื่นพื้นเพ อันที่จริงแล้วพรสวรรค์ในการบำเพ็ญเพียรธรรมดาสามัญ ประสบการณ์ต่อสู้เสี่ยงชีวิตก็มีไม่มาก ในอดีตที่รุ่งโรจน์อยู่ในสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ได้สาเหตุก็มาจากภูมิหลังชาติตระกูลเท่านั้น ด้วยมีภูมิหลังชาติตระกูลระดับนั้นโอกาสที่จะต้องสู้สุดชีวิตก็มีไม่มากแล้ว

อันที่จริงอาศัยเพียงเซียวเถี่ยคนเดียวก็จัดการซ่งซูได้แล้ว ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงการถูกปิดล้อมโจมตี ย่อมจับตัวได้ไม่ยากเย็น

“สุนัขเนรคุณนาย ฟ้าดินต้องลงทัณฑ์แน่!” ซ่งซูตวาดกร้าวเสียงโศกหมอง

เซียวเถี่ยหัวเราะเยาะ หากมิใช่เพราะเบื้องบนสั่งจับเป็นเขาคงสังหารคนผู้นี้ทันที เขาใช้กระบี่ตบหน้าอีกฝ่ายเบาๆ “คุณชายสาม พญาหงส์เมื่อสิ้นท่าก็สู้ไก่ธรรมดาไม่ได้ ปากคอเราะร้ายไปก็ไม่มีประโยชน์ ค้นตัว!”

ศิษย์สองคนเข้ามาจัดการ ลงผนึกควบคุมซ่งซูไว้ทันที ลากตัวเข้าไปตรวจค้นภายในส่วนลึกของป่าทึบด้านข้างอย่างรวดเร็ว

เซียวเถี่ยมองสำรวจรอยข้าง กระบี่ล้ำค่าสอดกลับเข้าฝัก โบกมือส่งสัญญาณเล็กน้อย

มีคนเข้าไปเก็บกวาดสถานที่อย่างรวดเร็ว รถม้าพังยับเยินที่จอดขวางอยู่ถูกกำจัดทิ้งในคูน้ำด้านข้าง

เหตุผลที่นำรถม้ามาขวางทางก็เพราะไม่มีวิธีอื่นแล้ว คงไม่อาจตั้งด่านสกัดค่อยสอบถามคนอยู่ตรงนี้ได้กระมัง? ที่นี่อยู่ไม่ไกลจากวังเลิศหล้า หากไปขวางศิษย์วังเลิศหล้าที่อยู่ระหว่างปลอมตัวเขาเช่นนั้นก็ยุ่งแล้ว ต่อให้ไปล่วงเกินคนใหญ่คนโตรายอื่นเขาก็แบกรับผลไม่ไหวเช่นกัน

โชคดีนัก หนิวโหย่วเต้าระบุทิศทางไว้แล้ว วิเคราะห์แล้วว่าซ่งซูเร่งเดินทางย่อมไม่ใช่ทางอ้อม ต้องใช้เส้นทางที่ตัดตรงมุ่งหน้าไปสู่จุดหมายปลายทางแน่นอน ประกอบกับทางนี้รู้จักซ่งซูดี ทำให้จัดการได้ง่ายนัก

คนที่ผ่านทางมาเผชิญการกีดขวางเช่นนี้เข้า หากมิใช่เป้าหมายก็จะรีบลากรถม้าหลบทางให้อย่างสุภาพเรียบร้อย เลี่ยงไม่ให้กิดปัญหาขึ้น

ปัญหามีเพียงอย่างเดียวคือไม่ทราบว่าสรุปแล้วซ่งซูจะเดินทางไปที่สำนักร้อยชลา วังเลิศหล้าหรือว่าสำนักเทพนารีสำนักใดสำนักหนึ่งในสามแห่งนี้ก่อนกันแน่ ดังนั้นคนของสำนักเซียนสถิต สำนักเมฆาล่องและสำนักคีรีพิลาสจึงแยกตัวออกเป็นสามทาง ต่างคอยเฝ้าต่อรอกระต่ายอยู่ในแต่ละเส้นทาง เลี่ยงไม่ให้เกิดข้อผิดพลาดขึ้น

ผลคือซ่งซูวิ่งมาหาทางสำนักเวียนสถิตในที่สุดก็ถูกจับตัวไว้

หลังจากตรวจค้นวุ่นวายอยู่ในป่าครู่หนึ่ง ศิษย์คนหนึ่งก็นำจดหมายลับสามฉบับที่ห่อไว้ในกระดาษเคลือบน้ำมันมาส่งมอบให้เซียวเถี่ย “อาจารย์อา พบแล้วขอรับ!”

หลังจากเซียวเถี่ยรับไปตรวจดูก็ยิ้มออกมา ไม่ดีใจก็แย่แล้ว ทางนิกายแจ้งมาล่วงหน้าแล้ว หากว่าทำงานสำเร็จจะถือว่ามีผลงานใหญ่หลวง จะแต่งตั้งขึ้นเป็นผู้อาวุโสของสำนักเป็นกรณีพิเศษ!

……………………………………………………………………..

ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า

ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า

Status: Ongoing
ใต้หล้ากว้างใหญ่…จะลมก็ดี จะฝนก็ช่าง ไม่มีอะไรจะขวางข้าได้!นิยายแปลกำลังภายในเลือดเดือดร้อยเล่ห์กล พระเอกฉลาดมากไหวพริบ ฉากบู๊มันสะใจ!เมื่อปรมาจารย์แห่งการขุดสุสานผู้หลงใหลในการบำเพ็ญเพียรได้หลุดเข้าไปในยุคสมัยโบราณอันวุ่นวายเพราะไฟสงครามด้วยโชคชะตาวาสหนาหนุนนำ ทำให้เขาได้รับสุดยอดเคล็ดวิชาและต้องฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ นานา เพื่อสยบใต้หล้าเอาไว้ในกำมือ!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท