“อันนี้น่ะมี แต่กลัวว่าคุณจะไม่ชินเท่าไหร่นัก” จู่ๆ เซี่ยหยางก็คิดถึงเรื่องในแม่น้ำของหมู่บ้านกับเฉินเจียเมื่อคราวก่อนขึ้นมา ก็อดยิ้มออกมาไม่ได้
“คุณยิ้มอะไร? รีบจัดการเถอะ ถือโอกาสหยิบชุดให้ฉันด้วย แต่อย่าเอาชุดที่มีกลิ่นเหงื่ออะไรพวกนั้นมาให้ฉันนะคะ” เฉินเจียกล่าวอย่างกระเง้ากระงอด
“กลิ่นเหงื่อ นี่ถือเป็นการรังเกียจกันมาก เซี่ยหยางเบ้ปาก เอ่ยขึ้นอย่างจนปัญญาว่า “คนสวย ที่นี่ปัจจัยมีจำกัด หวังว่าคุณจะจำใจใช้ไปก่อน นี่ถือเป็นเรื่องสุดวิสัย”
“แล้วฉันต้องไปอาบที่ไหนคะ? เฉินเจียเบิกตากลมโตซักถาม
“นี่ช่างเป็นความลำบากใจของเซี่ยหยางจริงๆ บ้านตัวเองมีแค่ผู้ชายตัวโตคือเขากับพ่อแก่ๆ สองคน ยังจะไปมีห้องน้ำหญิงได้ยังไงกัน
“ที่นี่แหละ ได้ไหม?” เซี่ยหยางพยายามทำอย่างสุดความสามารถ ชี้ไปที่ห้องนั้นในลานบ้าน ปกตินั่นเป็นห้องที่เอาไว้เก็บของ
“ไม่เอาอ่ะ สกปรกจะตาย ฉันไปห้องคุณดีกว่า” เฉินเจียเดินตรงเข้าไปในห้องของเซี่ยหยาง จากนั้นก็หันหลังมากล่าวว่า “คุณมัวยืนทำอะไรอยู่ ยังไม่รีบตักน้ำมาให้ฉันอีก หากฉันป่วยขึ้นมาจะทำยังไง?”
“อ้อ จะไปเดี๋ยวนี้” เซี่ยหยางมุมปากกระตุก เฉินเจียผู้นี้ช่างปรนนิบัติยากโดยแท้ แต่พอคิดดูก็ถูก ดีร้ายอย่างไรเธอก็เป็นเถ้าแก่เนี้ยของร้านเหล้า สถานที่แบบนี้ จึงไม่ค่อยเหมาะกับเธอเท่าไหร่นัก
ตักน้ำให้เธอ จากนั้นก็กลั้นใจหยิบชุดที่ตัวเองเพิ่งซื้อมาใหม่ตัวหนึ่งมา ก่อนจะหยิบผลิตภันฑ์อาบน้ำ ส่งให้เฉินเจีย เซี่ยหยางยิ้มแห้งๆ กล่าวว่า “พอถูไถไปก่อน ชนบทเทียบในเมืองไม่ได้หรอกนะ”
เฉินเจียถึงกับก้มหน้าดมที่เสื้อ หนนี้เจือไปด้วยกลิ่นหอม จึงพยักหน้าอย่างฝืนๆ พลางกล่าวว่า “ชุดนี้พอได้ค่ะ รีบเฝ้าหน้าประตูไว้เร็ว อย่าให้ใครเข้ามา แล้วก็ห้ามแอบดูนะคะ”
เห็นเฉินเจียทำหน้าทะเล้น ยิ้มอย่างงดงามขนาดนั้น เซี่ยหยางก็ยักไหล่ เดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าประตู จุดบุหรี่สูบ ก่อนจะหรี่ตามองฝนที่ด้านนอก
พ่อเขาถึงกับไปดื่มเหล้ากับพ่อของเอ้อนิ้ว เห็นได้ชัดว่ากำลังเปิดโอกาสให้ตัวเขาอยู่ ก่อนไปยังกำชับกับเซี่ยหยางด้วยท่าทางจริงจัง บอกว่าผู้หญิงคนนี้ไม่เลวเลย ดูท่าพ่อเขาคงร้อนใจอยากจะอุ้มหลานเต็มแก่แล้ว
ได้ยินเสียงน้ำตกกระทบพื้นดังอยู่ในห้อง กับเสียงเสียดสีของอะไรบางอย่าง เขาก็รู้สึกร้อนอบอ้าวขึ้นมา นั่นเป็นการทำให้คนจินตนาการไปต่างๆ นาๆ เขาเกาศีรษะเพื่อเตือนตัวเองว่าอย่าคิดไปไกล
แต่พอคิดว่าสาวสวยคนหนึ่งอย่างเฉินเจีย ถึงกับอาบน้ำอยู่ในห้องตัวเอง เขาก็รู้สึกไม่ค่อยชินเท่าไหร่นัก มันรู้สึกแปลกๆ
ทว่าผ่านไปไม่นานนัก เซี่ยหยางก็ได้ยินเสียงร้องอยู่พักหนึ่ง เขาชะงักไป กำลังคิดจะเข้าไปถามเฉินเจียว่าเป็นอะไร ประตูห้องก็เปิดออก ด้านในไม่ได้เปิดไฟ ในความมืดนั้น เฉินเจียพุ่งออกมา ตรงมากอดที่ลำคอของเซี่ยหยางเอาไว้
“เป็นอะไรไป?” เพิ่งจะสิ้นคำพูดของเซี่ยหยาง เขาชำเลืองมองแวบหนึ่งภายใต้จิตสำนึก จากนั้นก็นิ่งไปทันที
พบว่าเฉินเจียไม่ได้ใส่อะไรปกปิดไว้เลย พิงอยู่ในอ้อมแขนเขาด้วยเนื้อตัวเปียกปอน พูดเสียงสั่นๆ เล็กน้อยว่า “มีผี เหมือนจะมีผีล่ะ น่ากลัวมาก”
เซี่ยหยางชะงักไปแล้ว ในใจเต้นโครมคราม สถานการณ์เช่นนี้ทำให้เขารู้สึกทำอะไรไม่ถูกอยู่บ้าง อะไรคือผีไม่ผี สภาพอย่างนี้ของเฉินเจีย เขาถึงรู้สึกว่ามีผีแล้ว
เขาชำเลืองมองเข้าไปในห้องแวบหนึ่ง บางทีอาจเพราะเฉินเจียกลัวโป๊ เลยไม่ได้เปิดไฟ ในห้องที่มืดมิด มีดวงตาสีน้ำเงินเข้มสองดวงส่องประกายระยิบระยับออกมาเล็กน้อย หลังสั่นไหวคราวหนึ่ง ก็ส่งเสียงร้องเหมียว จากนั้นก็กระโดดออกมาอย่างแช่มช้า แล้ววิ่งออกไป
“แค่แมวตัวหนึ่งเท่านั้นเอง คุณอย่าตื่นตูมได้ไหม? ไม่เคยเลี้ยงแมว?” เซี่ยหยางอยากจะหัวเราะ กลับหัวเราะไม่ออก เฉินเจียเวลานี้ดึงดูดสายตาเกินไป วิวทิวทัศน์ก็สวยมากเช่นกัน เซี่ยหยางไม่กล้ามองไปมากกว่านี้
เฉินเจียเองก็เห็นแมวตัวนั้นแล้วเช่นกัน อดถอนหายใจออกมาอย่างโล่งออกไม่ได้ แต่พอเธอค้นพบสภาพของตัวเอง ก็ร้องอย่างตกใจขึ้นมาอีกครั้ง รีบหมุนตัววิ่งเข้าไปในห้องทันที
“ลามก คุณมันบ้าที่สุด” เฉินเจียวิ่งพลางร้องตะโกนไปพลาง
“เฮ้ นี่ไม่ใช่ความผิดผมนะ……” เซี่ยหยางคิดจะอธิบาย ประตูก็ถูกปิดเสียงดังปังเสียแล้ว เขาลูบจมูก คิดถึงเมื่อกี้เฉินเจียทั้งน่าสงสารทั้งงดงามอย่างชัดเจน เขาก็มีท่าทางใจลอยขึ้นมา
พักหนึ่ง ยังไม่เห็นเฉินเจียออกมา เซี่ยหยางก็รู้สึกตกใจ หรือว่าสาวสวยคนนี้จะเข้าใจผิดจริงๆ แต่เมื่อกี้ตัวเองแค่กอดเฉยๆ ไม่ได้ทำตัวรุ่มร่ามอะไรเลย
เอาสิ ชอบยังไงก็เป็นอย่างนั้นแล้วกัน พี่มันเป็นคนชัดเจน เซี่ยหยางคิดเช่นนี้ ก็พูดว่า “หากคุณยังไม่ออกมาอีก ผมจะไปแล้วนะ คุณอยู่ที่นี่คนเดียวทั้งคืนได้ไหม?”
“คุณกล้า ยืนอยู่เฉยๆ เลย” เฉินเจียตะโกนขึ้นมา ตอนออกมา ได้เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้ว เหมือนกับคราวก่อน ด้านในไม่ได้สวมอะไร
เซี่ยหยางเห็นแก้มเธอยังขึ้นสีแดงจางๆ รู้ว่าเธอเขินอายเรื่องเมื่อกี้ จึงไม่ได้พูดมากอีก ก่อนจะกล่าวว่า “ยังมีเรื่องอะไรอีก พูดออกมาเถอะ”
“เมื่อกี้ คุณเห็นอะไรหรือเปล่า?” เฉินเจียกัดริมฝีปากแดงเบาๆ เขินอายอย่างที่สุด
“ไม่ได้เปิดไฟ เลยเห็นแค่แมวตัวเดียว ทำไมเหรอ?” เซี่ยหยางแสร้งทำเป็นโง่เขลา
“แน่นะ? ฉันไม่เชื่อหรอก คุณโกหก” เฉินเจียกล่าวอย่างร้อนใจ
“แล้วทำยังไงถึงจะเชื่อ? หรือคุณจะให้ผมพูดความจริง งั้นผมเห็นหมด……”
“ห้ามพูด พอแล้ว ไปหยิบเตาไฟมาให้ฉันที ฉันจะอังชุดให้แห้ง จากนั้นถึงค่อยกลับ” เฉินเจียทั้งเขินทั้งโกรธ
ยากจะรับมือดังเช่นที่คิดไว้จริงๆ เซี่ยหยางกล่าวอย่างจนปัญญาว่า “ฝนตกหนักขนาดนี้ คุณจะไปไหนได้ อีกอย่างผมจะไปเอาเตาไฟจากไหนมาให้คุณ?”
“ไปที่ฟาร์มสเตย์ของคุณสิ ฉันไม่สน ฉันจะไปเดี๋ยวนี้” เฉินเจียเอ่ยขึ้นอย่างดื้อดึง
“เอาเถอะ พระแม่โพธิสัตว์ ผมไปแล้วพอใจหรือยัง?” เซี่ยหยางหรี่ตามองฝน จากนั้นก็สูดหายใจเข้าเฮือกหนึ่งแล้วพุ่งออกไป
พอหยิบเตาไฟมา ก็เปียกชุ่มจนกลายเป็นไก่ตกน้ำไปเสียแล้ว เฉินเจียกลับหัวเราะท้องคัดท้องแข็ง รับเอาเตาไฟมาอย่างสาแก่ใจก่อนจะพูดว่า “สมน้ำหน้า ใครใช้ให้คุณมองไปทั่วล่ะ เชอะ”
เซี่ยหยางไร้คำพูดไปชั่วขณะ จึงย้ายเก้าอี้มานั่งตรงใต้ชายคา แล้วนั่งไขว่ห้างอย่างไม่สนใจสิ่งใด
เฉินเจียอังเสื้อผ้าจนแห้งแล้ว ก็เห็นเซี่ยหยางกำลังสูบบุหรี่อยู่ ก่อนจะตบลงไปที่พุงแล้วกล่าวว่า “เฮ้ ฉันหิวแล้ว ไปเอาของกินมาหน่อยได้ไหม?”
“คุณจะกลับแล้วไม่ใช่เหรอ ไปจัดการเอาเองสิ” เซี่ยหยา
กล่าวอย่างไม่ยี่หระ
“คุณพูดจริงเหรอ? ไร้มโนธรรม เอาเปรียบกันแล้วยังจะหยิ่งอีก ไปก็ได้” เฉินเจียพูดจบก็จะพุ่งออกไปทางกลางห่าฝน
เซี่ยหยางตาไวมือเร็ว รีบดึงเธอกลับมาทันที อุ้มไว้เต็มอ้อมแขน เฉินเจียกะพริบตากลมโตจ้องมองเซี่ยหยางเขม็ง แลบลิ้นออกมาพลางหัวเราะอย่างมีความสุข จากนั้นก็ใช้หมัดขาวนวลจู่โจมเข้ามา แต่ถูกเซี่ยหยางดึงไว้ได้อีกครั้ง
“อย่าก่อเรื่อง ถูกใครพบเข้าแล้วมันจะไม่ดี” เซี่ยหยางกล่าวเสียงขรึม พลางมองสบตากับเธอ
จู่ๆ เฉินเจียก็ทำตัวน่ารักขึ้นมา ก่อนจะหลับตาลงอย่างช้าๆ ลมหายใจก็ถี่กระชั้นขึ้นมา ราวกับกำลังรอคอยอะไรบางอย่าง
เห็นเธอทำท่าทางน่ารักน่าใคร่ เซี่ยหยางก็ใจลอยขึ้นมา กำลังคิดจะเข้าไปใกล้ โทรศัพท์ก็ดังขึ้นมาราวกับจะคร่าชีวิต
บรรยากาศอันสวยงามถูกทำลายลง เซี่ยหยางได้แต่รับสาย ที่แท้ก็เป็นพนักงานที่ฟาร์มสเตย์โทรมา บอกว่ากับข้าวเสร็จแล้ว ให้พวกเขาไปกินได้
หลังกินข้าวเสร็จ ก็จัดหาที่ทางให้คนงานกับคนขับรถ ที่เหลือก็คือเฉินเจียแล้ว แน่นอน ให้เฉินเจียหลับที่ห้องของตัวเอง ส่วนพ่อเขาถึงกับโทรมาบอกว่าจะอยู่จัดการที่บ้านของเอ้อนิ้ว แถมยังใช้คำรื่นหูถามว่าไปถึงขั้นไหนแล้ว และมีเสียงหยอกล้อของเอ้อนิ้วดังมาจากปลายสาย
เซี่ยหยางไม่ได้พูดอะไร เขาล็อกประตู เขาไปจัดการค้างคืนอยู่ในโลกแผ่นหยก ค่ำคืนในโลกแผ่นหยกทั้งเงียบสงัดและเย็นสบาย คืนเดียวไร้ซึ่งคำพูด เพียงไม่นานฟ้าก็สว่าง
“เมื่อคืนคุณไปไหนมา ทำไมไม่เห็นคุณเลย?” วันต่อมาอากาศแจ่มใส พอขนของเสร็จ ก่อนที่เฉินเจียจะจากไป ก็ถามเซี่ยหยางอย่างสงสัยขึ้นมา
“อยู่ในหมู่บ้านน่ะ มีที่เยอะแยะ เดินทางดีๆ ล่ะ” เซี่ยหยางมาส่งเฉินเจียที่หน้าหมู่บ้าน พลางโบกมือ
“อ้อ อีกไม่กี่วันค่อยมาใหม่ เก็บปลากับผักสดไว้ให้ฉันเยอะๆ นะ” เฉินเจียยิ้มหวาน จากนั้นก็ขับรถจากไป กลับทนไม่ไหวเหลือบมองเซี่ยหยางจากกระจกมองหลังแวบหนึ่ง ในใจเกิดเป็นระลอกคลื่นเล็กๆ ขึ้นมา
“ยังมาอีก? ไม่รู้แล้วจริงๆ ว่าจะรับมือกับเธอยังไง” เซี่ยหยางบ่นพึมพำกับตัวเองเบาๆ ตอนหมุนตัวกลับไป พบว่าที่ด้านหลังราวกับมีดวงตาคู่หนึ่งกำลังแอบมองตนอยู่ เขาหันหลังกลับไปอย่างรวดเร็ว แต่ก็หายไปแล้ว
เซี่ยหยางเดินไปดูอย่างสงสัย แต่ก็ไม่พบอะไร หรือว่าเขาจะรู้สึกไปเอง? ไม่มีอะไรน่าสนใจ เซี่ยหยางจึงเดินกลับไป
ตอนเดินมาถึงฟาร์มสเตย์ ก็พบว่ามีคนกลุ่มหนึ่งอยู่ตรงหน้าประตู ที่เดินนำอยู่ข้างหน้าเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง มองจากด้านหลังรู้สึกคุ้นตาอยู่บ้าง ดูค่อนข้างน่ารัก กำลังพูดอะไรบางอย่างกับคนด้านข้างอย่างออกรสออกชาติ พอเดินเข้าไปใกล้จึงเห็นว่า เป็นนักข่าวสาวที่ชื่อว่าหวางหลิงคนนั้น
หวางหลิงเองก็เห็นเซี่ยหยางแล้วเช่นกัน รีบยิ้มพลางโบกมือทักทาย จากนั้นก็ยิ้มแย้มกล่าวกับคนที่อยู่ด้านหลังว่า “เขามาแล้วล่ะ คนนี้แหละ อาหารของร้านเขาน่ากินมาก รับรองเลยว่าพวกคุณไม่เคยไปกินที่ไหนมาก่อน”
“สุดยอดขนาดนั้นเชียวเหรอ อย่าโกหกพวกเรานะ” มีอยู่สองสามคนดูไม่ค่อยจะเชื่อนัก มองเซี่ยหยางที่อยู่ตรงหน้าอย่างสงสัย
“เชื่อไม่เชื่อ กินแล้วก็รู้เอง” หวางหลิงแลบลิ้น ก่อนจะกล่าวทักทายว่า “สวัสดีค่ะ เถ้าแก่เซี่ย พักนี้ค้าขายเป็นยังไงบ้าง?”
“ดีครับ อาศัยโชคจากคุณด้วย ไม่เลวเลยล่ะ ทำไมวันนี้ถึงว่างมาที่นี่ได้?” เซี่ยหยางคิดถึงเรื่องเมื่อคราวก่อน หวางหลิงดึงแขกมาให้ไม่น้อยเลย รู้สึกอยู่ตลอดว่าควรตอบแทนเธอบ้าง หนนี้มาได้จังหวะพอดี
หวางหลิงยิ้มน้อยๆ เผยฟันเขี้ยวซี่เล็กออกมา ก่อนจะกล่าวว่า “คนเหล่านี้เป็นพวกเพื่อนที่ฉันรู้จัก ได้ยินว่าอาหารที่ร้านคุณอร่อยมาก เลยแวะมาลองชิมดู”
“แบบนี้เอง รีบนั่งสิ วันนี้พวกคุณอยากกินอะไร สั่งได้เต็มที่ มื้อนี้กินฟรี” เซี่ยหยางดึงคนเข้าไป เรียกพนักงานให้หยิบเมนูมา
คนเหล่านั้นเซี่ยหยางมองสำรวจอย่างคร่าวๆ คราหนึ่ง ดูจากท่าทางและการพูดจา เหมือนกับไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป ยังมีอีกสองสามคนดวงตาเป็นประกายเจิดจ้า กำลังมองสำรวจไปทั่ว ท่าทางเปี่ยมไปด้วยความฉลาดเฉลียวของนักธุรกิจ
“อาหารเหล่านี้น่ะเหรอ? ดูธรรมดามากนะ “ชายวัยกลางคนคนหนึ่งมองหวางหลิงอย่างกังขา
“เถ้าแก่เจ้า เดี๋ยวคุณกินแล้วก็รู้เอง” หวางหลิงกล่าวขึ้นอย่างมีแผนการอยู่ในใจ
“หรือเป็นเพราะเพิ่มวัตถุดิบบางอย่างกับวิธีทำที่ต่างจากเดิม?” ผู้หญิงอายุประมาณสี่สิบคนหนึ่งถาม
หวางหลิงยังคงพูดคำเดิม กินแล้วก็รู้เอง แถมยังกล่าวอย่างหนักแน่นจริงจังว่า “พี่เฉียน พวกเราทำงานสายข่าว สิ่งสำคัญคือความจริง รู้จักกันมานานขนาดนี้ ฉันเป็นคนยังไงพวกคุณก็น่าจะรู้นี่ คิดว่าดีจริงๆ ถึงได้แนะนำให้พวกคุณไงล่ะ อีกอย่างพวกคุณเป็นคนมีประสบการณ์ ฉันอยากปิดบังก็คงปิดบังไม่อยู่หรอก
ได้ยินคำพูดของหวางหลิง คนเหล่านี้ก็เริ่มจะสนใจขึ้นมาจริงๆ แล้ว เซี่ยหยางค่อยๆ ได้ไอเดียขึ้นมา ใคร่ครวญอยู่ชั่วขณะ ก็หยิบน้ำแร่ออกมา สั่งให้คนชงชา หลังนำไปเสิร์ฟ ก็ไม่ได้ส่งเสียงอะไร รอคอยปฏิกิริยาของพวกเขา
ไม่นานนัก น้ำชารสเยี่ยมก็ดึงเสียงอุทานอย่างชื่นชมออกมา โดยเฉพาะหวางหลิง อาจเพราะทำงานสายข่าว จึงรีบเรียกเด็กคนหนึ่งที่อยู่ด้านข้าง น่าจะเป็นนักศึกษาฝึกงาน เด็กคนนั้นถือกล้องถ่ายวิดีโอ แล้วเริ่มบันทึกภาพ
“สวัสดีทุกท่าน ฉันคือหลิงเอ๋อที่พวกคุณคุ้นเคยกันดี วันนี้ฉันจะมาแนะนำฟาร์มสเตย์แห่งหมู่บ้านตงเจียวในตำบลเฮยถู่ให้ทุกท่านได้รู้จัก ทุกท่านอาจจะสงสัยว่า ฟาร์มสเตย์มีอะไรให้น่าพูดถึงกัน หากเป็นทั่วไปล่ะก็ใช่ แต่ที่นี่ ต่างกับที่พวกคุณจินตนาการไว้มาก พูดถึงน้ำชานี่แล้วกัน ดูเหมือนชาพื้นๆ ทั่วไป แต่กลับมีน้อยมากที่จะดื่มอร่อย ต่อไปเราจะลองถามแขกสักสองสามคนของที่นี่ ดูว่าพวกเขาจะพูดยังไงกันค่ะ”
หวางหลิงสมกับเป็นนักข่าว มาถึงสถานที่ ก็หยิบไมโครโฟนมาพูดเป็นต่อยหอยทันที จากนั้นก็ยื่นมาตรงหน้าเถ้าแก่เจ้า ก่อนจะถามว่า “สวัสดีค่ะ โปรดบอกฉันหน่อยว่า หลังดื่มชาของที่นี่เสร็จแล้วมีความรู้สึกอย่างไร?”