ตอนที่ 170 สีหน้าหนักใจ(2)
ตอนที่ 170 สีหน้าหนักใจ(2)
ถึงแม้ว่าเหยาจิ้งจือจะหายตัวไปหลายปีและได้ใช้ชีวิตในชนบทจริง จึงไม่มีทางเทียบกับเหยาจิ้งถงได้ แต่ถึงอย่างไรเหยาจิ้งจือก็เป็นแม่ผู้ให้กำเนิดเซี่ยเจ๋อน่า แต่หล่อนกลับพูดจาดูถูกแม่ของตนได้โดยไม่ลังเล ช่างอกตัญญูเหลือเกิน
เซี่ยเจ๋อน่ายังไม่ทราบความคิดในใจของทุกคนว่าไม่มีความประทับใจที่ดีต่อหล่อนเลยสักนิด ยังคงดื่มคารวะด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
และฉินมู่หลานก็หูตาฉับไว ได้ยินทุกอย่างที่เซี่ยเจ๋อน่าพูด
เซี่ยเจ๋อหลี่ก็ได้ยินเหมือนกัน เขาหันหน้าไปมอง แววตาไม่มีความอบอุ่นเลยสักนิด
ฉินมู่หลานเห็นว่าเซี่ยเจ๋อหลี่ไม่ยอมกินข้าว จึงรีบบอก “อาหลี่ คุณหิวไม่ใช่เหรอ รีบกินข้าวสิ”
เซี่ยเจ่อหลี่ได้ยินจึงพยักหน้า แล้วรีบกินต่อ เพียงแต่เขากลับคิดไปถึงเรื่องการเลี้ยงดูของพ่อแม่ หากไม่ใช่เพราะพวกเขาละเลยเซี่ยเจ๋อน่า เซี่ยเจ๋อน่าคงไม่เห็นแก่ตัว อาจจะดีขึ้นกว่าตอนนี้อยู่บ้าง
เมื่อคิดได้เช่นนั้น เซี่ยเจ๋อหลี่จึงจ้องมองท้องของฉินมู่หลานด้วยความรู้สึกประหม่า ลูกทั้งสองคนจะเกิดมาเร็ว ๆ นี้ เขาจึงไม่รู้ว่าตัวเองจะเป็นพ่อที่ดีได้หรือเปล่า จะสามารถให้ความรู้ที่ดีกับลูกได้หรือไม่ ซึ่งเขาต้องระมัดระวังมากทีเดียว เพราะสิ่งที่เขาสอนจะคงอยู่กับลูกไปตลอด จะทำให้ลูกเสียคนไม่ได้
หลังจากคิดเรื่องนี้แล้ว เซี่ยเจ๋อหลี่ก็กลับไปกินข้าวดังเดิม
ในตอนนี้ แขกหลายท่านต่างกินอาหารกันเสร็จแล้ว จึงเริ่มทยอยกลับไปทีละคน เถาป๋อหลุนก็คิดจะกลับเหมือนกัน เพราะเขางานยุ่งมาก มีธุระหลายเรื่องให้ต้องจัดการ แต่การได้พบฉินมู่หลานนั้นเป็นเรื่องที่ยาก เขาจึงอยากพูดคุยกับอีกฝ่ายให้นานขึ้น แล้วก็อยากชวนเธอไปดูโรงพยาบาลสักหน่อยด้วย
เมื่อคิดเช่นนี้ เถาป๋อหลุนก็เอ่ยแสดงความต้องการของตนอีกครั้ง
“ต้องขอโทษผู้อำนวยการเถาด้วยนะคะ พรุ่งนี้พวกเราจะกลับกันแล้ว จึงหาเวลาไปโรงพยาบาลของคุณไม่ได้ค่ะ”
“อะไรนะครับ…พรุ่งนี้พวกคุณจะกลับกันแล้วหรือ เช่นนั้นก็น่าเสียดายจังครับ”
เถาป๋อหลุนได้แต่รู้สึกเสียดาย
“หมอฉินครับ ถ้าต่อไปคุณมาปักกิ่ง มาพบผมที่โรงพยาบาลได้นะครับ”
“ได้ค่ะ”
ฉินมู่หลานยิ้มตอบตกลง
แต่ถึงอย่างนั้น คุณนายเหยาที่เพิ่งเดินผ่านมาทางนี้ ก็ได้ยินสิ่งที่พวกเขาสองคนพูดกับหู จึงเอ่ยถามฉินมู่หลานด้วยความไม่อยากเชื่อ “มู่หลาน พรุ่งนี้พวกเธอจะกลับกันแล้วเหรอ ทำไมยายไม่รู้เรื่องเลย”
ฉินมู่หลานเห็นว่าคุณนายเหยาได้ยินเรื่องนี้แล้ว ก็พูดตามนั้น “คุณยายคะ พรุ่งนี้พวกเราจะกลับกันแล้วค่ะ”
“แค่เธอกับอาหลี่กลับ หรือว่าทุกคนจะกลับกันหมด?”
คุณนายเหยาได้แต่รู้สึกร้อนรุ่มกลุ้มใจ พรุ่งนี้พวกเขาจะกลับแล้ว แต่ยังไม่มีใครบอกกล่าวพวกนางเลย
“คุณยายคะ พวกเราทุกคนจะกลับกันหมดเลยค่ะ”
ถึงแม้ว่าคุณนายเหยาจะพอคาดเดาได้อยู่แล้ว แต่ก็ยังรู้สึกไม่ดี “ทำไมไม่บอกกันก่อนล่ะ จะไปกันกะทันหันแบบนี้เลยเหรอ หรืออยู่ที่บ้านไม่ค่อยสะดวก?”
ฉินมู่หลานเห็นว่ามีคนอยู่ตรงนี้ไม่น้อย จึงรีบบอกกล่าวทันที “คุณยายคะ เอาไว้ค่อยพูดเรื่องนี้กันทีหลังนะคะ ตรงนี้คนเยอะมาก”
คุณนายเหยาก็รู้สึกตัวขึ้นมา จึงไม่เอ่ยถามต่อ แต่ก็ยังคงบอกกล่าวเรื่องนี้ให้นายท่านเหยาฟัง
นายท่านเหยาไม่ได้พูดอะไรมาก หลังจากส่งแขกทุกคนกลับหมดแล้ว เขาก็เรียกครอบครัวของเหยาจิ้งจือไปพูดคุยกันที่ห้องโถงใหญ่
เมื่อเห็นครอบครัวของเหยาจิ้งจือไปที่ห้องโถงใหญ่ เหยาจิ้งถงก็พาครอบครัวของหล่อนตามไปด้วย
เมื่อมาถึงห้องโถงใหญ่แล้ว นายท่านเหยาก็จ้องมองเหยาจิ้งจือแล้วเอ่ยถาม “จิ้งจือ พรุ่งนี้พวกลูกจะกลับกันแล้วเหรอ?”
ตอนแรกเหยาจิ้งจือคิดจะบอกพ่อแม่หลังจากเสร็จงานเลี้ยงรับรองอยู่แล้ว เมื่อเห็นว่านายท่านเหยาทราบเรื่องแล้ว หล่อนก็เอ่ยโดยไม่ลังเล ก่อนจะพูดตามตรงว่าจะกลับพรุ่งนี้
“จะกลับพรุ่งนี้ทำไมถึงเพิ่งมาบอกเราเอาป่านนี้ล่ะ จะต้องให้พวกเรารู้เองเหรอ นี่คิดจะกลับกันมานานแค่ไหนแล้ว”
เมื่อเห็นว่านายท่านเหยาดูไม่ค่อยพอใจ เหยาจิ้งจือก็เอ่ยบอกอย่างประหม่านิดหน่อย “ฉันว่าจะรอหลังงานเลี้ยงจบแล้วค่อยบอกพ่อกับแม่ค่ะ ไม่คิดว่าพ่อกับแม่จะรู้แล้ว”
นายท่านเหยาได้ยินดังนี้ จึงไม่พูดอะไรอีก
แต่เมื่อคุณนายเหยาเห็นว่านายท่านเหยาไม่พูดอะไร จึงเอ่ยอย่างกังวลใจ “จิ้งจือ กว่าพวกเราจะเจอลูกก็ลำบากมาก ทำไมถึงจะไปกันแล้วล่ะ บอกแม่หน่อยสิ หรือว่าอยู่ที่บ้านแล้วไม่สบายใจ ถ้ารู้สึกไม่พอใจอะไรก็บอกแม่ได้นะ แม่จะจัดการเอง ขอแค่ลูกไม่ไปจากเมืองหลวงก็พอ”
เมื่อเห็นคุณนายเหยาพูด แววตาของเหยาจิ้งจือก็แดงก่ำนิดหน่อย
เมื่อเห็นผู้อาวุโสทั้งสองเป็นห่วงเป็นใย หล่อนก็รู้สึกสะเทือนใจมาก เพียงแต่ตอนนี้แต่งงานมีลูกแล้ว นอกจากนี้ก็มีหลานแล้วด้วย จึงไม่สามารถอยู่ในบ้านตระกูลเหยาได้แล้ว หล่อนจึงแสดงความเห็นของตัวเองออกมา
คุณนายเหยาทราบก็รีบเอ่ยทันที “จิ้งจือ ถึงลูกจะแต่งงานแล้ว ลูกก็อยู่ที่บ้านได้นี่ ไม่มีปัญหาอะไรเลย” หลังจากพูดจบ นางก็รีบหันไปมองเซี่ยเหวินปิงด้วยสายตาสงสัย แล้วพูดขึ้น “หรือว่าเขาไม่อยากให้ลูกอยู่?”
เซี่ยเหวินปิงได้แต่คิดว่าไม่ใช่ แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรทั้งนั้น
เมื่อเหยาจิ้งจือได้ยินสิ่งนี้ ก็รีบโบกมือแล้วบอกกล่าวทันที “แม่คะ ไม่ใช่อย่างนั้นค่ะ เป็นเพราะอาหลี่ต้องกลับไป มู่หลานเองก็ด้วย พวกเราจึงต้องไปกับพวกเขา ฉันต้องไปดูแลมู่หลานค่ะ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ คุณนายเหยาก็รีบเอ่ย “ลูกไม่ต้องกังวลเรื่องมู่หลานหรอก ก็ให้มู่หลานอยู่ด้วยสิ”
ไม่ทันที่เหยาจิ้งจือจะได้เอ่ย เซี่ยเจ๋อหลี่ก็เอ่ยขึ้น “คุณยายครับ ยังไงมู่หลานก็ต้องกลับไปกับผม แต่คุณยายไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ ถ้ามีเวลาว่างเดี๋ยวพวกเราจะกลับมาหาพวกคุณยายแน่นอน”
เมื่อคุณนายเหยากำลังจะพูดอะไรบางอย่าง นายท่านเหยาก็เปิดปากพูดขึ้น
“ในเมื่อพวกเธออยากจะกลับกันจริง ๆ ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็จะไม่พูดอะรแล้ว คืนนี้ก็พักผ่อนกันให้เพียงพอนะ”
คุณนายเหยาเห็นชายชราเอ่ยเช่นนี้จึงรู้สึกวิตกกังวล แต่ถึงอย่างนั้นนายท่านเหยาก็ลูบหลังมืของหญิงชราอย่างปลอบโยน เพื่อไม่ให้นางพูดอะไรไปมากกว่านี้
คุณนายเหยาเชื่อฟังสามีของตนเป็นปกติอยู่แล้ว จึงไม่พูดอะไรอีก
ตอนแรกเหยาจิ้งถงกังวลว่าผู้อาวุโสทั้งสองจะไม่ยอมให้เหยาจิ้งจือไป ไม่คิดเลยว่าหลังจากคุณนายเหยาคัดค้านอยู่สักพัก ทุกอย่างก็เป็นไปอย่างราบรื่น
หากครอบครัวของเหยาจิ้งจือไปแล้ว พวกเขาจะสามารถย้อนกลับไปเหมือนเดิมอีกครั้งได้ไหม
แววตาของเหยาจิ้งถงเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ความหงุดหงิดก่อนหน้าจางหายวับไปหมดสิ้น
ในที่สุดเหยาจิ้งจือก็เอ่ยความคิดของตัวเองออกไป รู้สึกราวกับยกหินก้อนใหญ่ในใจออกเป็นปลิดทิ้ง ขณะเดียวกันก็หันไปมองลูก ๆ ของตัวเองแล้วบอกกับพวกเขาว่า “เอาล่ะ พวกเราไปพักผ่อนกันเถอะ“
เซี่ยเจ๋อน่าแอบขยิบตาให้เหยาจิ้งถงตลอดเวลา เพียงแต่อีกฝ่ายเหมือนจะไม่เห็น เมื่อเห็นว่าตอนนี้พวกเขากลับไปหมดแล้ว จึงเอ่ยพูดตามตรง
แต่ก่อนที่เซี่ยเจ๋อน่าจะทันได้เปิดปากพูดอะไร เหยาจิ้งจือก็รั้งหล่อนไว้ ขณะเดียวกันก็ขยิบตาให้เซี่ยเจ๋อหลี่ ทั้งสองจึงช่วยกันลากคนกลับไปทันที
เหยาจิ้งถงเห็นครอบครัวของเหยาจิ้งจือกลับไปแล้ว หล่อนจึงลุกขึ้นยืนแล้วพูดว่า “พ่อคะ แม่คะ ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็กลับกันเถอะค่ะ”
เมื่อเดินมาได้ครึ่งทาง เหยาอี้หนิงก็คิดว่าเซี่ยเจ๋อหลี่จะกลับไปเข้าร่วมกองทัพในวันพรุ่งนี้ นั่นหมายความว่าเขาก็ต้องกลับด้วย จึงชะงักแล้วหันไปพูดกับเหยาจิ้งถง “แม่ พรุ่งนี้ผมก็จะกลับแล้วเหมือนกัน เดี๋ยวไปบอกคุณตาคุณยายก่อนครับ” ดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ
“ได้ ถ้าอย่างนั้นแกก็รีบไปเถอะ”
หลังจากเหยาอี้หนิงมาถึง ก็เห็นผู้อาวุโสทั้งสองกำลังพูดคุยกันอยู่บ้าง ใน บางครั้งก็กล่าวถึงแม่ของเขากับเหยาจิ้งถง เขาจึงไม่เดินเข้าไป ได้แต่ยืนสงสัยอยู่อย่างนั้น
เพียงแต่หลังจากฟังเรื่องจากข้างในชัดเจนแล้ว เหยาอี้หนิงก็รู้สึกตกใจ เขาได้แต่ยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น หลัวจากนั้นก็ไม่ได้ยินเสียงข้างในอีก ก่อนจะเดินออกจากตรงนั้นด้วยสีหน้าหนักใจ
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
พอดีว่าที่ชนบทให้ความรู้สึกเหมือนเป็นบ้านมากกว่าที่นี่น่ะค่ะ คุณยายอย่าน้อยใจไปเลยนะคะ
ไหหม่า(海馬)