ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก – ตอนที่ 208 หงเทียนเอิน (1)

ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก

ตอนที่ 208 หงเทียนเอิน (1)

ตอนที่ 208 หงเทียนเอิน (1)

ฉินมู่หลานได้ยินคำพูดนี้ของเย่เสี่ยวเหอก็ยิ้มและเอ่ยอย่างอดไม่ได้ “พูดแบบนี้ตั้งแต่แรกก็ได้แล้วไหม ทำไมต้องทนจนกระทั่งตอนนี้ด้วย”

เย่เสี่ยวเหอมองดูฉินมู่หลานด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง แทบอยากจะฉีกผู้หญิงตรงหน้านี้ให้เป็นชิ้นๆ แต่ขณะนี้ร่างกายของหล่อนทั้งเจ็บปวดและคันยุบยิบ ทุกข์ทรมานเป็นอย่างมาก ไม่ต้องพูดถึงมือและเท้าที่ถูกมัดของหล่อนเลย เพียงจะขยับตัวก็ไม่สามารถขยับได้ นอกจากรู้สึกทรมานแล้ว หล่อนก็ไม่สามารถทำอะไรได้อีก

ฉินมู่หลานสอบปากคำเย่เสี่ยวเหอเสร็จก็มองไปยังกลุ่มอันธพาลที่ถูกมัดอยู่ด้านข้าง เธอหยิบขวดยาขวดใหม่ออกมาอีกครั้งและมอบให้กับโหยวหย่งพร้อมกับกล่าว “ป้อนให้กับพวกเขาด้วย”

คนเหล่านั้นได้เห็นสภาพน่าสมเพชของเย่เสี่ยวเหอแล้ว โดยไม่จำเป็นต้องป้อนยา พวกเขาก็บอกเรื่องราวทุกอย่างที่รู้ออกมาอย่างหมดเปลือก

“อย่าๆๆ พวกผมจะพูด พวกผมจะพูดทุกอย่างแล้ว พวกผมเพียงแค่รับเงินมาและทำงานให้กับผู้อื่น ก่อนหน้านี้พวกผมรับเงินมาและถูกสั่งให้ทุบตีชาวบ้านคนหนึ่ง วันนี้พวกผมรับเงินมาและถูกสั่งให้ลักพาตัวผู้หญิงคนหนึ่ง ส่วนเรื่องอื่นนั้นพวกผมเองก็ไม่รู้แล้วครับ”

ฉินมู่หลานได้ยินเช่นนี้พลันหัวเราะเยาะและเอ่ย “คนที่พวกนายทุบตีก่อนหน้านี้คือพ่อของฉัน ส่วนคนที่พวกนายต้องการลักพาตัวคือแม่ของฉัน ดังนั้นพวกนายแน่ใจใช่ไหมว่าไม่รู้อะไรอีกแล้ว?”

เมื่อเห็นผู้หญิงท้องโตแต่สายตากลับเย็นเยือก กลุ่มอันธพาลเหล่านั้นพลันหัวใจเย็นเฉียบและรีบแย่งกันพูด “พวกผมยังรู้อีกว่าคนที่มาหาพวกผมนั้นสกุลหงและมาจากเมืองหลวง คนผู้นั้นมอบเงินให้เป็นจำนวนมาก พวกผมรับเงินค่าจ้างจัดการเรื่องราวตามคำสั่ง ไม่สามารถถามเรื่องราวของนายจ้างได้มากนัก ดังนั้นไม่รู้เรื่องอื่นแล้วจริงๆ”

สิ่งนี้ก็เพื่อความปลอดภัยของนายจ้าง ให้ผู้คนไปสืบหามาโดยเฉพาะ

“อ้อ งั้นเหรอ แต่ข้อมูลที่พวกนายกล่าวมานั้นเมื่อสักครู่นี้หล่อนกล่าวมาแล้ว” ฉินมู่หลานชี้ไปทางเย่เสี่ยวเหอ แสดงให้เห็นว่าข้อมูลที่คนเหล่านี้กล่าวมานั้นไม่ได้มากมายไปกว่าเย่เสี่ยวเหอเลยแม้แต่น้อย

คนเหล่านั้นกล่าวด้วยท่าทางอยากจะร้องไห้แต่ร้องไม่ออก “พวกผมรู้เพียงเท่านี้จริงๆ”

“งั้นเหรอ ทำไมฉันถึงรู้สึกไม่เชื่อขนาดนี้นะ” ฉินมู่หลานแสดงท่าทางให้โหยวหย่งใช้ยากับคนเหล่านี้

ขณะนี้ผู้ชายรูปร่างผอมสูงคนสุดท้ายก็เอ่ยปากอย่างกะทันหัน “เดี๋ยวก่อน……ผมยังรู้บางอย่างอีกเล็กน้อย”

เมื่อฉินมู่หลานได้ยินเช่นนั้นก็ชำเลืองมองไปทางผู้ชายคนนั้นและเอ่ย “นายยังรู้เรื่องอะไรอีก?”

“ผู้ชายคนนั้นสกุลหง ราวกับว่าเมื่อสามสิบปีก่อนก็เคยลักพาตัวผู้หญิงที่พวกเราจับตัวในครั้งนี้”

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ นัยน์ตาของฉินมู่หลานส่องประกาย จ้องมองไปทางชายคนนั้นและเอ่ย “พูดต่อไป”

“ลูกพี่ใหญ่ของพวกผมเดินทางมาไกลเพื่อจัดการเรื่องนี้ เขาย่อมไม่วางใจ ดังนั้นเลยส่งให้ผมไปสืบหาเส้นสนกลในของคนสกุลหงโดยเฉพาะ ผมคอยติดตามคนสกุลหงนั้นอยู่หลายวันและได้รับรู้เรื่องนี้โดยไม่ได้ตั้งใจ”

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ของคนผู้นี้ ฉินมู่หลานพลันครุ่นคิดคาดเดาอย่างกล้าหาญ

เมื่อสามสิบปีก่อน……

นั่นไม่ใช่ช่วงเวลาที่แม่สามีหายไปตัวหรอกเหรอ หากว่าคนสกุลหงนั้นเคยลักพาตัวแม่สามีไปจริงๆ เช่นนั้นก็มีโอกาสเป็นอย่างมากที่เขาจะเกี่ยวข้องกับการหายตัวไปของแม่สามี

ฉินมู่หลานไม่ได้คาดหวังว่าจะมีความประหลาดใจรอเธออยู่ แต่เธอก็ไม่ได้วางแผนจะปล่อยคนเหล่านี้ไป “โหยวหย่ง ทำตามขั้นตอนปกติ ส่งตัวคนเหล่านี้ไปสถานีตำรวจเถอะ”

“รับทราบ”

ยิ่งอยู่กับฉินมู่หลานมากเท่าไร โหยวหย่งก็ยิ่งรู้สึกว่าพี่สะใภ้คนนี้น่าสนใจ เมื่อมองดูแล้วเห็นกันอยู่ว่าเป็นผู้หญิงที่อ่อนโยน แต่ความคิดกลับชัดเจนและลงมืออย่างไร้ซึ่งความปราณี นิสัยไม่พูดมากและลงมืออย่างฉับไวนี้ช่างดีเหลือเกิน

“เดี๋ยวก่อน…… พวกคุณบอกว่าตราบใดที่พวกผมบอกสิ่งที่รู้ออกมาก็จะปล่อยพวกผมไป”

เมื่อคนเหล่านั้นเห็นว่าฉินมู่หลานไม่รักษาคำพูด ทุกคนต่างก็ตะโกนโวยวายอยู่อย่างนั้น

ฉินมู่หลานกลับเหลือบมองพวกเขาและเอ่ย “เมื่อกี้ฉันพูดชัดเจนว่าหากพวกนายพูดในสิ่งที่รู้ออกมา ฉันก็จะไม่ใช้ยากับพวกนาย ตอนนี้ก็ไม่ได้ใช้ยากับพวกนายใช่ไหมล่ะ”

“งั้นที่คุณให้คนส่งพวกผมเข้าตะรางหมายความว่าอะไร”

“ไม่ได้หมายความว่าอะไร พวกเราทุกคนเป็นผู้ใหญ่กันแล้ว จะต้องชดใช้ในสิ่งที่ตนเองเคยทำ ก่อนหน้านี้พวกนายทำเรื่องผิดกฎหมายมากมาย ส่งพวกนายไปยังสถานีตำรวจก็คงจะไม่มากเกินไปหรอก” เมื่อกล่าวคำพูดสุดท้าย ฉินมู่หลานเกียจคร้านเกินกว่าจะพูดอะไรมากกว่านี้ จากนั้นให้โหยวหย่งนำตัวพวกเขาไป

เย่เสี่ยวเหอเห็นภาพเหตุการณ์นี้ก็ก้าวถอยหลังอย่างอดไม่ได้ ไม่ได้คาดคิดว่าฉินมู่หลานจะโหดเหี้ยมขนาดนี้ พวกเขาต่างพูดความจริงออกไปแล้ว สุดท้ายก็ยังส่งพวกเขาเข้าคุก จนหล่อนกลัวว่าตนจะมีจุดจบแบบเดียวกัน

อย่างไรก็ตามหลังจากคนพวกนั้นถูกส่งตัวไปแล้ว เย่เสี่ยวเหอพบว่าตนเองถูกทิ้งไว้เพียงลำพัง

เมื่อเห็นเช่นนี้ เย่เสี่ยวเหอรู้สึกผ่อนคลายลงเล็กน้อย ขณะเดียวกันก็พบว่าตนเองไม่เจ็บปวดและไม่คันอีกแล้ว แต่โดยไม่รอให้หล่อนมีความสุข ฉินมู่หลานพลันจ้องมองมาและเอ่ย “จับตาดูหล่อนไว้แล้วรอโหยวหย่งกลับมา พวกเรายังต้องใช้หล่อนนำทาง”

“รับทราบ”

โหยวหย่งจัดการอย่างว่องไว ไม่นานนักก็กลับมา “พี่สะใภ้ คนเหล่านั้นถูกส่งตัวเข้าไปแล้วครับ ก่อนหน้านี้พวกเขาทำเรื่องโหดร้ายและไร้มนุษยธรรมมากมาย ครั้งนี้พวกเขาติดคุกอย่างแน่นอน”

ฉินมู่หลานได้ยินเช่นนั้นพลันพยักหน้าและเอ่ย “ลำบากคุณแล้ว โหยวหย่ง”

“พี่สะใภ้ ลำบากอะไรกันล่ะ อย่างไรก็ตามยังต้องคิดหาวิธีการจับคนสกุลหงคนนั้นด้วย จับเพียงแค่เย่เสี่ยวเหอก็คงจะไร้ประโยชน์”

“ใช่ ดังนั้นตอนนี้พวกเราจะให้เย่เสี่ยวเหอนำทางไปจับคนสกุลหงผู้นั้น”

เมื่อเอ่ยคำพูดสุดท้าย ฉินมู่หลานก็กล่าวถึงแผนการของตนเอง “ให้เย่เสี่ยวเหอไปหาเขาและบอกกล่าวกับคนผู้นั้นว่าแผนการลักพาตัวล้มเหลว คนเหล่านั้นถูกจับเข้าคุกแล้ว จากนั้นก็ให้เย่เสี่ยวเหอเอ่ยถามแผนการต่อไปของคนผู้นั้น”

ครั้นได้ฟังคำพูดนี้ โหยวหย่งรู้สึกว่าเป็นความคิดที่ดี อย่างไรก็ตามเขาเพียงกังวลว่าเย่เสี่ยวเหอจะสามารถทำได้หรือไม่

“ต่อให้หล่อนทำไม่ได้อย่างไรก็ต้องทำ”

ฉินมู่หลานยิ้มราวกับไม่ใช่รอยยิ้มพลางจ้องมองเย่เสี่ยวเหอและเอ่ย “ตอนนี้รู้สึกสบายแล้วใช่ไหม ไม่รู้สึกทรมานเลยแม้แต่น้อย”

เย่เสี่ยวเหอได้ยินคำพูดนี้ จากนั้นมองฉินมู่หลานด้วยสีหน้าระแวดระวัง ไม่รู้ว่าคำพูดนี้ของเธอหมายความว่าอะไร

ฉินมู่หลานกลับยิ้มพร้อมกับเอ่ย “ตอนนี้เธอไม่รู้สึกทรมานเพียงชั่วคราวเท่านั้น แต่อีกไม่ช้าก็จะทรมานเป็นอย่างมากอีกครั้ง”

เป็นไปตามคาดการณ์ เมื่อฉินมู่หลานกล่าวคำพูดนี้จบ เย่เสี่ยวเหอพลันรู้สึกถึงการทรมานที่ไร้มนุษยธรรมอีกครั้ง “กรี๊ด……นังผู้หญิงชั่วร้าย เธอต้องการอะไรถึงจะยอมถอนพิษให้กับฉัน”

“คำพูดเมื่อกี้นี้เธอเองก็น่าจะได้ยินอย่างชัดเจนแล้ว ตราบใดที่เธอให้ความร่วมมือกับพวกฉันและจับคนสกุลหง

“เธอ…….ถ้าหากเธอโกหกฉันล่ะ?”

ฉินมู่หลานได้ยินคำพูดนั้นพลันยิ้มเยาะและเอ่ย “ดูเหมือนว่าตอนนี้เธอไม่มีตัวเลือกอื่นแล้วนะ”

เย่เสี่ยวเหอพลันหดหู่เมื่อพบว่าตอนนี้หล่อนไร้ทางเลือกอื่นแล้วจริงๆ

หลังจากอดทนต่อความเจ็บปวดอีกครั้งหนึ่ง ในที่สุดเย่เสี่ยวเหอก็เอ่ยปาก “ได้ ฉันตกลง”

ฉินมู่หลานได้ยินคำพูดนี้ ก็มองโหยวหย่งและเอ่ย “งั้นพวกเราออกเดินทางกันเลย”

โหยวหย่งกลับเอ่ยปากห้ามปราม “พี่สะใภ้ พวกผมไปก็พอแล้ว คุณกลับบ้านไปก่อนเถอะ”

ฉินมู่หลานมองท้องใหญ่ของตนเองและคิดว่าหากตนเองไปก็ไม่สามารถทำอะไรได้ จากนั้นพยักหน้าและเอ่ย “ตกลง”

อย่างไรก็ตามเธอมอบยาเม็ดยาผงทั้งหมดให้กับโหยวหย่งและกล่าว “พวกคุณพกสิ่งเหล่านี้ไว้ป้องกันตัวนะ แล้วยังมีอันนี้ด้วย” เมื่อเอ่ยคำพูดสุดท้าย เธอเหลือบมองเย่เสี่ยวเหอและกล่าว “เมื่อหล่อนทนไม่ไหวก็ให้หล่อนเม็ดหนึ่ง”

“รับทราบครับพี่สะใภ้”

………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

จะรู้ตัวคนบงการแล้ว สาวไปเรื่อยๆ อย่าได้ชนตอกลางทางเลย

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก

ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก

Status: Ongoing
เมื่อแพทย์สาวมือฉมังพบว่าตนเองได้กลายเป็นหญิงอ้วนผู้เชี่ยวชาญด้านสมุนไพรในยุค 70 ผู้ไม่เป็นที่รักของสามี เธอจะเปลี่ยนเป็นคนใหม่ที่สามีคลั่งรักได้หรือไม่กันนะ?ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก[嫁七零糙汉后,我双胞胎体质藏不住]ผู้แต่ง : 钰儿เรื่องย่อหลังผชิญวรหนักจนวูบ ฉินมู่หลาน แพทย์สาวมือฉมังก็พบว่าตนองได้มาสวมร่างของหญิงอ้วนหลานสาวผู้เชี่ยวชาญด้นสมุนไพรในยุค 70 ผู้ไม่มีอะไรดีสักอย่างนอกจากได้สามีหล่อเหลานิสัยดีผู้แสนเย็นขาจากความลั่งรักของตัวเองจจับเขามาแต่งงด้วยสำเร็จ ซึ่งกรสวมวิญญาณในครั้งนี้เธอได้รับภารกิจหลักสามอย่าง หนึ่งคือสร้างเนื้อสร้างตัว สองคือลดน้ำหนักให้ตนเองทำงานทำการสะดวกขึ้น และสามคือทำให้สามีเป็นฝ่ายคลั่งรักเธอแทน คุณหมอฉินจะทำสำเร็จหรือไม่ จะเปลี่ยนเป็นฉินมู่หลานคนใหม่ที่สามีคลั่งรักได้หรือไม่กันนะ?

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท