ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า – ตอนที่ 530 หมาจรพลัดถิ่น

ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า

ตอนที่ 530 หมาจรพลัดถิ่น

รอบข้างมีองครักษ์ทั้งในที่ลับและที่แจ้งคอยจับตามองทางนี้อยู่

ถังอี๋และถังซู่ซู่เฝ้ารออย่างสงบ ไม่กล้าเดินเพ่นพ่านส่งเดช รู้สึกเพียงว่าสถานที่แห่งนี้ค่อนข้างแปลก จวนพำนักขององค์หญิงใหญ่ผู้สูงศักดิ์ แต่ตลอดทางจนมาถึงที่นี่กลับไม่เห็นแม้แต่บุปผาสักดอก ไม่คล้ายเรือนของสตรีเลย…

ภายในศาลาโล่งโปร่ง สตรีนางหนึ่งที่ดวงหน้างดงามดั่งภาพวาดแต่งกายด้วยชุดบุรุษนั่งอยู่ด้านหลังโต๊ะทำงาน ด้านล่างมีเจ้าหน้าที่หลายคนนั่งคุกเข่าถามตอบกันอยู่ นางคือเสวียนเวยมหาเสนาบดีหญิงแห่งแคว้นเว่ย

ริมเสากลมต้นใหญ่ที่อยู่ด้านข้าง บุรุษคนหนึ่งที่ปล่อยผมยาวสยายปรกไหล่สวมชุดคลุมตัวยาวสีเทายืนอยู่ตรงนั้น สะพายกระบี่เล่มใหญ่เก่าแก่ไว้บนหลัง ยืนเฝ้าด้านข้างอย่างสงบ ใบหน้าคมคายแฝงความกร้านโลกไว้เล็กน้อย เป็นซีเหมินฉิงคง ยอดฝีมืออันดับหนึ่งบนทำเนียบโอสถ ฝ่าซือประจำตัวของเสวียนเวย

สตรีวัยกลางคนผ่านเข้ามาทางประตูหลังของศาลา เดินไปที่ข้างเสากลม กระซิบรายงานข้างหูซีเหมินฉิงคงสองสามประโยค ซีเหมินฉิงคงพยักหน้าเล็กน้อย ส่งสัญญาณว่าให้คอยสักครู่ หญิงวัยกลางคนจึงถอยออกไปรอด้านข้าง

กระทั่งเหล่าเจ้าหน้าที่ถอยออกไปแล้ว เสวียนเวยที่นั่งคุกเข่าอยู่ที่โต๊ะหยิบเอกสารฉบับหนึ่งขึ้นมา กำลังจะเปิดอ่าน ซีเหมินฉิงที่อยู่ข้างเสาก็เอ่ยขึ้นว่า “ถังอี๋มาถึงแล้ว”

เสวียนเวยร้องโอ้ วางเอกสารในมือลง ลุกขึ้นมาแล้วเดินเข้ามาทางนี้ “มาถึงเร็วจัง”

หญิงวัยกลางคนตอบว่า “ถังอี๋พาคนจำนวนหนึ่งเร่งเดินทางล่วงหน้ามาก่อนโดยไม่หยุดพัก คนอื่นๆ ในสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ยังอยู่ระหว่างเดินทางเพคะ”

เสวียนเวยถาม “หนิวโหย่วเต้ายังอยู่ที่สำนักหมื่นสรรพสัตว์เหรอ?”

หลังจากได้รับข่าวจากหยวนกังซึ่งขอให้ทางนี้ช่วยรับสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ไว้ นางก็สั่งให้คนของ ‘จวนพยับหมอก’ คอยจับตามองหนิวโหย่วเต้าเอาไว้มากหน่อย

นางมิใช่คนโง่ สำนักสวรรค์พิสุทธิ์เกี่ยวข้องกับหนิวโหย่วเต้า หาได้มีความเกี่ยวข้องกับหยวนกังไม่ สวนถังอี๋เจ้าสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ก็เป็นภรรยาของหนิวโหย่วเต้า หยวนกังเป็นเพียงผู้ติดตามของหนิวโหย่วเต้า หากบอกว่าเรื่องนี้ไม่ได้มาจากเจตนาของหนิวโหย่วเต้าก็แปลกแล้ว ผู้ติดตามคนหนึ่งจะตัดสินใจเรื่องใหญ่เช่นนี้ได้เองหรือ?

ระหว่างคนฉลาดด้วยกัน เรื่องบางอย่างไม่จำเป็นต้องพูดออกมาชัดเจน หนิวโหย่วเต้ารู้แก่ใจดี นางเองก็รู้แก่ใจดี รับสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ไว้ก็เท่ากับหนิวโหย่วเต้าติดหนี้น้ำใจนางหนึ่งครั้ง

จวนพยับหมอก ความหมายคือสถานที่ซึ่งซุกซ่อนอยู่ในเมฆหมอกลึกลับ มีสถานะเดียวกับหน่วยข่าวกรองของแคว้นเยี่ยนและแคว้นฉี ว่ากันตามตรงก็คือสายข่าวกรองของแคว้นนั่นเอง

ทันทีที่เสวียนเวยออกคำสั่ง หน่วยข่าวกรองที่ทรงประสิทธิภาพที่สุดในแคว้นเว่ยก็ดำเนินการทันที

ส่วนหญิงวัยกลางคนนางนั้นมีนามว่าเจียงสือจี แม้จะดูไม่สะสวย แต่กลับเป็นผู้ควบคุมจวนพยับหมอก การที่นางออกไปรับถังอี๋ด้วยตัวเอง ในแง่หนึ่งแล้วแปลว่าเสวียนเวยให้ความสำคัญกับหนิวโหย่วเต้า

เจียงสือจีเอ่ยว่า “ออกจากสำนักหมื่นสรรพสัตว์ไปแล้วเพคะ โดยสารอินทรีหยกทมิฬสองตัวมุ่งหน้าไปยังเป่ยโจวพร้อมกับหวงเลี่ยเจ้าสำนักเขามหายาน ไม่ทราบรายละเอียดแน่ชัดว่าจะไปทำอะไร แต่ทางเป่ยโจวก็ค่อนข้างผิดปกติเช่นกัน ก่อนที่หนิวโหย่วเต้าจะไปถึง คนของสำนักเขามหายานสังหารแม่ทัพของเซ่าเติงอวิ๋นไปหลายนาย ขณะเดียวกันก็ออกสืบค้นหาตัวนักเรียนในสถานศึกษาที่เซ่าผิงปอก่อตั้งขึ้น จู่ๆ นักเรียนบางส่วนก็หายตัวไประหว่างที่ออกไปฝึกประสบการณ์ในเขตต่างๆ ของเป่ยโจว การจับกุมจึงคว้าน้ำเหลว ยังมีอีกเรื่องเพคะ เซ่าผิงปอไม่ปรากฏตัวมาระยะหนึ่งแล้ว”

เสวียนเวยสงสัย “เกิดความขัดแย้งระหว่างตระกูลเซ่ากับสำนักเขามหายานหรือ?”

เจียงสือจีตอบว่า “อาจจะใช่กระมังเพคะ? ยังไม่ทราบสถานการณ์แน่ชัด ข่าวสารถูกปิดกั้นอย่างเข้มงวด แล้วก็เป็นเพราะถูกปิดกั้นข่าวสารอย่างเข้มงวด จึงยิ่งมีความเป็นไปได้ มีข่าวลือว่าหนิวโหย่วเต้าเคยมีความขัดแย้งกับเซ่าผิงปอ แต่จะเคยมีความขัดแย้งอันใดก็ไม่ทราบแน่ชัดเพคะ”

คนนอกไม่ค่อยทราบเรื่องปมความแค้นระหว่างหนิวโหย่วเต้าและเซ่าผิงปออย่างแน่ชัดจริงๆ ประเด็นสำคัญคือเรื่องราวบางอย่างทั้งสองฝ่ายล้วนไม่ยอมปล่อยให้คนนอกทราบถึง

เสวียนเวยเดินวนกลับไปกลับมา “หนิวโหย่วเต้าไปเยือนเป่ยโจวพร้อมกับหวงเลี่ย จากนั้นก็มีการสังหารแม่ทัพฝั่งเซ่าเติงอวิ๋น ซ้ำยังจับกุมนักเรียนของเซ่าผิงปอ หากสองคนนี้เคยมีความขัดแย้งกันจริงๆ การที่หนิวโหย่วเต้าไปปรากฏตัวในถิ่นของเซ่าผิงปอได้ นี่ก็แสดงให้เห็นถึงปัญหาแล้ว กาเหว่าเข้ายึดรังอีกา เซ่าผิงปอน่าจะพลาดท่าแล้ว แต่เซ่าผิงปอคนนี้ก็ไม่ธรรมดา จากเบาะแสต่างๆ ที่ปรากฏขึ้น ที่เป่ยโจวแยกตัวออกมาเป็นอิสระ มีความเป็นไปได้สูงว่าอาจจะเป็นฝีมือของเขา จากนั้นเหนือต้านแคว้นหาน ใต้กันแคว้นเยี่ยน ถูกขนาบไว้ระหว่างสองแคว้นแต่ก็ยังรอดมาได้ การพัฒนาของเป่ยโจวเรียกได้ว่าน่าทึ่งนัก หากบอกว่าเป็นยอดคนที่ยากจะพานพบได้ในรอบสามร้อยปีก็ไม่เกินไปเลย”

เจียงสือจีกล่าวว่า “ออกคำสั่งให้จับตามองเซ่าผิงปอแล้วเพคะ หากมีข่าวของเขาจะแจ้งให้ทราบทันที”

เสวียนเวยเอ่ยว่า “คนประเภทนี้เป็นคนที่เติบโตขึ้นมาจากคลื่นมรสุมต่างๆ ไม่ใช่คนที่ผู้ใดจะโค่นล้มได้ง่ายๆ คิดไม่ถึงว่าจะถูกคลื่นลูกหลังอย่างหนิวโหย่วเต้าเล่นงานจนพลาดท่า หนิวโหย่วเต้าคนนี้ชักจะน่าสนใจขึ้นเรื่อยๆ แล้วสิ ยามที่เก็บตัวก็ไร้เบาะแสจนทำให้คนยากจะเข้าใจได้ แต่ทันทีที่เผยตัวก็จะต้องเกิดเรื่องตามมาแน่นอน ไปเถอะ ไปพบหนิวฮูหยินที่ทำให้หนิวโหย่วเต้าห่วงใยคนนั้นหน่อย” นางโบกแขนเสื้อเล็กน้อย พาทั้งสองเดินออกจากประตูหลังของศาลาไป

ภายในศาลาริมน้ำ ถังอี๋และถังซู่ซู่หันหลังกลับมาอย่างพร้อมเพรียง มองทั้งสามคนที่เดินเข้ามาจากสุดปลายเฉลียงทางเดิน

ทั้งสองเคยพบหญิงวัยกลางคนคนนั้นมาแล้ว แต่ชายที่แบกกระบี่ปล่อยผมสยายคลุมบ่าสวมอาภรณ์สีพื้นคนนั้นกลับทำให้ม่านตาของพวกนางหดตัวลง รูปลักษณ์สอดคล้องกับคนในข่าวลือผู้นั้น ซีเหมินฉิงคงยอดฝีมืออันดับหนึ่งของทำเนียบโอสถ!

สายตาของทั้งสองจ้องมองไปยังสตรีด้านหน้าที่อยู่ในชุดคลุมตัวยาวสีดำทรวงอกนูนเด่น ถึงแต่งกายเป็นชายก็ยากจะปกปิดความงามสง่าของสตรีนางนี้ได้ ซ้ำยังทำให้ซีเหมินฉิงคงยอมเดินตามได้ ไม่จำเป็นต้องเดาก็ทราบแล้วว่าเป็นใคร

“ท่านมหาเสนาบดีมาแล้ว” พอทั้งสามมาถึง เจียงสือจีก็เอ่ยแนะนำ

ทั้งสองคำนับทันที “คารวะท่านมหาเสนาบดี”

“ไม่ต้องมากพิธี” เสวียนเวยยกมือขึ้นเล็กน้อย มองสำรวจถังอี๋หัวจรดเท้า เอ่ยชมว่า “เจ้าสำนักถังรูปโฉมงดงามโดยแท้ ไม่ทราบว่าต้องเรียกเจ้าว่าเจ้าสำนักถังหรือว่าเรียกเจ้าว่าหนิวฮูหยินถึงจะเหมาะ?”

ถังอี๋ผงะไปเล็กน้อย จากนั้นก็เอ่ยเสียงเรียบว่า “ข้ากับหนิวโหย่วเต้าไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ อีกต่อไปแล้ว”

เสวียนเวยยิ้มออกมา “หมายความว่าอย่างไร?”

ถังอี๋ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง “ข้าแยกทางกับหนิวโหย่วเต้าแล้ว มอบหนังสือหย่าให้หนิวโหย่วเต้าไปแล้ว นับจากนี้ไม่เกี่ยวข้องกันอีก อีกไม่นานจะมีการประกาศเรื่องนี้ออกไปในโลกบำเพ็ญเพียร เรื่องนี้จำเป็นต้องกล่าวต่อท่านมหาเสนาบดีไว้ให้ชัดเจน” ความหมายในวาจาคือหากท่านทราบว่าข้าไม่เกี่ยวข้องกับหนิวโหย่วเต้าแล้วไม่อยากจะรับตัวไว้อีกต่อไป ทางข้าก็ไม่กล่าวโทษเช่นกัน

ทั้งสามมองหน้ากัน เสวียนเวยลองเอ่ยถามหยั่งเชิง “เป็นเจ้าหย่าหนิวโหย่วเต้า มิใช่หนิวโหย่วเต้าหย่าเจ้าอย่างนั้นหรือ?”

ปกติแล้วล้วนเป็นฝ่ายชายที่หย่าฝ่ายหญิง กรณีที่ฝ่ายหญิงขอหย่าฝ่ายชายเช่นนี้หาได้ยากจริงๆ

ถูกต้อง“”

“เพราะเหตุใด?”

ถังซู่ซู่เอ่ยแทรกขึ้นมา “หนิวโหย่วเต้ามีสัมพันธ์คลุมเครือกับหงเหนียงแห่งเมืองหลวงแคว้นฉี ไม่ยินดีตัดขาด เจ้าสำนักทนรับไม่ได้จึงเป็นฝ่ายขอหย่าเจ้าค่ะ”

เสวียนเวยร้องโอ้ ไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ แต่นางยังคงต้องสอบถามเรื่องบางอย่างให้ชัดเจนไว้เช่นกัน อีกทั้งต้องการดูว่าทางสำนักสวรรค์พิสุทธิ์มีท่าทีอย่างไร ถึงจะตัดสินใจได้ว่าควรจัดการเช่นใด…

….

ณ สวนไม้เลื้อย ภายในป่าไผ่ ตู๋กูจิ้งติดตามอยู่ข้างกายอวี้ชางที่เดินเล่นอยู่ รายงานสถานการณ์ของเซ่าผิงปอให้ทราบ

เซ่าผิงปอมาถึงเมืองหลวงแคว้นฉีแล้ว ทางนี้ส่งคนไปสอบถามสถานการณ์มาแล้ว เซ่าผิงปอเองก็ตอบตามตรงไม่ปิดบัง บอกว่าถูกหนิวโหย่วเต้าวางแผนเล่นงาน

จะไม่บอกตามตรงก็คงไม่ได้ เขาหนีออกมาจากเป่ยโจวแล้ว ไม่อาจปกปิดเรื่องบางอย่างไว้ได้ ไม่ช้าก็เร็วคนนอกย่อมทราบเรื่อง

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ บุคคลโดดเด่นทรงความสามารถกลับถูกหนิวโหย่วเต้าบีบคั้นจนกลายเป็นหมาจรพลัดถิ่นได้ เขาหนีมาครานี้ เกรงว่าคงกลับเป่ยโจวไม่ได้แล้ว สำนักเขามหายานกินยาผิดสำแดงหรือไง? โค่นล้มตระกูลเซ่าแล้วจะมีผลดีอันใดต่อพวกเขา?” อวี้ชางทอดถอนใจระคนโมโหเล็กน้อยเช่นกัน สายสัมพันธ์ระหว่างทางเขาและเซ่าผิงปอย่อมเป็นไปเพราะทางนี้มีเป้าหมายอยู่ เมื่อถูกคนอื่นทำลายแผนการย่อมต้องโมโหเป็นธรรมดา เขาเอ่ยถามต่อ “ไหนบอกว่าเป็นคนที่ส่งผลต่อรูปการณ์เมืองหลวงแคว้นฉีไง เขาได้อธิบายหรือไม่ว่าหมายความว่าอย่างไร?”

ตู๋กูจิ้งเอ่ยว่า “หมายถึงพระชายาอิงอ๋องขอรับ น้องสาวของเขา เขาบอกว่าเขาสามารถอาศัยประโยชน์จากน้องสาวของเขาแทรกแซงสถานการณ์ในเมืองหลวงแคว้นฉีได้ขอรับ ตอนนี้เขาไปที่จวนอิงอ๋องแล้ว”

อวี้ชางขมวดคิ้ว “คนว่าง่ายอย่างอิงอ๋องจะแทรกแซงอันใดได้?”

ตู๋กูจิ้งส่ายหน้า สื่อว่าไม่ทราบ “เกรงว่าทางหนิวโหย่วเต้าคงไม่ยอมปล่อยเขาไป หากตื้อจะเอาตัวคนให้ได้ พวกเราจะมอบให้หรือไม่ขอรับ?”

อวี้ชางเอ่ยว่า “ไม่จำเป็นต้องใส่ใจ หาข้ออ้างบอกปัดไป ปล่อยให้เขาจนปัญญาจะทำอะไรได้ก็พอ ยังต้องรอดูทางเป่ยโจวก่อน หากเซ่าเติงอวิ๋นยังอยู่ดี เซ่าผิงปอก็อาจจะยังมีโอกาสพลิกสถานการณ์อยู่ หากว่ากลับไปไม่ได้แล้วจริงๆ ก็คิดหาทางรับตัวคนผู้นี้เข้ามาเสีย คนผู้นี้เป็นคนมีความสามารถที่หาได้ยากคนหนึ่ง สามารถทำงานใหญ่ได้ หนิวโหย่วเต้าจะให้เงินเท่าไรข้าก็ไม่แลก”

….

หน้าประตูใหญ่ของจวนอิงอ๋อง เซ่าหลิ่วเอ๋อร์ที่สวมเครื่องประดับแต่งตัวงามหรูหรา มีบุคลิกท่าทางของหญิงสูงศักดิ์ออกมาส่งเซ่าผิงปอที่หน้าประตูใหญ่ด้วยตัวเอง

“ส่งเท่านี้เถอะ!” เซ่าผิงปอหันหลังไปเอ่ยแจ้ง

“ท่านพี่เดินระวังด้วย” เซ่าหลิ่วเอ๋อร์ย่อตัวคำนับ อ่อนหวานสงบเสงี่ยม บุคลิกต่างไปจากในวันวาน

เซ่าผิงปอยิ้มน้อยๆ หันหลังเดินออกไป ผู้บำเพ็ญเพียรกลุ่มหนึ่งคุ้มกันเขาจากไป คุ้มกันไปส่งยังเรือนรับรองสำหรับแขกผู้มาเยือน

มาครั้งนี้ มิใช่แค่มาขอพึ่งพิง หากแต่ต้องการหาที่คุ้มครองด้วย ด้วยเกรงว่าหนิวโหย่วเต้าจะตามไล่ล่าต่อ รวมถึงเป็นการป้องกันฝั่งหอจันทร์กระจ่างด้วย

หอจันทร์กระจ่างเป็นอย่างไรเขาทราบชัดเจนดี หลังจากหลอกใช้หอจันทร์กระจ่างหลบหนีออกมาแล้วก็ตัดสินใจจะตัดขาดความสัมพันธ์ทันที ไม่ยอมให้ตัวเองตกอยู่ในการควบคุมของหอจันทร์กระจ่าง เนื่องด้วยเหตุนี้จึงขอให้อิงอ๋องเฮ่าเจินช่วยขอให้สามสำนักใหญ่ของแคว้นฉีส่งศิษย์มาคุ้มกัน

ในเขตพื้นที่นี้เขาได้รับการคุ้มครองจากศิษย์สำนักเพลิงนภา สำนักศาสตราลึกล้ำและสำนักมหาบรรพต ไม่ว่าจะเป็นหนิวโหย่วเต้าหรือหอจันทร์กระจ่างก็ไม่กล้าแตะต้องเขาง่ายๆ

แน่นอน เขาไม่มีทางเอ่ยถึงหอจันทร์กระจ่างกับเฮ่าเจิน บอกเพียงว่าถูกหนิวโหย่วเต้าตามล่า

เซ่าหลิ่วเอ๋อร์ยืนอยู่บนขั้นบันได เฝ้ามองตามด้วยสีหน้าเรียบเฉย

ภายในโถงหลักของจวน เฮ่าเจินยืนก้มหน้าอยู่ตรงนั้น สองมือประสานสอดอยู่ในแขนเสื้อ วางแนบตรงหน้าท้อง

ขันทีผู้ดูแลมู่จิ่วอยู่ด้านข่าง เกาเจี้ยนโฮ่วแห่งสำนักเพลิงนภา เชอปู้ฉือแห่งสำนักมหาบรรพตและเซี่ยหลงเฟยแห่งสำนักศาสตราลึกล้ำ ทั้งสามต่างยืนอยู่รอบกายเฮ่าเจิน

เกาเจี้ยนโฮ่วเอ่ยขึ้นว่า “เจตนาของเขาชัดเจนว่าต้องการมาพึ่งพิงท่านอ๋อง”

เฮ่าเจินกล่าวว่า “พี่เขยคนนี้ของข้ามิใช่คนธรรมดา เป็นผู้มีความสามารถยอดเยี่ยม ไม่คิดเลยว่าจะถูกหนิวโหย่วเต้าบีบคั้นจนตกอยู่ในสภาพนี้ได้ ไม่มีสัญญาณแจ้งเตือนล่วงหน้าจากทางเป่ยโจวแม้แต่น้อย ไม่รู้เหมือนกันว่าตอนนี้พ่อตาคนนั้นของข้าตกอยู่ในสถานการณ์ใด” ดฮณ๊ฯดฯฌซ,

ทั้งสี่เข้าใจความกังวลของเขาดี เหตุผลที่ท่านอ๋องยอมแต่งเซ่าหลิ่วเอ๋อร์ ข้อแรกคือยากจะขัดบัญชาฝ่าบาทได้ รองลงมาคือเห็นแก่ฐานะภูมิหลังของเซ่าหลิ่วเอ๋อร์ ตระกูลเซ่ามีความสามารถพอจะคานอำนาจระหว่างแคว้นหานและแคว้นเยี่ยนได้ ในแง่หนึ่งแล้วก็นับว่าช่วยเพิ่มน้ำหนักของเขาในใจเฮ่าอวิ๋นถูได้ นับว่าเป็นแรงสนับสนุนจากภายนอก ในช่วงเวลาสำคัญสามารถใช้งานได้ แต่ถ้าตระกูลเซ่าพังพินาศ แรงสนับสนุนในส่วนนี้ของเขาก็จะหายไป

มู่จิ่วเอ่ยเตือน “ท่านอ๋อง เรื่องราวมาถึงขั้นนี้แล้ว เกรงว่าหนิวโหย่วเต้าคงไม่ยอมรามือง่ายๆ พ่ะย่ะค่ะ!”

เฮ่าเจินกล่าวว่า “ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องลองดู ข้าไม่อาจนิ่งดูดายได้ คนอย่างเซ่าผิงปอ ปกติแล้วถึงร้องขอก็ยังไม่ได้มา ยามนี้กลับเป็นฝ่ายมาหาถึงที่ ไหนเลยจะปล่อยให้หลุดมือไปได้ หากเก็บไว้จะเป็นประโยชน์ต่อข้ามาก ไม่มีทางปล่อยให้หนิวโหย่วเต้าตามมาสังหารได้ ส่งจดหมายไปหาหนิวโหย่วเต้า บอกไปว่าให้เขาเห็นแก่หน้าข้าสักครั้ง ให้เรื่องของเซ่าผิงปอจบลงตรงนี้ ส่วนเรื่องทางเป่ยโจวอย่าได้ทำให้ข้าลำบากใจ บอกเขาไป ถือเสียว่าเป็นการชดใช้หนี้น้ำใจคืนแก่ข้า…กล่าวเน้นให้หนักหน่อย บอกว่านั่นคือพ่อตาและพี่เขยของข้า ไม่ว่าผู้ใดที่สังหารพวกเขาล้วนจะกลายเป็นศัตรูของข้าด้วย!”

เหมือนว่าเวปหลักจะลดเหลือตอนเดียวแล้ว

……………………………………………………………………..

ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า

ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า

Status: Ongoing
ใต้หล้ากว้างใหญ่…จะลมก็ดี จะฝนก็ช่าง ไม่มีอะไรจะขวางข้าได้!นิยายแปลกำลังภายในเลือดเดือดร้อยเล่ห์กล พระเอกฉลาดมากไหวพริบ ฉากบู๊มันสะใจ!เมื่อปรมาจารย์แห่งการขุดสุสานผู้หลงใหลในการบำเพ็ญเพียรได้หลุดเข้าไปในยุคสมัยโบราณอันวุ่นวายเพราะไฟสงครามด้วยโชคชะตาวาสหนาหนุนนำ ทำให้เขาได้รับสุดยอดเคล็ดวิชาและต้องฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ นานา เพื่อสยบใต้หล้าเอาไว้ในกำมือ!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท