ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก – ตอนที่ 167 เป็นที่สนใจ(1)

ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก

ตอนที่ 167 เป็นที่สนใจ(1)

ตอนที่ 167 เป็นที่สนใจ(1)

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ เซี่ยฉางชิงก็ตกตะลึงอย่างช่วยไม่ได้ “ลูกสะใภ้ของคุณหนูคนโตแห่งตระกูลเหยาเหรอ?”

เริ่นม่านนียิ้มแล้วพยักหน้า “ใช่ค่ะ หล่อนมาจากหมู่บ้านเดียวกันกับคุณหนูคนโตตระกูลเหยา จากนั้นก็แต่งงานกับเซี่ยเจ๋อหลี่ลูกชายของคุณหนูคนโตตระกูลเหยา แล้วเซี่ยเจ๋อหลี่กับเหยาอี้หนิงก็อยู่ฐานทัพเดียวกัน ตำแหน่งเท่ากันด้วยค่ะ”

เมื่อพูดเรื่องนี้ขึ้นมา เริ่นม่านนีก็มองเซี่ยเจ๋อหลี่ด้วยแววตาให้ความสำคัญ

เหยาอี้หนิงเป็นถึงคนตระกูลเหยากลับก้าวหน้าได้เท่านี้ แต่เซี่ยเจ๋อหลี่ไม่ได้ใช้เส้นสายอะไรเลย นอกจากนี้ยังมาจากชนบท อาศัยแค่ความสามารถของตัวเองก็ไต่เต้ามาจนถึงตอนนี้ได้ เห็นได้ว่าเขาต้องมีความสามารถมากแน่นอน

แม้แต่เติ้งซูหลานก็หันมองด้วยแววตาสงสัยใคร่รู้ แต่สิ่งที่หล่อนสงสัยมากกว่านั้นก็คือความสัมพันธ์ของฉินมู่หลานกับเจี่ยงสือเหิง “มาจากหมู่บ้านชนบท แล้วรู้จักหัวหน้าตระกูลคนใหม่ของตระกูลเจี่ยงได้ยังไงกัน”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ เริ่นม่านนีก็ส่ายหัว แล้วพูดขึ้น “เรื่องนี้ฉันก็ไม่ทราบค่ะ”

จากนั้นหล่อนก็บังเอิญเห็นเริ่นม่านลี่กำลังเดินมาทางนี้ จึงเดินเข้าไปถามตรง ๆ

เริ่นม่านลี่เห็นพี่สาวถามเรื่องฉินมู่หลาน สีหน้าก็บูดบึ้งนิดหน่อย แต่หล่อนไม่จำเป็นจะต้องปิดบังอะไรเรื่องนี้ จึงบอกกล่าวตามตรง “เจี่ยงสือเหิงเป็นพ่อบุญธรรมของฉินมู่หลานค่ะ”

เริ่นม่านนีได้ยินสิ่งนี้ จึงขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจ

ฉินมู่หลานกับเจี่ยงสือเหิงไม่เพียงแค่รู้จักกันเท่านั้น แต่ยังผูกพันเหนียวแน่นด้วย หล่อนไม่คิดเลยว่าหญิงสาวบ้านนอกคนหนึ่งจะโชคดีได้เช่นนี้ เพียงแต่…

เริ่นม่านนีแอบมองฉินมู่หลานจากที่ห่างไกลอีกครั้ง ถ้าไม่บอกก็คงไม่มีใครรู้ว่าฉินมู่หลานเป็นสาวบ้านนอก หน้าตาแบบนี้นิสัยแบบนี้กลับดูดีกว่าหญิงสาวที่มาจากตระกูลใหญ่โตในเมืองหลวงจากบางบ้านเสียอีก แต่เมื่อได้รับข่าวสารที่ต้องการแล้ว เริ่นม่านนีก็ไม่ได้พูดคุยกับเริ่นม่านลี่อีก แล้วรีบเดินกลับไปที่โต๊ะของคุณนายเซี่ย ก่อนจะบอกกล่าวให้พวกนางทราบ

เมื่อคนตระกูลเซี่ยทราบว่าเจี่ยงสือเหิงเป็นพ่อบุญธรรมของฉินมู่หลาน พวกเขาก็รู้สึกแปลกใจ แต่เจี่ยงสือเหิงเพิ่งกลับมาเมืองหลวงเมื่อไม่นานมานี้ พวกเขาไม่ได้ยุ่งกับทางนั้นมากนัก จึงไม่ทราบเรื่องของเขา

และในตอนนี้ แขกทั้งหมดก็มารวมตัวอยู่ที่นี่แล้ว นายท่านเหยากล่าวขอบคุณอยู่ข้างบนเวที หลังจากนั้นก็เรียกเหยาจิ้งจือให้ขึ้นไปยืนข้างเขา ก่อนจะเอ่ยแนะนำแขกที่มาร่วมงาน “นี่คือเหยาจิ้งจือ ลูกสาวแท้ ๆ ของผมเองครับ หล่อนหายตัวไปหลายปี ในที่สุดเราก็ได้เจอหล่อนแล้ว”

หลังจากพูดจบ ดวงตาของนายท่านเหยาก็แดงก่ำเล็กน้อย

คุณนายเหยามองดูลูกสาวที่อยู่ตรงหน้า ดวงตาก็เป็นสีแดงเช่นกันด้วยความตื้นตันใจ ในที่สุดก็ได้พบลูกสาวสักที

เหยาจิ้งจือรู้สึกตื้นตันใจเช่นกัน

เหยาจิ้งถงมองดูสามคนในครอบครัวกำลังมีความสุขก็ถึงกับกัดฟัน พยายามซ่อนเร้นแววโกรธเคืองในสายตาของตัวเองไว้

ยินอวี่โหรวที่นั่งอยู่ข้างลูกสาวของตนเห็นหล่อนเป็นเช่นนี้ ใบหน้าก็เผยรอยยิ้ม เอ่ยด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นกึ่งนุ่มนวล “ยิ้มให้มันดี ๆ หน่อย”

เหยาจิ้งถงได้ยินเช่นนี้ก็เปลี่ยนสีหน้าจากเคร่งขรึมอึมครึมเป็นยิ้มสดใสขึ้นมาทันที

ยินอวี่โหรวหันกลับไปมองสามคนพ่อแม่ลูกด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า

หลังจากนายท่านเหยาแนะนำเหยาจิ้งจือแล้ว เขาก็พาเซี่ยเจ๋อเหว่ย เซี่ยเจ๋อหลี่ กับเซี่ยเจ๋อน่าขึ้นไปข้างบน ก่อนจะเอ่ยแนะนำพวกเขาทีละคน

เซี่ยเจ๋อเหว่ยกับหลี่เสวี่ยเยี่ยนค่อนข้างสงบเสงี่ยมสงวนท่าที เนื่องจากผู้คนจำนวนมากกำลังจ้องมองพวกเขาอยู่ ส่วนเสี่ยวอวี่ตัวน้อยกลับไม่ได้คิดอะไร ถึงแม้ว่าจะรู้สึกประหม่านิดหน่อย แต่ก็ยังจ้องมองทุกคนด้วยแววตาสงสัยใคร่รู้

จากนั้นก็เป็นการแนะนำเซี่ยเจ๋อหลี่กับฉินมู่หลานต่อ

เมื่อครอบครัวของสามคนพี่น้องขึ้นไป ทุกคนก็ต่างสังเกตได้ว่าเซี่ยเจ๋อหลี่ดูดีที่สุด ตอนนี้เมื่อกำลังมองดูคู่รักหนุ่มสาวที่อยู่ข้างหน้า หลายคนก็ถึงกับคร่ำครวญว่าพวกเขาเกิดมาเหมือนยืนอยู่ท่ามกลางแสงสว่าง กระทั่งท้องโย้ๆ ของฉินมู่หลานก็ไม่อาจกลบความงามอันผุดผาดของเธอได้

สุดท้ายก็เป็นคราวของเซี่ยเจ๋อน่ากับเกาหยวน

เพียงแค่มองตรงไปแล้วเห็นเซี่ยเจ๋อหลี่กับฉินมู่หลานยืนอยู่ตรงหน้า และเมื่อหันมองเซี่ยเจ๋อน่ากับเกาหยวนอีกครั้ง ก็เหมือนกับแสงสว่างเจิดจ้าได้ดับลงทันที เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเกิดจากแม่คนเดียวกัน แต่ทำไมถึงได้แตกต่างกันมากขนาดนี้ แม้จะสวมใส่เสื้อผ้าหรูหราทันสมัย แต่มันก็ไม่อาจอำพรางความขี้ริ้วขี้เหร่ของเซี่ยเจ๋อน่าได้

บางคนที่นั่งห่างจากเวทีจนไม่ค่อยได้ยินเสียงจึงถือโอกาสนี้พูดคุยกัน

“เซี่ยเจ๋อน่านี่ดูต่างจากพี่ชายทั้งสองคนของหล่อนมากเลย แม่เดียวกันจริงเหรอ ถึงจะไม่ได้ขี้เหร่มาก แต่ก็ขี้เหร่อยู่ดี”

“ชู่…เบาเสียงหน่อย คนอื่นได้ยินจะไม่ดี”

“ช่างเถอะ เสียงฉันเบาจะตาย ไม่มีคนได้ยินหรอก” ดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ

แม้ว่าทั้งสองจะพูดคุยกันอย่างเงียบ ๆ แต่คนที่นั่งใกล้กลับได้ยิน กระนั้นพวกเขาก็ไม่ได้พูดอะไรมาก เพราะพวกเขาเองก็คิดเช่นเดียวกัน

เซี่ยเจ๋อน่าไม่ได้ยินคำพูดพวกนั้น ตอนนี้หล่อนยืนอยู่ข้างบนเวทีด้วยความตื่นเต้น อยากให้ทุกคนจับจ้องมองมาที่หล่อน หลังจากที่นายท่านเหยาเอ่ยแนะนำเรียบร้อยแล้ว ก็หันไปมองแล้วพูดกับเซี่ยเจ๋อหลี่ “อาหลี่ เดี๋ยวหลานกับแม่มาคารวะเหล้ากับตานะ”

ไม่รีรอให้เซี่ยเจ๋อหลี่ได้ทันเอ่ย เซี่ยเจ๋อน่าก็เปิดปากขึ้นอย่างอดใจรอแทบไม่ไหว

“คุณตาคะ ให้หนูไปด้วยไหมคะ”

นายท่านเหยาหันมามองหล่อนด้วยสายตาเย็นชา ก่อนจะเอ่ยปฏิเสธ “ไม่ต้องหรอก เธอกับพี่ใหญ่กลับไปนั่งกันก่อนเถอะ”

“แต่ว่า…”

เซี่ยเจ๋อน่ายังไม่ทันจะเอ่ยจบ นายท่านเหยาก็ส่งสายตาเย็นชามองมา

เมื่อเห็นสายตาเชือดเฉือนของนายท่านเหยา เซี่ยเจ๋อน่าก็หุบปากแล้วไม่เอ่ยพูดอะไรอีก ได้แต่รู้สึกสลดใจว่าทำไมท่านถึงพาแต่พี่รองไปแต่ไม่พาหล่อนไปเลย เป็นเพราะพี่รองของหล่อนเหมาะสมกว่าอย่างนั้นหรือ หล่อนเองก็เป็นหลานสาวของคุณตาเหมือนกัน ทำไมถึงไม่มองหล่อนบ้าง

หลี่เสวี่ยเยี่ยนรู้สึกประหม่าเล็กน้อยในตอนแรก แต่เมื่อได้เห็นหน้าเซี่ยเจ๋อน่าเช่นนี้ หล่อนกลับรู้สึกจิตใจสงบอย่างน่าประหลาด และในขณะนี้ก็มองหล่อนด้วยความโกรธ ก่อนจะพูดขึ้น “เจ๋อเหว่ยของเราไม่ได้เข้าร่วมด้วยซ้ำ แล้วทำไมลูกสาวที่แต่งงานออกเรือนไปแล้วอย่างเธอถึงจะได้ไปล่ะ”

หลังจากเอ่ยจบ ก็ดึงตัวอีกฝ่ายแล้วพูดกับหล่อน “เธอคิดจะทำอะไรอยู่ อยากจะขายขี้หน้าต่อหน้าคนเยอะ ๆ ไปมากกว่านี้เหรอ”

ตอนแรกเซี่ยเจ๋อน่าไม่ขยับเขยื้อน เพียงแต่เมื่อได้ยินประโยคหลัง จึงกลับมานั่งที่ตามเดิมด้วย

ฉินมู่หลานก็เดินกลับไปนั่งด้วย เพียงแต่นั่งเก้าอี้ยังไม่ทันจะอุ่น เจี่ยงสือเหิงก็ลุกขึ้นยืนแล้วพูดกับเธอ “มู่หลาน พ่อจะพาลูกไปเจอเพื่อนของพ่อหน่อย”

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ฉินมู่หลานก็พยักหน้าแล้วพูดขึ้น “ได้ค่ะ พ่อบุญธรรม”

วันนี้หลายคนที่อยู่ใกล้เจี่ยงสือเหิงในงานเลี้ยงรับรองได้ทราบว่าเพื่อนของพวกเขามีลูกสาวบุญธรรมแล้ว แต่พวกเขาไม่คาดคิดว่าจะเป็นฉินมู่หลาน ดังนั้นพวกเขาจึงเอ่ยทักทายฉินมู่หลานกัน “สวัสดี หลานสาว”

ขณะนี้เจี่ยงสือเหิงพาฉินมู่หลานมาแนะนำให้ผู้คนรู้จัก คนรอบข้างจึงรู้เรื่องนี้มากมายว่าลูกสะใภ้คนเล็กของคุณหนูตระกูลเหยาที่เพิ่งกลับมาเป็นลูกสาวบุญธรรมของเจี่ยงสือเหิง

ตอนนี้ทุกคนจึงอยากรู้เรื่องราวของฉินมู่หลาน ก่อนหน้านี้ก็ได้ลองถามพวกเหยาจิ้งจือกับลูกชายแล้ว แน่นอนว่าได้ทราบเรื่องราวของลูก ๆ หล่อนด้วย แต่พวกเขากลับไม่ได้ยินเรื่องราวอะไรเกี่ยวกับลูกสะใภ้คนรองกับลูกเขยอีกหนึ่งคนเป็นพิเศษเลย กลับกลายเป็นว่าเขาอดทราบข้อมูลสำคัญ จำเป็นต้องยอมละทิ้งข้อมูลพวกนี้ไป

ฉินมู่หลานสังเกตได้อยู่แล้วว่ารอบข้างให้ความสนใจเธอ จึงได้แต่ยกยิ้มขึ้นประดับไว้บนใบหน้า ก่อนจะพูดคุยกับทุกคนอย่างใจเย็น และปฏิบัติกับผู้อื่นอย่างสุภาพอ่อนน้อม นอกจากนี้ก็ไม่มีความเย่อหยิ่งทะนงตัวเลยสักนิด

เมื่อเห็นเช่นนั้น ทุกคนจึงรู้สึกประทับใจฉินมู่หลานเป็นอย่างมาก เธอมาจากชนบทแห่งหนใดกัน ไม่ใช่ว่ามาจากบ้านตระกูลใหญ่โตหรอกหรือ

เจี่ยงสือเหิงทราบดีอยู่แล้วว่าลูกสาวบุญธรรมของเขายอดเยี่ยมแค่ไหน เมื่อเห็นเธอเผชิญหน้ากับผู้คนมากมายในเวลานี้ก็ยังรู้สึกผ่อนคลายเป็นกันเอง จึงอดที่จะยกยิ้มเสียไม่ได้ แล้วก็ได้แต่ภูมิใจ

………………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

คนที่ไม่ถูกเลือกทำยังไงก็ไม่โดนเลือก ยอมรับความจริงข้อนี้เถอะยัยเจ๋อ

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก

ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก

Status: Ongoing
เมื่อแพทย์สาวมือฉมังพบว่าตนเองได้กลายเป็นหญิงอ้วนผู้เชี่ยวชาญด้านสมุนไพรในยุค 70 ผู้ไม่เป็นที่รักของสามี เธอจะเปลี่ยนเป็นคนใหม่ที่สามีคลั่งรักได้หรือไม่กันนะ?ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก[嫁七零糙汉后,我双胞胎体质藏不住]ผู้แต่ง : 钰儿เรื่องย่อหลังผชิญวรหนักจนวูบ ฉินมู่หลาน แพทย์สาวมือฉมังก็พบว่าตนองได้มาสวมร่างของหญิงอ้วนหลานสาวผู้เชี่ยวชาญด้นสมุนไพรในยุค 70 ผู้ไม่มีอะไรดีสักอย่างนอกจากได้สามีหล่อเหลานิสัยดีผู้แสนเย็นขาจากความลั่งรักของตัวเองจจับเขามาแต่งงด้วยสำเร็จ ซึ่งกรสวมวิญญาณในครั้งนี้เธอได้รับภารกิจหลักสามอย่าง หนึ่งคือสร้างเนื้อสร้างตัว สองคือลดน้ำหนักให้ตนเองทำงานทำการสะดวกขึ้น และสามคือทำให้สามีเป็นฝ่ายคลั่งรักเธอแทน คุณหมอฉินจะทำสำเร็จหรือไม่ จะเปลี่ยนเป็นฉินมู่หลานคนใหม่ที่สามีคลั่งรักได้หรือไม่กันนะ?

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท