ตอนที่ 205 เป็นเช่นนี้นี่เอง (2)
ตอนที่ 205 เป็นเช่นนี้นี่เอง (2)
อีกด้านหนึ่ง เหยาจิ้งจือรวมถึงคนอื่นมายังตัวเมืองและตรงไปยังร้านค้าสหกรณ์
เฉียนกุ้ยจืออยากซื้อผ้าจริงๆ ดังนั้นจึงมัวแต่จดจ่ออยู่กับการเลือกผ้าคุณภาพดีอยู่ตรงนั้น บางครั้งก็หันกลับมาถามเหยาจิ้งจือ “จิ้งจือ เธอคิดว่าผ้าผืนไหนดี?”
ในใจของเหยาจิ้งจือยังครุ่นคิดเรื่องนั้นและคิดว่าอีกเดี๋ยวจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับตนเอง หลังจากได้ยินคำพูดของเฉียนกุ้ยจืออย่างกะทันหันจึงยังไร้ซึ่งปฏิกิริยาตอบรับ ทำให้เหวินเชี่ยนที่อยู่ด้านข้างยิ้มพลางเอ่ย “คุณป้าคะ คุณป้าของฉันชอบผ้าสีฟ้า เพราะสัมผัสแล้วรู้สึกนุ่มมาก และยังเปื้อนยากเวลาใส่ด้วย”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เฉียนกุ้ยจือจึงรีบไปสัมผัสและพบว่านุ่มมากจริงๆ รู้สึกชอบขึ้นมาเล็กน้อยอย่างอดไม่ได้
“ผ้าผืนนี้ดีจริงๆ งั้นฉันซื้อผืนนี้ด้วยแล้วกัน” หล่อนมีคูปองไม่มากนักจึงซื้อได้เพียงฟุตเดียว ซึ่งเพียงพอแล้วสำหรับการทำเสื้อผ้าให้กับเด็กเล็ก
หลังจากเหยาจิ้งจือเห็นเฉียนกุ้ยจือเลือกเสร็จแล้ว หล่อนก็พยักหน้าและเอ่ย “ตกลง งั้นฉันเลือกผืนนี้”
สุดท้ายแล้วเฉียนกุ้ยจือก็ซื้อไปหนึ่งฟุตและเหยาจิ้งจือซื้อสองฟุต
หลังจากทั้งสองคนได้รับผ้าแล้วก็ออกจากร้านค้าสหกรณ์
“จิ้งจือ ในเมื่อซื้อของเสร็จแล้ว งั้นพวกเรากลับกันเถอะ”
ได้ยินเช่นนี้ เหยาจิ้งจือรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย หรือว่ามู่หลานจะคาดเดาผิด พวกหล่อนเข้าเมืองแค่มาเลือกซื้อผ้า พอซื้อเสร็จแล้วก็กลับเท่านั้น
แต่โดยไม่รอให้เหยาจิ้งจือกล่าวอะไร ฉับพลันผู้หญิงสองคนจากหมู่บ้านก็เดินมาจากฝั่งตรงข้าม คนหนึ่งมาจากตระกูลโจวที่อยู่ส่วนด้านหน้าของหมู่บ้าน อีกคนหนึ่งมาจากตระกูลจูที่อยู่ท้ายสุดของหมู่บ้าน
“ไอหยา……กุ้ยจือ จิ้งจือ พวกเธอเองก็เข้าเมืองเหมือนกันเหรอ ก่อนหน้านี้ทำไมไม่บอกพวกเราสักคำ รู้แบบนี้พวกเราจะได้เข้ามาด้วยกัน”
เมื่อเผชิญหน้ากับสองคนนั้นที่ก้าวเข้ามา เฉียนกุ้ยจือยิ้มพร้อมกับก้าวไปด้านหน้าและเอ่ยทักทาย “พวกเธอก็มาที่นี่ด้วยเหรอ ถ้าฉันรู้ ฉันคงชวนพวกเธอมาด้วยแล้ว”
เหยาจิ้งจือเองก็ยิ้มและก้าวไปด้านหน้าพร้อมกับเอ่ยถาม “พวกเธอเข้าเมืองมาทำไมเหรอ”
“พวกเราเข้ามาซื้อของเล็กๆ น้อยๆ น่ะ คาดไม่ถึงว่าจะบังเอิญเจอกับพวกเธอ ใช่แล้ว พวกเธอซื้อของเสร็จแล้วเหรอ?”
เฉียนกุ้ยจือพยักหน้าพร้อมกับกล่าว “ใช่ ซื้อของเสร็จแล้ว”
หญิงตระกูลโจวได้ยินเช่นนั้นก็เอ่ยอย่างอดไม่ได้ “กุ้ยจือ พวกเธอซื้อของเร็วเกินไปหน่อย ฉันจะบอกว่าวันนี้พวกฉันไม่ได้มาร้านค้าสหกรณ์ แต่มาห้างสรรพสินค้า ที่นั่นมีคนขายสินค้ามีตำหนิที่ไม่ต้องใช้คูปองแล้วราคายังถูกมาก ฉันได้ยินว่ามีผ้าให้ซื้อด้วยนะ พวกเธอน่าจะบอกพวกฉันให้เร็วกว่านี้สักหน่อย จะได้ไม่ต้องไปซื้อที่ร้านค้าสหกรณ์”
“อะไรนะ……จริงหรือเปล่า มีเรื่องดีๆ ขนาดนี้ด้วย” เฉียนกุ้ยจือรู้สึกเหลือเชื่อเล็กน้อย
“แน่นอนว่าจริง ก่อนหน้านี้มีคนเคยซื้อไปแล้ว ว่ากันว่าสินค้ามีตำหนิแบบมองไม่ออกเลยแม้แต่น้อย ไม่ต่างจากสินค้าที่ซื้อปกติมากนัก บนผ้ามีตำหนิแค่รอยสีซีดจางเล็กน้อย แต่ยังคงดูดีอยู่ พวกเธออยากจะไปดูกับพวกฉันไหม”
เฉียนกุ้ยจือรู้สึกสนใจตั้งนานแล้ว
เมื่อสักครู่หล่อนซื้อผ้าไปเพียงหนึ่งฟุตเพราะว่าไม่มีคูปองผ้าแล้ว แต่ยังมีเงินอยู่ ถ้าสินค้ามีตำหนิเหล่านั้นไม่ต้องใช้คูปองแถมยังราคาถูก หล่อนก็ซื้อเพิ่มได้อีกสักหน่อย เมื่อถึงตอนนั้นก็คงทำเสื้อผ้าให้กับเด็กน้อยได้สองชุด
เมื่อคิดได้เช่นนี้ เฉียนกุ้ยจือพลันมองเหยาจิ้งจือและเอ่ย “จิ้งจือ พวกเราไปดูด้วยกันไหม”
เหยาจิ้งจือได้ยินเช่นนั้นก็จ้องมองไปทางหญิงสาวภายในหมู่บ้านสองคนที่เพิ่งมา พวกหล่อนพูดคุยยิ้มแย้มกันราวกับไม่มีปัญหาอะไร แต่ก็ทำให้นึกสังหรณ์ว่าจะต้องมีปัญหาแน่นอน ไม่อย่างนั้นจะบังเอิญพบพวกหล่อนแบบนี้ได้อย่างไร แถมยังเอ่ยชวนไปยังห้างสรรพสินค้าด้วยกันอีก ครุ่นคิดแล้วก็สรุปได้ว่ามีบางอย่างรอคอยหล่อนอยู่ที่นั่นแน่
เป็นไปตามคาดการณ์แล้ว ไม่แน่ว่าการคาดเดาของมู่หลานอาจเป็นจริง
เมื่อคิดได้เช่นนี้ เหยาจิ้งจือพยักหน้าและเอ่ย “ได้เลย พวกเราไปด้วยกัน”
เมื่อพวกหล่อนมายังห้างสรรพสินค้า หญิงตระกูลโจวก็รีบเร่งเดินเข้าไปหาพนักงานขายคนหนึ่งที่หล่อนรู้จัก กระทั่งพนักงานขายเดินออกมาและมองเหยาจิ้งจือ เฉียนกุ้ยจือและพวกหล่อน และเอ่ยด้วยเสียงเบา “ตอนนี้ฉันจะพาพวกคุณไปยังโกดังขนาดเล็กทางด้านนั้น จำไว้ว่าอย่าบอกคนอื่น”
“วางใจได้เลย พวกเราไม่มีทางบอกคนอื่นอย่างแน่นอน”
เหยาจิ้งจือกับเหวินเชี่ยนเดินตามหลังคนอื่นไปยังโกดังขนาดเล็ก
พนักงานขายคนนั้นเปิดประตูโกดังขนาดเล็กและชี้ไปยังด้านในพร้อมกับเอ่ย “เอาล่ะ ที่นี่แหละ พวกคุณต้องการสิ่งของอะไรก็รีบเข้าไปเลือกเลย”
“ตกลง พวกเราเข้าไปนะ”
หญิงตระกูลโจวรีบเข้าไปด้านในด้วยสีหน้ารีบร้อน จากนั้นหญิงตระกูลจูก็เดินเข้าไปพร้อมกับหล่อน เฉียนกุ้ยจือเองก็เดินเข้าไปด้วยสีหน้ามีความสุข เมื่อเห็นว่าเหยาจิ้งจือยังคงยืนอยู่ที่เดิม หล่อนจึงเอ่ยเร่ง “จิ้งจือ ยืนนิ่งอยู่ทำไม รีบมาเร็วเข้า”
“ฉันกำลังจะไปแล้ว”
เหยาจิ้งจือดึงมือของเหวินเชี่ยนเข้าไปด้านใน จากนั้นทั้งสองคนเข้าไปภายในโกดังขนาดเล็กด้วยกัน
หลังจากเหยาจิ้งจือและพวกหล่อนเข้าไปด้านใน ประตูของโกดังขนาดเล็กพลันปิดลงอย่างกะทันหัน
“เฮ้……เกิดอะไรขึ้นเนี่ย ทำไมปิดประตูล่ะ”
เฉียนกุ้ยจือที่เดินอยู่ด้านหน้าเหยาจิ้งจือและเหวินเชี่ยนได้ยินเสียงปิดประตูก็หันไปมองทันที จากนั้นขมวดคิ้วและเดินไปเปิดประตู “แปลกจัง ทำไมประตูบานนี้เปิดไม่ออก”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ หญิงตระกูลโจวและตระกูลจูเองก็เดินเข้ามาเช่นกัน เมื่อเห็นว่าประตูเปิดไม่ออกจริงๆ พวกหล่อนพลันรีบตบประตูและเอ่ยตะโกน “เฮ้…….เสี่ยวจาง ทำไมปิดประตูล่ะ รีบเปิดประตู พวกเราเลือกของเสร็จแล้ว ฉันอยากออกไปแล้ว”
ด้านนอกกลับไม่มีเสียงการเคลื่อนไหวอะไรราวกับว่าไม่มีใครอยู่
“นี่……มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น”
ในที่สุดทุกคนก็ตระหนักได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ
เหยาจิ้งจือและเหวินเชี่ยนรู้นานแล้วว่าวันนี้อาจจะมีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้น พวกหล่อนรู้ว่าสิ่งต่างๆ ล้วนเป็นไปอย่างที่คาดไว้ ในใจจึงไม่รู้สึกตื่นตระหนกอะไร
แต่เฉียนกุ้ยจือและคนอื่นๆ ไม่รู้ พวกหล่อนต่างร้อนใจจนเหงื่อผุดซึมทั้งศีรษะ “มีใครอยู่หรือเปล่า กำลังทำอะไรอยู่ ทำไมถึงปิดประตู”
อีกด้านหนึ่งของโกดังขนาดเล็กพลันมีชายร่างใหญ่กำยำประมาณเจ็ดถึงแปดคนปรากฏตัวขึ้น
“อ๊ะ……พวกนายเป็นใคร?”
เฉียนกุ้ยจือมองเห็นคนเหล่านั้นที่ปรากฏตัวออกมาอย่างกะทันหัน ใบหน้าเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกจนทำอะไรไม่ถูก นึกสงสัยว่าพวกหล่อนถูกนางนกต่อล่อลวงมาที่นี่เสียแล้ว
ขณะนี้เหยาจิ้งจือรู้สึกกังวลเป็นอย่างมากจนจับมือของเหวินเชี่ยนไว้ไม่ยอมปล่อย
เหวินเชี่ยนลูบหลังมือเหยาจิ้งจือเป็นการปลอบโยนและทำให้หล่อนรู้สึกสงบลง เมื่อตอนที่เดินทางเข้าตัวเมือง หล่อนสัมผัสได้ว่าโหยวหย่งและคนอื่นกำลังตามมาทางด้านหลัง ดังนั้นโหยวหย่งและคนอื่นจะต้องซ่อนอยู่แถวนี้อย่างแน่นอน เพียงแต่ยังไม่พบเห็นตัวก็เท่านั้น
“ส่งเสียงดังโหวกเหวกอะไร ทุกคนเงียบ”
ผู้นำฝ่ายตรงข้ามเป็นชายวัยกลางคนรูปร่างอ้วนท้วม ขณะนี้ใบหน้าของเขาปรากฏความหงุดหงิด
เฉียนกุ้ยจือและคนอื่นได้ยินคำพูดนี้พลันปิดปากเงียบอย่างรวดเร็ว
เมื่อเห็นพวกหล่อนเงียบ ชายวัยกลางคนรูปร่างอ้วนท้วมพลันอารมณ์ดีขึ้นเล็กน้อย เขาชี้ไปยังประตูเล็กอีกบานหนึ่งที่พวกเขาเข้ามาและเอ่ย “คนสุดท้ายคนนั้นอยู่ที่นี่ก่อน พวกเธอที่เหลือออกไปได้”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ผู้คนต่างก็มองไปยังด้านหลัง กระทั่งเห็นว่าคนสุดท้ายคือเหยาจิ้งจือและเหวินเชี่ยน พวกหล่อนพลันรู้แจ้งในทันทีว่าคนเหล่านี้มาหาพวกเหยาจิ้งจือ
“ยังจะยืนเซ่ออยู่ทำไม พวกเธอไม่อยากไปเหรอ อยากจะอยู่ที่นี่ใช่ไหม”
เฉียนกุ้ยจือยังคงลังเลเล็กน้อย แต่หญิงตระกูลโจวและตระกูลจูวิ่งหนีไปแล้ว
เหยาจิ้งจือรู้เช่นกันว่าคนเหล่านี้มาหาหล่อน เมื่อเห็นท่าทางลังเลของเฉียนกุ้ยจือ ในใจก็รู้สึกสบายใจเล็กน้อย จากนั้นรีบเอ่ย “กุ้ยจือ พวกเธอรีบไปเถอะ ไม่ต้องห่วงฉัน”
“แต่ว่า…….”
เฉียนกุ้ยจือยังไม่ทันจะเอ่ย หล่อนก็ถูกเหยาจิ้งจือขัดจังหวะ “รีบไปเถอะ ไม่อย่างนั้นจะออกไปไม่ได้แล้ว”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ เฉียนกุ้ยจือจึงไม่ลังเลอีก หล่อนกอดผ้าไว้ภายในอ้อมแขนและวิ่งออกไป
หลังจากผู้คนภายในหมู่บ้านออกไปกันหมดแล้ว ชายคนนั้นขมวดคิ้วอีกครั้งพลางมองเหวินเชี่ยนและเอ่ย “เธอก็ออกไปด้วย”
เหวินเชี่ยนกลับดึงเหยาจิ้งจือมาไว้ด้านหลังของตนเองและเผชิญหน้ากับคนพวกนั้นพร้อมกับเอ่ย “ถ้าฉันไม่ไปล่ะ”
“เฮ้ย……ไม่ยอมดื่มสุราคารวะ ชอบดื่มสุราลงทัณฑ์ เหล่าพี่น้องสั่งสอนบทเรียนให้กับสาวน้อยคนนี้หน่อย”
เหวินเชี่ยนเริ่มต่อสู้กับคนเหล่านั้น แต่ในทันทีที่เริ่มต่อสู้กัน หล่อนก็รู้ว่าต่อให้คนเหล่านี้มีรูปร่างหน้าตาธรรมดา แต่ทักษะกลับไม่ธรรมดา หล่อนไม่ใช่คู่ต่อสู้ของคนเหล่านี้เลย
“เสี่ยวเชี่ยน…….”
เหยาจิ้งจือเห็นเหวินเชี่ยนตกที่นั่งลำบาก เมื่อเห็นว่ากำลังจะถูกจับ สีหน้าก็เต็มไปด้วยความร้อนรน
ขณะนี้เองเสียงกระจกแตกก็ดังขึ้น ผู้คนมากมายบุกเข้ามาทางด้านหน้าต่าง ฉวยโอกาสขณะที่พวกเขากำลังตะลึงงันเข้าไปช่วยเหลือเหวินเชี่ยนและปล่อยให้หล่อนยืนด้านข้างเหยาจิ้งจือ
เมื่อเห็นว่ามีคนเข้ามาแล้ว เหวินเชี่ยนก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก แต่ยังคงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยที่เห็นว่าโหยวหย่งไม่ได้อยู่กับคนกลุ่มนี้
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
โหยวหย่งน่าจะซ่อนตัวอยู่รอบิ๊กบอสออกมาล่ะมั้ง
ไหหม่า(海馬)