ตอนที่ 228 ตระกูลเซี่ยแห่งปักกิ่ง(1)
ตอนที่ 228 ตระกูลเซี่ยแห่งปักกิ่ง(1)
เมื่อได้ยินสิ่งที่หมอเฉาพูด ทั้งเหยาจิ้งจือกับซูหว่านอี๋ก็รู้สึกแปลกใจ
“จริงเหรอคะ เป็นแฝดชายหญิงจริงเหรอ”
“จริงแท้แน่นอนค่ะ พวกคุณรีบมาดูสิคะ” หมอเฉาเอ่ยบอกเหยาจิ้งจือกับซูหว่านอี๋พร้อมรอยยิ้ม จากนั้นก็หันไปพูดกับเซี่ยเจ๋อหลี่ “คุณพ่อทำไมไม่เข้ามาดูหน่อยล่ะคะ”
เซี่ยเจ๋อหลี่รีบก้าวไปข้างหน้าแล้วมองดูทันที ก่อนจะเอ่ยถามด้วยความเป็นกังวลนิดหน่อย “มู่หลานไม่เป็นอะไรจริง ๆ เหรอครับ?”
เมื่อเห็นเซี่ยเจ๋อหลี่เป็นห่วงฉินมู่หลานจนแทบขาดใจ หมอเฉาก็อดยิ้มไม่ได้ “วางใจค่ะ ไม่เป็นไรจริง ๆ เพราะฉะนั้นคุณไปรออยู่ที่หอพักผู้ป่วยพร้อมกับลูก ๆ ก่อนนะคะ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เซี่ยเจ๋อหลี่ก็หันมองแล้วเอ่ยบอกเหยาจิ้งจือกับซูหว่านอี๋ “แม่ครับ พวกแม่พาเด็ก ๆ กลับไปที่ห้องพักฟื้นก่อนเถอะ เดี๋ยวผมจะอยู่รอมู่หลานตรงนี้”
ทั้งสองได้ยินเช่นนี้ก็พยักหน้า แล้วพูด “ได้ ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวพวกเราไปกันก่อน”
หลังจากพ่อแม่และแม่ยายพาลูกทั้งสองคนไปแล้ว เซี่ยเจ๋อหลี่ก็ยืนรออยู่ตรงหน้าประตู เฝ้ารออย่างเงียบ ๆ เป็นเวลาสองชั่วโมงเต็ม
เมื่อฉินมู่หลานออกมา เซี่ยเจ๋อหลี่ก็รีบวิ่งหน้าตั้งเข้าไปหาทันที เขากุมมือเธอก่อนจะเอ่ยถาม “มู่หลาน คุณไม่เป็นไรใช่ไหม?”
ฉินมู่หลานส่ายหัว แล้วบอกกล่าว “ฉันไม่เป็นไรค่ะ” จากนั้นเธอก็รีบเอ่ยถามอีกครั้ง “แล้วพวกลูกล่ะ?”
“อยู่ที่หอพักผู้ป่วย พวกเราไปกันเถอะ”
เซี่ยเจ๋อหลี่ช่วยเข็นมู่หลานไปที่หอพักผู้ป่วย หลังจากนั้นก็ค่อย ๆ อุ้มทารกขึ้นมา ก่อนจะนำไปวางลงบนเตียง
หมอจ้าวเองก็มาด้วยกัน หล่อนยิ้มแล้วเอ่ยแนะนำบางส่วน ก่อนจะกลับออกไป
เหยาจิ้งจือกับซูหว่านอี๋เห็นฉินมู่หลานกลับมาแล้วก็รีบพาเด็ก ๆ มาหาเธอทันที เด็กทั้งสองโดนห่ออยู่ในห่อผ้าเล็ก แล้วโดนวางอยู่ข้าง ๆ ฉินมู่หลานอย่างนุ่มนวล
ฉินมู่หลานหันมองเด็กน้อยทั้งสอง รู้สึกใจอ่อนระทวยไปหมด
เมื่อเห็นท่าทางของฉินมู่หลาน สีหน้าของซูหว่านอี๋ก็บ่งบอกอารมณ์ทั้งหมด “ฉันยังจำหน้าตอนมู่หลานเกิดมาได้อยู่เลยนะ ไม่คิดเลยว่าแค่พริบตาเดียว เธอเองก็กลายเป็นแม่คนเสียแล้ว” ขณะที่พูดก็เอ่ยถามขึ้นอีก “จริงสิมู่หลาน เมื่อกี้ก็ลืมถามหมอเลยว่าเด็กคนไหนออกมาก่อน?”
“ผู้ชายเป็นพี่ค่ะ ผู้หญิงเป็นน้องสาว”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ซูหว่านอี๋ก็อดยิ้มไม่ได้ “นี่เป็นเรื่องดีจริง ๆ ต่อไปพี่ชายจะได้ปกป้องน้องสาว”
เหยาจิ้งจือก็เออออตามกัน “ใช่แล้ว พี่ชายจะต้องคอยดูแลน้องสาว”
เซี่ยเหวินปิงไม่ได้พูดอะไรในตอนแรก แต่เอ่ยถามในตอนท้าย “ในเมื่อคลอดแล้ว ได้คิดชื่อกันไว้แล้วหรือยัง?”
หลายคนได้ยินเช่นนี้ ก็หันมองเซี่ยเจ๋อหลี่กับฉินมู่หลาน
ก่อนนห้านี้ฉินมู่หลานคิดเอาไว้บ้างแล้ว แต่ยังไม่ค่อยพอใจมากนัก ส่งผลให้มันยืดเยื้อมาจนถึงตอนนี้ “อาหลี่ คุณได้คิดชื่อพวกลูก ๆ เอาไว้บ้างไหมคะ?”
“คิดเรียบร้อยแล้ว ชื่อจริงให้ชื่อว่าเซี่ยเฉินกับเซี่ยชิง ชื่อเล่นคือเฉินเฉินกับชิงชิง”
“เฉินเฉิน ชิงชิง สองชื่อนี้ก็ดีนะ” เหยาจิ้งจือกับเซี่ยเหวินปิงต่างพยักหน้าเห็นด้วย ซูหว่านอี๋ก็คิดว่าน่าฟังเช่นกัน
เซี่ยเจ๋อหลี่หันมองฉินมู่หลานแล้วเอ่ยถาม “มู่หลาน คุณคิดว่ายังไงบ้าง?”
“ฟังดูดีค่ะ ถ้างั้นใช้สองชื่อนี้ก็ได้”
พวกเขาเคยหมกมุ่นกับเรื่องนี้มานาน แต่ก็ไม่เคยพอใจสักที พอเซี่ยเจ๋อหลี่เอ่ยสองชื่อนี้ขึ้นมาในวันนี้ก็ฟังเข้าท่าขึ้นมา
เมื่อเห็นฉินมู่หลานพยักหน้าเห็นด้วย เซี่ยเจ๋อหลี่ก็ยกยิ้มแล้วพูดขึ้น “ถ้าอย่างนั้นก็ดี ตกลงเป็นอันว่าเด็กทั้งสองคนใช้ชื่อนี้” ซึ่งเป็นชื่อที่เขาใช้เวลาคิดค่อนข้างนาน
ตอนแรกเซี่ยเจ๋อหลี่อยากจะคุยกับฉินมู่หลาน แต่เมื่อเห็นว่าเธออ่อนเพลียเช่นนี้ จึงรีบเอ่ยทันที “มู่หลาน คุณรีบพักผ่อนสักหน่อยเถอะ”
ฉินมู่หลานพยักหน้า แล้วตอบกลับ “ได้ค่ะ ถ้าอย่างนั้นฉันขอพักสักหน่อย”
จนถึงตอนนี้ฤทธิ์ยาสลบของเธอยังไม่หมด จึงทำให้รู้สึกสลึมสะลือไปหมด ยิ่งไปกว่านั้น แผลตรงบริเวณท้องยังเจ็บมากอีกด้วย ตอนนี้เธอจึงรู้สึกไม่สบายตัวเป็นอย่างมาก ก่อนจะหลับตาลงสักพักและผล็อยหลับไป
เมื่อเห็นฉินมู่หลานเป็นแบบนี้ ใบหน้าของเซี่ยเจ๋อหลี่ก็เต็มไปด้วยความทุกข์ใจ
ตอนนี้มู่หลานคงเจ็บมากแน่เลย เพราะต้องผ่าท้องเพื่อเอาเด็กออกมา
ซูหว่านอี๋ที่อยู่ข้าง ๆ ก็มีสีหน้าทุกข์ใจเช่นกัน ในขณะที่เหยาจิ้งจือหันไปพูดกับเซี่ยเหวินปิง “คุณรีบกลับไปทำอาหารเร็ว เสร็จแล้วจะได้เอามาส่ง จะได้ทันกินตอนมู่หลานตื่น”
ซูหว่านอี๋ได้ยินเช่นนี้ ก็อดพูดไม่ได้ “ญาติลูกเขย หมอเพิ่งบอกว่าให้รอจนกว่าจะครบหกชั่วโมงไม่ใช่เหรอคะ?”
“ญาติสะใภ้ หลังจากเหกวินปิงทำเสร็จแล้วเราก็จะเก็บเอาไว้ในหม้อเก็บความร้อนค่ะ หากเป็นแบบนั้น พอมู่หลานตื่นก็จะกินได้เลย และหมอก็เพิ่งบอกมาอย่างเจาะจงด้วยว่าให้กินซุปไชเท้า เพราะฉะนั้นจะต้องไม่ลืมทำซุปไชเท้านะ”
เซี่ยเหวินปิงพยักหน้าแล้วบอกกล่าว “วางใจเถอะ ผมจำได้หมดแล้ว เดี๋ยวจะรีบกลับไปทำอาหารเลย” เขาดูแลเด็กไม่ค่อยเป็นนัก จึงเป็นการดีกว่าหากให้ภรรยากับแม่สะใภ้เป็นฝ่ายดูแลเด็กทั้งสอง ส่วนเขาไปทำอาหาร
งานดูแลเด็กทั้งสองตกเป็นของเหยาจิ้งจือกับซู่หว่านอี๋ โชคดีที่ทั้งคู่มีประสบการณ์ จึงสามารถดูแลเฉินเฉินกับชิงชิงได้เป็นอย่างดี
ฉินมู่หลานหลับไปนาน หลังจากเธอตื่น ก็พบว่าท้องฟ้ากลายเป็นสีดำแล้ว “ฉันหลับไปนานขนาดนั้นเลยหรือคะ?”
เซี่ยเจ๋อหลี่เห็นฉินมู่หลานตื่นขึ้นมา สีหน้าก็เต็มไปด้วยความประหลาดใจ
“มู่หลาน คุณตื่นแล้วเหรอ ถ้าคุณยังไม่ตื่น ผมว่าจะไปตามหมอมาอีกรอบเสียแล้ว” ตั้งแต่ฉินมู่หลานหลับไป เธอก็ไม่ตื่นเลย ทำให้เซี่ยเจ๋อหลี่อดเป็นกังวลไม่ได้ นอกจากนี้ยังขอให้หมอมาช่วยตรวจดูอาการด้วย โชคดีที่ผลตรวจออกมาเป็นปกติ ทำให้พวกเขาไม่รู้สึกเป็นกังวลมากจนเกินเหตุ
แต่จะไม่ให้กังวลได้อย่างไร เซี่ยเจ๋อหลี่กลัวว่าฉินมู่หลานจะหลับไปตลอดกาล โชคดีที่ตอนนี้คนตื่นแล้ว
ฉินมู่หลานก็ไม่คิดว่าตัวเองจะหลับไปนานขนาดนี้ ตอนนี้เธอรู้สึกแค่ว่าทั้งเจ็บหน้าท้องทั้งหิว แม้พลังจะฟื้นคืนกลับมานิดหน่อย แต่ก็ยังสลึมสะลืออยู่และรู้สึกแปลกพิกล
ซูหว่านอี๋ใส่ใจลูกสาวอยู่ตลอด เมื่อเห็นเธอขมวดคิ้ว ก็รีบเอ่ยถามทันที “มู่หลาน ลูกหิวแล้วใช่ไหม กินซุปไชเท้าก่อนสิ หลังจากกินเสร็จค่อยกินอย่างอื่น” เพียงแต่ช่วงนี้ฉินมู่หลานกินได้แต่ของที่ย่อยง่ายเท่านั้น ไม่สามารถรับประทานอาหารแบบมื้อปกติทั่วไปได้
ฉินมู่หลานก็เข้าใจเรื่องนี้ เธอให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี จากนั้นก็เริ่มกินซุปไชเท้า
หลังจากกินซุปไชเท้าเสร็จแล้ว เธอก็ส่ายหัวไปมา ก่อนจะพูดขึ้น “หนูอิ่มแล้วค่ะ”
เมื่อได้ยินคำพูดของลูกสาว ซูหว่านอี๋ก็อดพูดไม่ได้ “กินน้อยขนาดนั้นจะอิ่มได้ยังไง เอาโจ๊กเพิ่มสักหน่อยไหม?”
“แม่คะ หนูกินอิ่มแล้วจริง ๆ”
เมื่อเห็นลูกสาวบอกแบบนั้น ซูหว่านอี๋ก็ไม่พูดอะไรมาก แล้วได้แต่เอ่ย “ได้ ถ้าอย่างนั้นลูกก็นอนแล้วพักผ่อนให้เต็มที่เสียนะ แต่คุณหมอบอกว่า ถ้าลูกอยากจะลองลุกจากเตียงแล้วเดินเล่นไปมาก็ได้”
“หนูเข้าใจแล้วค่ะ ขอหนูนอนพักสักหน่อย แล้วเดี๋ยวจะลองลุกเดินก้าวสองก้าวนะคะ” ไม่ว่าจะเดินได้กี่ก้าว การลุกจากเตียงก็เป็นสิ่งที่ดี ดังนั้นหลังจากฉินมู่หลานพักผ่อนเต็มที่แล้วก็พยายามลุกจากเตียง แต่แผลผ่าตัดเจ็บมาก เธอเดินไปได้เพียงสองก้าว แล้วทำได้เพียงกลับไปนอนตามเดิม
วันต่อมา เพื่อป้องกันไม่ให้แผลเป็นพังผืด ฉินมู่หลานก็พยายามอย่างมาก เริ่มลุกจากเตียงตั้งแต่เช้าเพื่อเดินออกกำลังกาย โชคดีที่ผลออกมาค่อนข้างดี เธอจึงฟื้นตัวได้ดี
ครั้นหมอเฉาและหมอจ้าวมาตรวจ ก็ต่างอดพูดไม่ได้ “ฟื้นตัวได้ดีมากเลยค่ะ อีกไม่นานก็ออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว”
ได้ยินเช่นนั้น ฉินมู่หลานก็ยกยิ้มแล้วมองทั้งสองคนก่อนจะพูดขึ้น “หมอเฉา หมอจ้าว ขอบคุณมากนะคะสำหรับเรื่องในครั้งนี้”
ทั้งสองได้ยินเช่นนั้นก็รีบโบกไม้โบกมือแล้วพูดขึ้น “ไม่มีอะไรต้องขอบคุณหรอกค่ะ เดิมทีก็เป็นหน้าที่ของพวกเราอยู่แล้ว ถ้าพวกคุณมีข้อสงสัยอะไรสามารถมาหาและสอบถามได้ตลอดเลยนะคะ” หลังจากทั้งสองตรวจภายในหอพักผู้ป่วยเรียบร้อยแล้ว ก็ไปที่หอผู้ป่วยอื่นเพื่อตรวจต่อ
หลังจากที่เหยาจิ้งจือกับซูหว่านอี๋ได้ยินว่ามู่หลานจะออกจากโรงพยาบาลได้ในไม่ช้านี้ ก็รู้สึกดีใจมาก
ช่วงนี้เซี่ยเจ๋อหลี่มาที่นี่บ่อยมาก ช่วยดูแลลูกทั้งสองได้อยู่บ้าง เหยาจิ้งจือจึงตัดสินใจว่าวันนี้จะกลับไปทำอาหารที่บ้านด้วย “อาหลี่ เดี๋ยวฉันกับพ่อแกจะกลับไปทำกับข้าวก่อน วันนี้ฉันว่าจะทำน้ำแกงปลาจี้อวี๋ให้มู่หลาน ลูกกับแม่ยายก็คอยอยู่ดูแลมู่หลานที่นี่ไปก่อนนะ”
“พ่อแม่ไม่ต้องห่วงครับ พวกเราจะคอยดูแลมู่หลานกับลูกอย่างดี พวกแม่กลับไปทำอาหารอย่างหายห่วงเถอะ”
หลังจากเหยาจิ้งจือกับเซี่ยเหวินปิงกลับไป เซี่ยเจ๋อหลี่กับซูหว่านอี๋ก็อุ้มลูกเดินไปมารอบ ๆ ห้อง
………………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
มีน้องๆ มาแล้ว ครอบครัวครึกครื้นสุขสันต์แน่นอน
ไหหม่า(海馬)