ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก – ตอนที่ 134 การคาดเดาของคนสองคน

ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก

ตอนที่ 134 การคาดเดาของคนสองคน

ตอนที่ 134 การคาดเดาของคนสองคน

ฉินมู่หลานทราบได้ทันทีว่าเริ่นม่านลี่ต้องการจะส่งรูปถ่ายี้ไป จึงไม่ได้พูดอะไรอีก เพียงแค่เอ่ยว่า “ฉนจะรายงานเรื่องนี้ให้ทางกองทัพทราบแน่นอน ส่วนคุณจะส่งรูปถ่ายนั้นไหมก็ลองปรึกษาหัวหน้าของพวกคุณให้ดีแล้วกัน”

พี่หลี่กับเสี่ยวหวังพลันมีปฏิกิริยา รีบพยักหน้าก่อนจะตอบอย่างรวดเร็ว “ค่ะ ค่ะ เราจะปรึกษากับหัวหน้าของเราแน่นอน ตอนนี้จะยังไม่ส่งรูปถ่ายนี้ออกไปค่ะ”

ผู้หญิงสองคนนี้ต่างทราบดีว่าหญิงสาวตรงหน้าคงไม่อยากให้ส่งรูปถ่ายของสามีออกไป แต่พวกหล่อนคิดอย่างรอบคอบแล้วว่าหากมีอะไรเกิดขึ้น พวกหล่อนคงไม่มีความสุขแน่นอน นอกจากนี้ก็ไม่ทราบด้วยว่าเริ่นม่านลี่ต้องการอะไร ทำไมถึงอยากจะส่งรูปถ่ายสามีของคนอื่น

และจากข้อมูลที่หญิงสาวตรงหน้าเอ่ยว่าภาพนี้เป็นรูปถ่ายหมู่ของทหาร ซึ่งหากมีข้อมูลใดรั่วไหลออกไปโดยไม่ตั้งใจ พวกหล่อนอาจต้องรับผิดชอบด้วย ซึ่งก็เป็นความผิดของพวกหล่อนเองที่ไม่คิดเรื่องนี้ให้ดีตั้งแต่แรก

ฉินมู่หลานได้ยินที่ทั้งสองเอ่ย จึงพยักหน้าแล้วพูดขึ้นว่า “เอาเถอะ ถ้าอย่างนั้นพวกคุณก็ลองปรึกษากันให้ดี แต่…อย่างที่ฉันเพิ่งบอกไป คุณควรคิดด้วยตัวเองมากกว่านะคะ ไม่อย่างนั้นหากคนอื่นทราบเรื่องนี้ อาจคิดว่าพวกคุณไม่เป็นมืออาชีพมากพอ”

เสี่ยวหวังได้ยินเช่นนี้จึงไม่คิดอะไรมาก นอกจากนี้เอ่ยขอบคุณฉินมู่หลานด้วย “สหาย คุณช่างรอบคอบเหลือเกิน ขอบคุณมากนะคะ”

แต่พี่หลี่กลับมองฉินมู่หลานอย่างถี่ถ้วน ก่อนจะรู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้รับมือไม่ได้ง่าย ๆ หล่อนคงไม่อยากให้ใครทราบว่าตัวเองมีส่วนในการทำเรื่องนี้ หรือว่าหญิงสาวตรงหน้าจะมีความแค้นส่วนตัวกับเริ่นม่านลี่กัน บางทีพวกหล่อนอาจจะมีความแค้นต่อกันจริง ไม่อย่างนั้นเริ่นม่านลี่จะส่งรูปสามีของหล่อนไปทำไม บางทีหล่อนอาจจะอยากให้ตระกูลเหยาลงมือทำอะไรบางอย่าง

เมื่อคิดได้ดังนั้น พี่หลี่จึงเพียงแต่รู้สึกว่าได้เจอความลับบางอย่างเข้าแล้ว

ฉินมู่หลานสังเกตเห็นสายตาของพี่หลี่อยู่แล้ว เธอจึงหันมองแล้วยกยิ้มให้ ก่อนจะพูดขึ้น “พี่หลี่ใช่ไหมคะ จริง ๆ แล้ววันนี้ฉันบังเอิญแวะเข้ามาส่งจดหมายพอดี ต้องขอรบกวนคุณหน่อยค่ะ” หลังจากนั้นก็ได้ส่งจดหมายที่เพิ่งเขียนไปถึงเสิ่นหรูฮวน

พี่หลี่ได้ยินฉินมู่หลานพูดแบบนี้ จึงรีบยกยิ้มแล้วเอ่ยตอบทันที “ได้ค่ะสหาย”

ไม่รู้ว่าเพราะอะไร หญิงสาวตรงหน้าคนนี้ถึงเอาแต่จ้องมองแล้วยกยิ้ม มันทำให้หล่อนรู้สึกสับสนนิดหน่อย เหมือนว่าผู้หญิงตรงหน้าจะสามารถอ่านความคิดของคนอื่นได้ ดังนั้นหล่อนจึงไม่กล้ามองสบตาฉินมู่หลานอีก

หลังจากที่ฉินมู่หลานเห็นว่าพี่หลี่กับเสี่ยวหวังเก็บรูปถ่ายที่เหรินหมานหลี่ต้องการส่งแยกออกไปแล้ว จึงออกจากที่ทำการไปรษณีย์ และยังไม่ทันได้หารถกลับก็ได้ยินเสียงเกวียนวัว จึงนำสิ่งของขึ้นเกวียนและมุ่งหน้าเข้าไปที่ฐานทัพ

เธอเคยมองหาเกวียนวัวอยู่ เพียงแต่การนั่งเกวียนวัวในฤดูกาลนี้เป็นอะไรที่หนาวมาก เพราะไม่มีใครคอยเตรียมผ้าห่มกับเบาะรองนั่งให้เธอเหมือนอย่างที่เซี่ยเจ๋อหลี่ทำ ดังนั้นจึงต้องนั่งท่ามกลางลมหนาว แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังดีที่ได้กลับเร็ว

เมื่อมาถึงกองทัพ ทหารยามตรงหน้าประตูที่เห็นว่าฉินมู่หลานมีของมากมายก็รีบมาช่วยขนย้าย

“ขอบคุณมากเลยค่ะ”

เมื่อทหารยามได้ยินเช่นนั้น เขาก็รีบโบกมือ แล้วเอ่ยขึ้น “ยินดีครับพี่สะใภ้”

ฉินมู่หลานยกยิ้มพลางยื่นถุงขนมอบไปให้ทหารยามแล้วพูดขึ้นว่า “ถึงยังไงก็ต้องขอบคุณมากเลยค่ะ ถ้าไม่ได้คุณช่วย ฉันคงขนของเยอะขนาดนี้ด้วยตัวเองไม่ไหวแน่”

เมื่อทหารยามเห็นเช่นนั้น จึงรีบโบกมือปฏิเสธทันที

แต่ฉินมู่หลานก็พยายามยัดถุงขนมอบใส่ไว้ในมือของทหารยาม

คนผู้นั้นจึงเลี่ยงไม่ได้ ก่อนจะรีบยิ้มแล้วเอ่ยขอบคุณ หลังจากนั้นก็จากไป

เมื่อเซี่ยเจ๋อหลี่กลับมาแล้วเห็นฉินมู่หลานที่กำลังนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นมีสีหน้าจริงจัง เขาจึงคิดว่าภรรยาอาจจะเหนื่อย จึงรีบเดินเข้าไปแล้วเอ่ยถามทันที “มู่หลาน คุณเข้าไปในเมืองแล้วเหนื่อยเหรอ อยากพักสักหน่อยไหม”

ฉินมู่หลานรีบส่ายศีรษะ พลางบอกกล่าวเรื่องที่เริ่นม่านลี่ต้องการจะส่งรูปถ่ายไป สุดท้ายจึงเอ่ยขึ้นว่า “ฉันไม่รู้ว่าทำไมเริ่นม่านลี่กับเหยาอี้หนิงถึงทำอะไรแบบนั้น พวกเขาถึงกับอยากจะส่งรูปถ่ายของคุณไปให้ตระกูลเหยา น่าแปลกจริง ๆ ทำไมพวกเขาถึงทำแบบนั้นนะ”

เซี่ยเจ๋อหลี่ก็รู้สึกว่ามีบางอย่างแปลก ๆ และมันก็ทำให้เขานึกย้อนไปตอนที่ลุงเหยาจ้องมองเขาในวันนั้น

“เกิดอะไรขึ้นกันนะ หรือว่าผมหน้าเหมือนญาติของลุงเหยาเหรอ เหยาอี้หนิงถึงได้อยากจะส่งรูปของผมกลับไป”

ฉินมู่หลานได้ยินเช่นนั้นจึงส่ายหัวแล้วพูดขึ้น “ไม่น่าใช่มั้งคะ เริ่นม่านลี่คงไม่ได้ส่งรูปให้ลุงเหยาหรอก”

เธอมองแวบเดียวก็รู้ได้ทันที และยังจำที่อยู่บนซองจดหมายได้

“ผู้รับไม่ใช่ลุงเหยา แต่เป็นคนที่ชื่อเหยาจิ้งถง”

ตอนแรกฉินมู่หลานไม่ได้สังเกตอะไร แต่หลังจากที่เอ่ยชื่อเหยาจิ้งถงออกมา เธอก็อดไม่ได้ที่จะชะงัก จากนั้นจึงหันไปพูดกับเซี่ยเจ๋อหลี่ “แม่สามีของฉันก็ชื่อเหยาจิ้งจือ คล้ายกับชื่อผู้รับอยู่นะ”

แต่คนชื่อแซ่เดียวกันก็มีมากมายทั่วประเทศ ชื่อของคนสองคนที่ดูคล้ายกันจึงไม่สามารถบอกอะไรได้สักเท่าใด

ต้องเข้าใจว่าตอนนี้ชื่อจำพวก จาวตี้ หม่านเฟิน เว่ยหง เป็นที่นิยมมาก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงชื่อพวก เจี้ยนตั๋ง เจี้ยนเซ่อ เจี้ยนจวิน อะไรพวกนี้ที่มีอยู่ดาษดื่นเลย

ถึงแม้ว่าชื่อของเหยาจิ้งตงกับเหยาจิ้งจือจะไม่ค่อยนิยมใช้นัก แต่ก็บอกไม่ได้ว่าจะไม่มีคนอื่นที่ตั้งชื่อเหมือนกัน

ในขณะนั้นเอง ฉินมู่หลานก็ได้นึกถึงเรื่องที่เหยาจิ้งจือเคยเล่าให้ฟัง จึงอดที่จะหันไปเอ่ยถามเซี่ยเจ๋อหลี่เสียไม่ได้ “คุณรู้ใช่ไหมคะว่าแม่ของคุณไม่ใช่ลูกสาวแท้ ๆ ของตากับยาย”

เซี่ยเจ๋อหลี่ตกใจเมื่อได้ยินเรื่องนี้ จากนั้นก็พยักหน้าแล้วบอก “ผมรู้”

แต่เขาก็รู้สึกสงสัยนิดหน่อย “แล้วคุณรู้ได้ยังไงเหรอ”

เพราะในหมู่บ้านไม่มีใครที่รู้เรื่องพวกนี้เลย

“แม่คุณเป็นคนเล่าให้ฉันฟังน่ะ”

เซี่ยเจ๋อหลี่ได้ยินเช่นนี้จึงรู้สึกประหลาดใจมาก คิดไม่ถึงว่าแม่จะเล่าเรื่องพวกนี้ให้มู่หลานฟัง เพราะแม่ไม่เคยพูดถึงเรื่องของตัวเองเลย

“อาหลี่ ชื่อของแม่คุณ คุณตาที่เสียไปแล้วเป็นคนตั้งให้หรือเปล่าคะ?”ดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ

เซี่ยเจ๋อหลี่ได้ยินเช่นนั้น เขาก็ส่ายศีรษะแล้วพูดขึ้น “ไม่ใช่หรอก เหยาจิ้งจือเป็นชื่อเดิมของแม่ผม ท่านจำเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนแปดขวบไม่ได้ แต่จำชื่อของตัวเองได้ คุณตาคุณยายก็ใจดีมาก พวกท่านเป็นคนไปเจอแม่ แต่พอเห็นว่าแม่มีชื่อของตัวเอง ก็ไม่อยากที่จะเปลี่ยนให้ ก็เลยใช้ชื่อนั้นมาตลอด”

“ผมเคยได้ยินแม่บอกว่า คุณตากับคุณยายจะเรียกชื่อของแม่ตลอด ไม่เคยเรียกแซ่เลย คนในหมู่บ้านจึงคิดมาตลอดว่าแม่ของผมใช้แซ่ของคุณตา หลังจากที่ย้ายมาหมู่บ้านชิงซาน คนที่นั่นไม่ค่อยรู้เรื่องราวครอบครัวของพวกเราสักเท่าไหร่ จึงคิดว่าคุณตาแซ่เหยามาตลอด”

เมื่อฉินมู่หลานได้ยินสิ่งนี้ ก็อดไม่ได้ที่จะพยักหน้า

เซี่ยเหวินปิงกับเหยาจิ้งจือเคยอาศัยอยู่บนเขา พวกเขาย้ายออกมาหลังจากแต่งงานกัน และไม่ค่อยกลับไปบ่อยนัก เป็นเรื่องปกติที่คนในหมู่บ้านชิงซานจะไม่ค่อยทราบเรื่องราวของพวกเขา ได้ยินมาว่าบนเขาตอนนี้มีคนไม่มาก คนที่ยังอยู่ที่นั่นก็เป็นเพียงคนที่อยากหวนคืนสู่บ้านเกิดในช่วงบั้นปลายชีวิตที่ร่วงโรย ซึ่งปกติแล้ว พวกเขาก็จะไม่ออกไปไหนอีก

ในตอนนั้นเอง ฉินมู่หลานก็เอ่ยสิ่งที่คาดเดาอยู่ในใจออกมาอย่างกล้าหาญ

“อาหลี่ คุณว่า…แม่คุณคงไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับตระกูลเหยาที่อยู่ในปักกิ่งใช่ไหมคะ พูดตามตรง ฉันว่าคุณกับเหยาอี้หนิงก็ดูคล้ายกันมากนะ เมื่อก่อนฉันก็ไม่ได้สนใจหรอก แต่ตอนนี้รู้สึกได้ว่าเหมือนมีอะไรบางอย่างที่พวกเรายังไม่รู้”

………………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

มีความเป็นไปได้สูงมากที่พี่หลี่กับบ้านเหยาจะเกี่ยวข้องกันทางแม่ แต่จะเกี่ยวข้องกันยังไงยังต้องพิสูจน์ค่ะ

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก

ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก

Status: Ongoing
เมื่อแพทย์สาวมือฉมังพบว่าตนเองได้กลายเป็นหญิงอ้วนผู้เชี่ยวชาญด้านสมุนไพรในยุค 70 ผู้ไม่เป็นที่รักของสามี เธอจะเปลี่ยนเป็นคนใหม่ที่สามีคลั่งรักได้หรือไม่กันนะ?ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก[嫁七零糙汉后,我双胞胎体质藏不住]ผู้แต่ง : 钰儿เรื่องย่อหลังผชิญวรหนักจนวูบ ฉินมู่หลาน แพทย์สาวมือฉมังก็พบว่าตนองได้มาสวมร่างของหญิงอ้วนหลานสาวผู้เชี่ยวชาญด้นสมุนไพรในยุค 70 ผู้ไม่มีอะไรดีสักอย่างนอกจากได้สามีหล่อเหลานิสัยดีผู้แสนเย็นขาจากความลั่งรักของตัวเองจจับเขามาแต่งงด้วยสำเร็จ ซึ่งกรสวมวิญญาณในครั้งนี้เธอได้รับภารกิจหลักสามอย่าง หนึ่งคือสร้างเนื้อสร้างตัว สองคือลดน้ำหนักให้ตนเองทำงานทำการสะดวกขึ้น และสามคือทำให้สามีเป็นฝ่ายคลั่งรักเธอแทน คุณหมอฉินจะทำสำเร็จหรือไม่ จะเปลี่ยนเป็นฉินมู่หลานคนใหม่ที่สามีคลั่งรักได้หรือไม่กันนะ?

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท