ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก – ตอนที่ 183 เป็นจุดสนใจทันที

ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก

ตอนที่ 183 เป็นจุดสนใจทันที

ตอนที่ 183 เป็นจุดสนใจทันที

ทุกคนรอบข้างมองเซี่ยเจ๋อหลี่กับเหยาอี้หนิงอย่างสงสัย อยากรู้อยากเห็นในความสัมพันธ์ของทั้งสองยิ่งนัก เพราะปกติจะทราบกันดีว่าสองคนนี้เคยขัดแย้งกันมาก่อน ใครจะไปรู้ว่าทั้งคู่เป็นพี่น้องกัน

เซี่ยเจ๋อหลี่หันไปมองเหยาอี้หนิงด้วยท่าทางเย็นชา ก่อนจะเอ่ยพร้อมคื้วขมวด “นายมาที่นี่ทำไม?”

เหยาอี้หนิงยกยิ้มแล้วพูดขึ้น “ฉันได้ยินมาว่านายกลับมาวันนี้ ก็เลยมารอรับพวกนายเป็นพิเศษ” ขณะที่พูดก็หันไปมองเหยาจิ้งจือแล้วเอ่ย “ป้าใหญ่ วันนี้พวกป้าเพิ่งกลับมา หยุดพักแล้วมารับประทานอาหารที่บ้านพวกเราก่อนเถอะครับ”

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ เหยาจิ้งจือก็ลอบชำเลืองมองลูกชายคนเล็กโดยไม่รู้ตัว ไม่ทราบว่าจะตอบกลับไปอย่างไรดี

หากไม่ทราบว่าเหยาอี้หนิงเคยหวังทำร้ายลูกชายตัวเองมาก่อน หล่อนคงตอบตกลงไปนานแล้ว แต่ตอนนี้เมื่อรู้แบบนั้น หล่อนจึงไม่อาจตอบตกลงได้ในทันที

เซี่ยเจ๋อหลี่หันไปตอบกลับ “ไม่ต้องกินข้าวหรอก พวกเราเอาอาหารติดมาด้วย คงไม่รบกวนนายหรอก”

เมื่อเห็นเซี่ยเจ๋อหลี่ปฎิเสธ เหยาอี้หนิงจึงไม่ขัดเหมือนกัน ก่อนจะหัวเราะตอบกลับ “แบบนี้นี่เอง งั้นเอาไว้ครั้งหน้าแล้วกันนะ”

ทุกคนที่อยู่รอบตัวต่างสงสัยเรื่องความสัมพันธ์ของพวกเขา บางคนก็อดที่จะถามไม่ได้ “หัวหน้าเหยา คุณกลายเป็นน้องชายของหัวหน้าเซี่ยได้ยังไง แล้วทำไมถึงเรียกแม่ของหัวหน้าเซี่ยว่าป้าใหญ่”

เมื่อคนอื่นได้ยินเช่นนี้ ก็พากันเงี่ยหูฟัง

เหยาอี้หนิงยกยิ้มแล้วเอ่ยอธิบายชี้แจง “แม่ของฉันกับแม่ของหัวหน้าเซี่ยเป็นพี่น้องกัน ฉันก็ต้องเรียกท่านว่าป้าใหญ่อยู่แล้ว เพียงแต่ว่าป้าของฉันเคยพลัดหลงทางตอนเด็ก พวกเราก็เลยเพิ่งได้เจอกันเมื่อไม่นานมานี้”

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ทุกคนก็ตื่นตกใจ

“อะไรนะ ถ้าอย่างนั้นพวกนายสองคนก็เป็นญาติกันน่ะสิ นี่…นี่มันน่าเหลือเชื่อมากเลย”

“ใช่แล้ว น่าเหลือเชื่อเหลือเกิน”

แต่ในขณะเดียวกัน ก็มีคนเอ่ยขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ “อันที่จริงแล้วถ้ามองดี ๆ หัวหน้าเซี่ยกับหัวหน้าเหยาก็หน้าตาคล้ายกันอยู่นะ ที่แท้เป็นพี่น้องกันนี่เอง ถ้าอย่างนั้นก็ไม่แปลกใจแล้วล่ะ”

“อย่างที่คุณพูดจริงด้วย ทั้งสองดูคล้ายกันมาก”

เมื่อได้ยินคำพูดรอบตัว สีหน้าของเซี่ยเจ๋อหลี่ก็มืดมนลงนิดหน่อย และในขณะเดียวกัน ฉินมู่หลานก็ยิ้มก่อนจะหันมองคนรอบตัวแล้วพูดขึ้น “ต้องขอโทษทุกคนด้วยนะคะ พอดีพวกเราเพิ่งนั่งรถไฟกลับมา รู้สึกเหนื่อยนิดหน่อย จึงอยากขอตัวกลับไปพักผ่อนสักหน่อยค่ะ”

เมื่อหลายคนได้ยินคำพูดนี้ ก็ได้เห็นท้องโตของฉินมู่หลานอีกครั้ง ก่อนจะรีบเอ่ยอย่างรวดเร็ว “พี่สะใภ้ ถ้าอย่างนั้นพวกคุณรีบไปพักผ่อนเถอะครับ เป็นความผิดของพวกเราเองที่ทำให้ช้า”

ฉินมู่หลานได้ยินสิ่งนี้ จึงยกยิ้มแล้วเอ่ย “ค่ะ ถ้าอย่างนั้นพวกเราขอตัวก่อนนะคะ” ดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ

เซี่ยเจ๋อหลี่ เซี่ยเหวินปิงและเหยาจิ้งจือต่างยกสัมภาระพกติดตัวขึ้นมา ก่อนจะเดินตามฉินมู่หลานไป

เมื่อเห็นฉินมู่หลานกับคนอื่นเดินจากไป เหยาอี้หนิงก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ จากนั้นเขาก็พาเริ่นม่านลี่กลับ

หลังจากทั้งสองกลับถึงบ้าน เริ่นม่านลี่ก็หันไปพูดกับเหยาอี้หนิงด้วยท่าทางและน้ำเสียงเย็นชา “เมื่อกี้คุณหมายความยังไง ทำไมพวกเราถึงต้องไปรับฉินมู่หลานกับคนอื่นด้วย หรือว่าคุณอยากสานสัมพันธ์ไมตรีกับพวกมัน คุณอย่าลืมสิว่าแม่สามีของฉินมู่หลานเป็นลูกสาวแท้ ๆ ของตระกูลเหยานะ เป็นเพราะพวกเขา ตอนนี้พวกเราถึงโดนเมิน ฉันไม่อยากจะสานสัมพันธ์ไมตรีกับพวกมัน ต่อไปอย่ามาเรียกฉันไปอีกนะ”

เมื่อพูดแบบนั้นจบ เริ่นม่านลี่ก็ออกไปด้วยความโกรธ จนถึงตอนนี้หล่อนก็ยังรู้สึกเสียดายอยู่ลึก ๆ

เฝ้ามองร่างของเริ่นม่านลี่ที่กำลังเดินจากไป สีหน้าของเหยาอี้หนิงก็มืดมนยิ่งขึ้น เขาไม่ชอบผู้หญิงคนนี้เลยเสียจริง อย่าคิดว่าเขาไม่รู้ว่าคนที่เริ่นม่านลี่ต้องแต่งงานด้วยในตอนแรกดูด้อยกว่าเขา ผู้หญิงคนนี้จึงยอมตอบตกลงแต่งเข้ากับตระกูลเหยา ตอนนี้กลับมีท่าทางต่อเขาเช่นนี้ มันช่างเหลืออดเหลือเกิน สงสัยหล่อนคงลืมเรื่องหย่ากันที่เขาเคยพูดไว้ก่อนหน้านี้ไปแล้ว

เมื่อคิดถึงเรื่องนั้น เหยาอี้หนิงก็รู้สึกว่าต้องทำให้เริ่นม่านลี่รู้สึกตัวสักที

ในขณะที่เหยาอี้หนิงกำลังคิดเรื่องต่าง ๆ เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น เมื่อเปิดประตูออก ก็พบกับสหายร่วมรบคนสนิท “เจิ้งหาว นายมาทำไม?”

สิงเจิ้งหาวไม่ได้พูดอะไร พลางสำรวจมองเหยาอี้หนิงอย่างละเอียด

เมื่อเห็นสิงเจิ้งหาวทำแบบนั้น เหยาอี้หนิงจึงอดถามไม่ได้ “นายทำบ้าอะไรเนี่ย?”

“ฉันกำลังมองว่าหัวหน้าเหยาของเราหน้าเหมือนหัวหน้าเซี่ยหรือเปล่า”

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ เหยาอี้หนิงก็ทราบเรื่องว่าเกิดอะไรขึ้นจากสิ่งที่เพื่อนสนิทเอ่ยได้ในทันที “หยุดมองสักที ฉันกับเซี่ยเจ๋อหลี่ไม่ได้มีอะไรเหมือนกัน”

“ไม่นะ ตาของพวกนายค่อนข้างคล้ายกัน”

สิงเจิ้งหาวเอ่ยขณะก้าวเข้ามาในห้อง ก่อนจะเอ่ยถามหนึ่งคำถาม “พี่สะใภ้ไม่อยู่เหรอ?”

“หล่อนออกไปแล้ว”

สิงเจิ้งหาวได้ยินดังนี้ จึงเอ่ยถามตามตรง “เกิดเรื่องอะไรขึ้น ทำไมนายกับเซี่ยเจ๋อหลี่ถึงกลายเป็นพี่น้องกันได้?”

สำหรับเพื่อนสนิทคนนี้ เหยาอี้หนิงไม่มีอะไรต้องปิดบังซ่อนเร้น เพราะหากไม่ได้เพื่อนคนนี้ช่วยชีวิตตนเอาไว้ในตอนแรก ป่านนี้เขาคงตายไปนานแล้ว ดังนั้นเขาจึงพร้อมบอกเล่าทุกอย่าง หลังจากนั้นก็พูดขึ้น “เรื่องนี้ที่ปักกิ่งไม่ได้เป็นความลับ คนอื่นก็ต้องรู้กันหมดแล้ว แล้วฉันต้องอธิบายอะไรอีก”

เมื่อเห็นเหยาอี้หนิงเอ่ยถึงเซี่ยเจ๋อหลี่ด้วยแววอิจฉาริษยาในดวงตา สิงเจิ้งหาวอดที่จะยกยิ้มไม่ได้ ก่อนจะเอ่ยขึ้น “ไม่คิดเลยว่าพวกนายจะเป็นพี่น้องกันจริง ๆ พอตอนนี้รู้ว่าความสัมพันธ์ของพวกนายยังเหมือนเดิมก็โล่งใจ ถึงอย่างไรเราก็ขัดแย้งกับทีมหนึ่งมาตลอด ถ้านายที่เป็นหัวหน้าทีมเราญาติดีกับเซี่ยเจ๋อหลี่ ลูกน้องในทีมอาจจะไม่ชิน ไม่ต้องพูดถึง…”

เมื่อเอ่ยจนถึงท้ายประโยค สิงเจิ้งหาวก็เหลือบมองเหยาอี้หนิง ก่อนจะเอ่ยต่อ “ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นตอนที่พวกเราส่งทีมนั้นไปทำภารกิจทางฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือ พวกเขาต้องรู้แน่นอนว่ามีการแทรกแซงภารกิจ เซี่ยเจ๋อหลี่คงจะรู้อะไรบางอย่างเกี่ยวกับพวกเราแน่ ไม่อาจทลายความบาดหมางที่มีต่อพวกเราลงได้ในชั่วข้ามคืนหรอก”

“นายว่าเซี่ยเจ๋อหลี่รู้เหรอ? จะเป็นไปได้ยังไง?”

เมื่อเห็นสีหน้าของเหยาอี้หนิงเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ สิงเจิ้งหาวก็รีบเอ่ยทันที “เขาคงจะรู้แล้ว ไม่สังเกตเหรอว่าตั้งแต่ตอนนั้น พวกเราก็มีแต่ปัญหา จนฉันสงสัยว่าน่าจะเป็นฝีมือของเซี่ยเจ๋อหลี่”

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ เหยาอี้หนิงจึงรู้สึกเหลือเชื่ออยู่นิดหน่อย

“เซี่ยเจ๋อหลี่จะมีความสามารถมากขนาดนั้นเลยหรือ?”

เมื่อได้ยินเหยาอี้หนิงดูไม่อยากเชื่อสักเท่าใด สิงเจิ้งหาวจึงไม่รู้จะพูดอะไรอีก เขาทราบว่าเหยาอี้หนิงคิดมาตลอดว่าตัวเองสูงส่งโดดเด่น จึงยอมรับความจริงที่ว่าเซี่ยเจ๋อหลี่โดดเด่นได้ยาก แต่เท่าที่เขาทราบมาล้วนเป็นข้อเท็จจริง

อีกด้านหนึ่ง หลังจากฉินมู่หลานกับคนอื่นกลับมาที่ห้องครอบครัวแล้ว เหยาจิ้งจือกับคนอื่นก็วุ่นอยู่กับการจัดข้าวของและทำความสะอาด และให้ฉินมู่หลานพักรออยู่ข้างนอกก่อนสักครู่ เมื่อทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย จึงให้เธอเข้าไปพักผ่อนข้างในบ้าน

เซี่ยเจ๋อหลี่ยังคงกังวลว่าฉินมู่หลานจะยังหิวอยู่ จึงเริ่มทำอาหารทันที หลังจากทั้งครอบครัวกินข้าวกันเสร็จ สุดท้ายก็ได้นอนพักผ่อนกันอย่างเต็มที่

ฉินมู่หลานตื่นขึ้นมาหลังจากงีบหลับไป รู้สึกมีพลังมากขึ้น จึงคิดจะออกไปส่งจดหมายให้เสิ่นหรูฮวน

เซี่ยเจ๋อหลี่ทราบเข้า จึงอดที่จะพูดไม่ได้ “ให้ผมเอาไปให้ซวี่ตงเองเถอะ จะได้มองท่าทางหลังจากเขาอ่านจดหมายแล้วเขียนตอบกลับ”

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ฉินมู่หลานก็หัวเราะทันที

“ข้อเสนอของคุณก็ไม่เลว ดีเลย ถ้าอย่างนั้นฉันจะปล่อยให้เป็นหน้าที่ของคุณ หลังจากฟู่ซวี่ตงเขียนตอบแล้ว ก็บอกให้เขาไปส่งเอง” หลังจากพูดถึงตอนท้าย ฉินมู่หลานก็เอ่ยอีกอย่างขึ้น “คุณลองถามซวี่ตงให้หน่อยได้ไหมคะว่าเขาบอกเรื่องนี้กับที่บ้านหรือยัง?”

………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

ระดับพี่หลี่น่าจะรู้นานแล้วมั้ง เพียงแต่ไม่แสดงออกว่ารู้เท่านั้นแหละ ตกหลุมพรางเขาแล้วอี้หนิงเอ๊ย

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก

ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก

Status: Ongoing
เมื่อแพทย์สาวมือฉมังพบว่าตนเองได้กลายเป็นหญิงอ้วนผู้เชี่ยวชาญด้านสมุนไพรในยุค 70 ผู้ไม่เป็นที่รักของสามี เธอจะเปลี่ยนเป็นคนใหม่ที่สามีคลั่งรักได้หรือไม่กันนะ?ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก[嫁七零糙汉后,我双胞胎体质藏不住]ผู้แต่ง : 钰儿เรื่องย่อหลังผชิญวรหนักจนวูบ ฉินมู่หลาน แพทย์สาวมือฉมังก็พบว่าตนองได้มาสวมร่างของหญิงอ้วนหลานสาวผู้เชี่ยวชาญด้นสมุนไพรในยุค 70 ผู้ไม่มีอะไรดีสักอย่างนอกจากได้สามีหล่อเหลานิสัยดีผู้แสนเย็นขาจากความลั่งรักของตัวเองจจับเขามาแต่งงด้วยสำเร็จ ซึ่งกรสวมวิญญาณในครั้งนี้เธอได้รับภารกิจหลักสามอย่าง หนึ่งคือสร้างเนื้อสร้างตัว สองคือลดน้ำหนักให้ตนเองทำงานทำการสะดวกขึ้น และสามคือทำให้สามีเป็นฝ่ายคลั่งรักเธอแทน คุณหมอฉินจะทำสำเร็จหรือไม่ จะเปลี่ยนเป็นฉินมู่หลานคนใหม่ที่สามีคลั่งรักได้หรือไม่กันนะ?

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท