ตอนที่ 203 ทำไมไม่ซ้อนกลล่ะ(2)
ตอนที่ 203 ทำไมไม่ซ้อนกลล่ะ(2)
อีกด้านหนึ่ง หลังจากที่หวังหม่านจูกลับมาถึงบ้าน หล่อนยังคงรู้สึกโกรธมาก
เย่เสี่ยวเหอที่เพิ่งกลับมาจากด้านนอกเห็นท่าทางเช่นนี้ของแม่ จึงเอ่ยถามอย่างอดไม่ได้ “แม่ เกิดเรื่องอะไรขึ้นเหรอ ทำไมถึงดูโกรธเคืองขนาดนี้”
“ไม่ใช่เพราะว่าเหยาจิ้งจือหรอกหรือ ฉันชวนหล่อนเข้าไปในตัวเมือง สุดท้ายหล่อนกลับเล่นตัว คาดไม่ถึงว่าจะปฏิเสธฉัน”
ใบหน้าของเย่เสี่ยวเหอแต่เดิมประดับด้วยรอยยิ้ม พอได้ยินคำพูดของแม่ตนเอง ใบหน้านั้นกลับมืดมนลงเพียงเสี้ยววินาที “หนูบอกไปแล้วไม่ใช่เหรอว่าแม่อย่าออกหน้าชวนด้วยตัวเอง นี่แม่ทำบ้าอะไรอยู่คะ”
“นังเด็กคนนี้ ฉัน……”
เดิมทีหวังหม่านจูอยากจะพูดอีกสักสองสามประโยคหลังเห็นว่าลูกสาวพูดจาไม่น่าฟัง แต่เมื่อหันหน้ามาเห็นสีหน้าท่าทางอันมืดมนของลูกสาว หล่อนพลันไม่กล้าเอ่ยปาก ไม่รู้ว่าตนรู้สึกไปเองหรือไม่ว่าตั้งแต่ลูกสาวกลับมาครั้งนี้ หล่อนก็มีสีหน้าท่าทางดูหม่นหมองแปลกประหลาดจนทำให้รู้สึกหวาดกลัวเหมือนกับตอนนี้ ทำให้หล่อนไม่กล้าเอื้อนเอ่ยอะไรมากนัก
“ฉัน……ไม่ใช่ว่าฉันคิดว่าพวกเราเป็นคนในหมู่บ้านเดียวกันหรอกเหรอ ก่อนหน้านี้ทุกคนก็เคยนัดกันเข้าเมืองแบบนี้ ถึงยังไงแกก็วางใจเถอะ ครั้งนี้ฉันถูกปฏิเสธก็จริง แต่เดี๋ยวครั้งหน้าฉันจะให้คนอื่นไปชวนหล่อน”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ สีหน้าของเย่เสี่ยวเหอจึงดีขึ้นเล็กน้อย แต่ยังคงดูหน้าเกลียดมาก “แม่ ครั้งหน้าแม่อย่าทำตามอำเภอใจแบบนี้อีก เหยาจิ้งจือตัดสินใจจะเข้าเมืองเมื่อไหร่แม่ก็บอกฉันด้วยแล้วกัน”
“แก……”
อย่างไรก็ตามโดยไม่รอให้หวังหม่านจูกล่าวจบ เย่เสี่ยวเหอก็เดินออกไปแล้ว
เมื่อเห็นท่าทางแบบนี้ของลูกสาว หวังหม่านจูก็นึกขุ่นเคือง เดิมทีวันนี้หล่อนวางแผนจะเข้าเมืองพอดี ในเมื่อเหยาจิ้งจือไม่ไป งั้นหล่อนไปเองก็ได้ คิดดังนั้นหวังหม่านจูก็ออกจากบ้านในทันใด
ฉินมู่หลานกลับถึงบ้านแล้วก็เริ่มยุ่งทันที ช่วงระยะนี้สงบมากก็จริง แต่ในใจกลับรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย ต้นโกวเหวิ่นสองต้นนี้ช่างมาได้ในจังหวะที่เหมาะสมเหลือเกิน เธอจึงวางแผนกลั่นยาอย่างระมัดระวัง
หลังจากฉินมู่หลานจัดการธุระเสร็จสิ้น เวลาก็ล่วงเลยมื้ออาหารไปเล็กน้อย
เหยาจิ้งจือรีบเอ่ยถามเมื่อเห็นฉินมู่หลานเดินออกมา “มู่หลาน เธอหิวหรือยัง รีบมากินข้าวเร็ว ฉันเก็บกับข้าวไว้ให้เธอแล้ว เดิมทีฉันว่าจะไปเรียกเธอ แต่นึกขึ้นได้ว่าก่อนหน้านี้เธอบอกไม่ให้ฉันไปรบกวน ก็เลยไม่กล้าเรียกเธอมากินข้าว”
ได้ยินคำพูดนี้ ฉินมู่หลานรีบกล่าว “แม่คะ เมื่อกี้ฉันกำลังยุ่ง แต่ตอนนี้หิวมากแล้ว ฉันก็เลยมากินข้าว”
เมื่อเห็นสะใภ้เล็กกล่าวว่าหิว เหยาจิ้งจือก็รีบนำกับข้าวที่เก็บไว้ออกมาและเร่งเร้าให้ฉินมู่หลานกินข้าว
ฉินมู่หลานพบว่ามีอาหารที่เก็บไว้มากมาย ขณะนี้เธอรู้สึกหิวจริงๆ กระทั่งมารู้สึกตัวก็กินอาหารจนหมดเกลี้ยงแล้ว
เหยาจิ้งจือเห็นสะใภ้เล็กกินอาหารจนหมดชามแล้วก็รู้สึกมีความสุข “มู่หลาน ถ้าหากยังไม่อิ่ม ฉันจะไปต้มบะหมี่มาให้อีกนะ”
“แม่คะ ฉันกินอิ่มแล้วค่ะ ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้ก็บ่ายสองแล้ว หากยังกินอีกก็คงไม่กินมื้อค่ำแล้วค่ะ”
“ได้ งั้นเธอก็รีบไปพักผ่อนเถอะ”
ขณะเหยาจิ้งจือกำลังเก็บชามและตะเกียบนั้น หล่อนก็เร่งเร้าให้ฉินมู่หลานไปพักผ่อน
ทว่าฉินมู่หลานยังไม่ทันจะกลับห้องก็พบว่าด้านนอกมีเสียงเอะอะดังขึ้น ราวกับว่าผู้คนจำนวนมากกำลังพูดคุยกัน
เหยาจิ้งจือเองก็ได้ยินเช่นกัน หลังจากวางชามและตะเกียบลงแล้วก็เดินออกไปดู
ฉินมู่หลานเห็นเหยาจิ้งจือเดินกลับมา จากนั้นเอ่ยถาม “แม่คะ ด้านนอกเขาทำอะไรกันเหรอคะ?”
“อ้อ บ้านของผู้ใหญ่บ้านน่ะ บ้านของพวกเขาลากรถขนอิฐมาคันหนึ่ง กล่าวว่าครอบครัวพวกเขากำลังจะสร้างบ้าน”
ฉินมู่หลานได้ยินคำพูดนี้พลันเลิกคิ้วขึ้นอย่างอดไม่ได้ “ทำไมครอบครัวของผู้ใหญ่บ้านถึงอยากจะสร้างบ้านกะทันหันแบบนี้ล่ะคะ”
“เดิมทีบ้านของพวกเขาก็เก่าแล้ว วันนี้คงเก็บเงินได้เพียงพอแล้วก็เลยคิดอยากจะสร้างบ้านอิฐประดับกระเบื้องน่ะ” เหยาจิ้งจือกล่าวประโยคนี้ตามอารมณ์และไม่ได้เก็บเรื่องนี้มาใส่ใจ
อย่างไรก็ตามฉินมู่หลานกลับขมวดคิ้วเล็กน้อย
ขณะนี้เฉียนกุ้ยจือภรรยาของหัวหน้าทีมก็เดินเข้ามา หล่อนมองเหยาจิ้งจือและรีบเอ่ย “คุณเซี่ย พรุ่งนี้เข้าเมืองกับฉันไหม ฉันวางแผนจะไปซื้อผ้าสักสองผืนน่ะ ฉันอยากจะบอกข่าวดีว่าสะใภ้บ้านเราก็มีหลานแล้วเหมือนกัน ก็เลยอยากจะเตรียมของไว้ก่อน หลังจากนี้จะได้ทำเสื้อผ้าให้กับเด็กน้อย”
หลังจากกล่าวคำพูดสุดท้าย เฉียนกุ้ยจือก็เห็นว่าฉินมู่หลานก็อยู่ด้วยเช่นกัน จึงมองเหยาจิ้งจือและเอ่ยอย่างอดไม่ได้ “พวกเราไปด้วยกันไหม ฉินมู่หลานของพวกเธอเองก็ตั้งท้องลูกแฝด ต้องทำเสื้อผ้าเด็กไว้เยอะหน่อย”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หัวใจของเหยาจิ้งจือพลันสั่นไหวเล็กน้อย
ก่อนหน้านี้คิดว่าภายในบ้านไม่ต้องซื้ออะไรอีกแล้ว แต่กลับลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท แม้ว่าก่อนหน้านี้จะซื้อผ้ามาแล้ว แต่เมื่อมีเด็กเกิดพร้อมกันสองคน ก็ต้องตระเตรียมเพิ่มบ้างจริงๆ
ทว่านึกถึงเรื่องราวที่หล่อนและสามีเผชิญตอนก่อนหน้านี้ หล่อนก็รู้สึกกังวลเล็กน้อย
เฉียนกุ้ยจือยังกล่าวต่อ “เดิมทีฉันคิดว่าจะไปคนเดียว แต่หวังหม่านจูเอ่ยเตือนฉัน ว่าเธออาจจะอยากได้เหมือนกัน ฉันก็เลยนึกถึงเธอขึ้นมา พวกเราไปซื้อผ้าด้วยกันได้นะ”
โดยไม่รอให้เหยาจิ้งจือกล่าว ฉินมู่หลานที่อยู่ด้านข้างพลันเอ่ยถาม “ป้าเฉียนคะ ภรรยาผู้ใหญ่บ้านบอกคุณให้มาชวนแม่สามีของฉันเข้าเมืองงั้นเหรอคะ?”
“ใช่แล้ว”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ นัยน์ตาของฉินมู่หลานพลันเป็นประกาย เธอหันศีรษะไปมองโหยวหย่งผู้ยืนอยู่ภายในมุมมืดที่หากไม่สังเกตก็จะเห็นได้ไม่ชัดเจน ทั้งสองสบสายตากันอย่างรู้ใจในชั่วแวบหนึ่ง ก่อนที่ฉินมู่หลานจะยิ้มและเอ่ยตอบแทนเหยาจิ้งจือ “ป้าเฉียนคะ งั้นพรุ่งนี้คุณก็เข้าเมืองกับแม่สามีของฉันเถอะค่ะ”
“อ้า ดีเลย งั้นพรุ่งนี้ฉันจะมาตั้งแต่เช้า”
หลังจากเฉียนกุ้ยจือจากไป เหยาจิ้งจือจึงมองฉินมู่หลานพร้อมกับเอ่ย “มู่หลาน ฉันเข้าไปตัวเมืองจะไม่เป็นอะไรใช่ไหม ฉันอยากจะไปซื้อผ้าสักสองผืนจริงๆ”
“แม่คะ เมื่อถึงเวลานั้นให้เหวินเชี่ยนตามแม่ไปด้วยนะคะ”
“ตกลง”
เมื่อเห็นสะใภ้เล็กกล่าวเช่นนี้ เหยาจิ้งจือเองก็ผ่อนคลายลง
ครั้นเหยาจิ้งจือเข้าไปภายในห้องครัว ฉินมู่หลานหยิบผงยาที่เพิ่งกลั่นเสร็จออกมาและยื่นให้กับโหยวหย่ง “นี่คือสิ่งที่ฉันเพิ่งกลั่นออกมาใหม่ ใช้เพียงนิดเดียวก็คร่าชีวิตคนได้แล้ว”
“อะไรนะ……”
เดิมทีโหยวหย่งคิดว่าฉินมู่หลานจะมอบสิ่งของป้องกันตัวเองให้กับเขา กลับคาดไม่ถึงเลยว่าจะกลายเป็นยาพิษ
“คุณสังเกตเห็นหรือเปล่าว่าครอบครัวของผู้ใหญ่บ้านต้องการชวนแม่สามีไปยังตัวเมืองมาโดยตลอด คุณว่า……น่าจะมีอะไรกำลังรอคอยแม่สามีของฉันอยู่ในเมืองกันล่ะ”
โหยวหย่งเองก็สังเกตเห็นเรื่องนี้เช่นกัน ดังนั้นเมื่อสักครู่เห็นฉินมู่หลานตอบตกลงเฉียนกุ้ยจือคนนั้น เขาก็รู้ว่าพี่สะใภ้คนนี้กำลังคิดแผนโจมตีก่อน เพียงแต่การเริ่มลงมือโดยใช้ยาฤทธิ์แรงขนาดนี้มันทำให้โหยวหย่งรู้สึกประหลาดใจ
ดวงตาของฉินมู่หลานมืดมนและเอ่ยอย่างเย็นชา “ในเมื่อมีคนคิดคำนวณแผนการมาโดยตลอด ทำไมพวกเราถึงไม่ซ้อนกลกำจัดฝ่ายนั้นล่ะ” เมื่อกล่าวคำพูดสุดท้าย หล่อนหันศีรษะมองโหยวหย่งพลางเอ่ยถาม “เพื่อความปลอดภัย ทางคุณสามารถหากำลังคนได้หรือเปล่า ในเมื่อล่องูออกจากโพรงแล้ว พวกเราเองก็ต้องเตรียมตัวให้พร้อม”
โหยวหย่งได้ยินเช่นนี้พลันจ้องมองฉินมู่หลานและเอ่ย “พี่สะใภ้ คนน่ะแน่นอนว่ามีอยู่แล้ว ติดอยู่ที่ว่า…..ต้องใช้เงินจำนวนไม่น้อย”
หลายปีมานี้ เขาได้ติดต่อกับผู้คนมากมายทุกประเภทและย่อมมีช่องทางของตนเองอยู่บ้าง ตราบใดที่มีเงินก็สามารถลงมือจัดการทุกสิ่งได้
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ฉินมู่หลานก็วางใจแล้ว
“เรื่องเงินน่ะง่ายมาก ตราบใดที่คุณหาคนมาได้แค่นั้นก็พอแล้ว” หลังจากฉินมู่หลานกลับไปยังห้องนอน เธอก็ยื่นกล่องใบหนึ่งให้กับโหยวหย่ง
โหยวหย่งเปิดกล่องนั้นพลางเลิกคิ้วและจ้องมองฉินมู่หลานพร้อมกับเอ่ย “พี่สะใภ้ มีสิ่งเหล่านี้แล้วไม่ว่าอะไรก็ไม่ใช่ปัญหา เดี๋ยวผมจะไปติดต่อเลยครับ”
ฉินมู่หลานพยักหน้าและเอ่ย “ดี ในเมื่ออีกฝ่ายต้องการลงมือ งั้นพวกเราเองก็ไม่จำเป็นจะต้องปรานี แต่ถึงยังไง…ก็ต้องจับเป็นเอาไว้สักหนึ่งคน ไม่อย่างนั้นจะสาวตัวไปถึงคนที่อยู่เบื้องหลังได้อย่างไร”
ขณะนี้เมื่อเห็นท่าทางเยือกเย็นของฉินมู่หลาน โหยวหย่งหัวเราะอย่างกะทันหัน
“ฮ่าๆ……ดี พี่สะใภ้ตรงไปตรงมาดี”
หลังจากกล่าวคำพูดสุดท้าย โหยวหย่งก็รับขวดยาและกล่องไว้ เป็นครั้งแรกที่ใบหน้าของเขาปรากฏร่องรอยความชั่วร้าย เดิมทีเขาต้องการควบคุมอารมณ์เพื่อไม่ให้พี่สะใภ้และลูกในท้องของหล่อนตื่นตระหนก สุดท้ายคาดไม่ถึงเลยว่าพี่สะใภ้คนนี้เองก็ไม่ธรรมดาเช่นกัน ไม่ต้องเอ่ยว่าหล่อนสามารถกลั่นพิษต่างๆได้ เมื่อถึงเวลาจำเป็นหล่อนยังสามารถตัดสินใจได้อย่างเด็ดขาดและโหดเหี้ยมตรงกับความต้องการของเขา
อีกด้านหนึ่ง หวังหม่านจูแจ้งข่าวดีกับเย่เสี่ยวเหอด้วยสีหน้าเปี่ยมสุข
“เสี่ยวเหอ พรุ่งนี้เหยาจิ้งจือและเฉียนกุ้ยจือจะเข้าเมืองแล้ว”
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
มู่หลานโหดมาก นังดอกบัวขาวมันต้องเจอคนจริงแบบนี้
ไหหม่า(海馬)