ตอนที่ 231 ตระกูลซู(2)
ตอนที่ 231 ตระกูลซู(2)
ตระกูลซูเป็นตระกูลวิชาการ ตั้งมั่นในอุดมการณ์มาตลอด เพียงแต่เมื่อช่วงสงครามหลายปีที่ผ่านมา ตระกูลซูได้เสื่อมสลายลง สมาชิกพลัดพรากสูญหายเป็นจำนวนมาก กระทั่งพ่อแม่ของสองพี่น้องตระกูลซูจากไป ตระกูลซูจึงเสื่อมถอยลงเป็นลำดับ ในตอนนั้นสองพี่น้องตระกูลซูมีอายุเพียงแค่สิบห้าถึงสิบหกปีเท่านั้น อีกทั้งพวกญาติมิตรตระกูลซูก็ต้องการทรัพย์สมบัติและทำทุกวิถีทางเพื่อแย่งชิง จนมีอยู่ครั้งหนึ่งที่สองพี่น้องตระกูลซูเกือบจะโดนญาติผู้ใจจืดใจดำขายทิ้ง
โชคดีที่ทั้งสองพี่น้องฉลาด จึงไม่ปล่อยให้แผนการชั่วร้ายนั้นสำเร็จ จากนั้นก็ขายทรัพย์สมบัติของตระกูลทิ้งทันที
จากนั้นทั้งสองพี่น้องก็หายตัวไปจากเมืองหลวง โดยไม่มีใครทราบเลยว่าพวกหล่อนหายไปไหน
เมื่อคิดได้เช่นนี้ สีหน้าของหยวนปิงซินก็เต็มไปด้วยความเศร้า “ตอนนั้นพวกเราอยู่ในช่วงวัยรุ่นตอนต้น ไม่คิดเลยว่าแค่พริบตาเดียวก็เป็นวัยกลางคนกันเสียแล้ว”
“ใช่แล้ว พริบตาเดียวเองค่ะ”
ซูหว่านอี๋เออออตาม
แต่หยวนปิงซิงรู้สึกสงสัยนิดหน่อยว่าหลังจากนั้นสองพี่น้องหายไปไหนมา ครั้นเห็นว่าซูหว่านอี๋ไม่อยากพูด หล่อนก็ไม่ได้เอ่ยถามอีก สุดท้ายก็ลุกขึ้นแล้วเดินกลับไป
เมื่อหยวนปิงซินกลับมาถึงบ้าน หล่อนก็ได้พบว่าเจียงอันปังก็อยู่ที่นั่น จึงอดเอ่ยถามไม่ได้ “คุณเพิ่งบอกว่าหลังจากกินข้าวเสร็จมีงานต่อไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงยังอยู่ที่บ้านอีกล่ะ”
“ผมให้เหล่าเวินไปจัดการแล้ว ผมกลับมาหาข้อมูลบางอย่าง” จากนั้นเขาก็ถามขึ้นอีกครั้ง “คุณไปดูลูกแฝดที่บ้านตระกูลเซี่ยมาเป็นยังไงบ้าง เด็กสองคนน่ารักไหม”
“น่ารักอยู่แล้ว หน้าตาดีด้วย”
หลังจากเอ่ยจบ สีหน้าของหยวนปิงซินก็เต็มไปด้วยความอิจฉา “ถ้าลูกชายของเราได้แต่งงาน ก็อยากให้ได้ลูกแฝดบ้างจังเลย”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เจียงอันปังก็แอบเหลือบมองภรรยาตัวเอง ก่อนจะพูดขึ้น “คุณนี่หวังสูงจัง แล้วเป็นแฝดชายหญิงด้วยนะ เจ้าลูกชายของเรานั่นแค่หาคู่ให้ได้ก็ถือเป็นบุญแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นคุณคิดว่าใคร ๆ ก็มีลูกแฝดได้เหรอ”
“ฉันก็หวังได้ไม่ใช่เหรอ คุณจะมาสะกิดให้ฉันตื่นทำไม”
แต่หลังจากพูดจบ หยวนปิงซินก็อดพูดไม่ได้ “จริงสิ คุณจำพี่น้องตระกูลซูได้ไหม?”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ สีหน้าของเจียงอันปังก็เต็มไปด้วยความสงสัย “พี่น้องตระกูลซูไหน?”
“ไอ้หยา…ตาคนนี้ ก็สองพี่น้องตระกูลซูที่ชื่อซูหว่านอวี๋กับซูหว่านอี๋ไง ลองเดาดูสิว่าฉันเพิ่งไปเจอใครมา เป็นน้องสาวตระกูลซู ซูหว่านอี๋ ที่แท้เธอเป็นแม่ของมู่หลาน คุณว่าบังเอิญไหมล่ะ”
“อะไรนะ…จริงหรือหลอกกันเนี่ย?”
“จริงอยู่แล้วสิ ฉันจะไปหลอกคุณทำไม ลองคิดถึงสมัยที่พวกผู้ใหญ่พูดจากรอกหูพวกเราสิว่าซูหว่านอวี๋จากตระกูลซูดีอย่างนั้นดีอย่างนี้ น่าเสียดายที่พระเจ้าอิจฉาความงาม จึงพรากซูหว่านอวี๋ไป เหลือแต่ซูหว่านอี๋คนน้อง”
เจียงอันปังนึกถึงเรื่องสองพี่น้องตระกูลซูขึ้นมาได้แล้ว เมื่อได้ยินแบบนั้น ก็อดถอนหายใจไม่ได้
“ฉันจำได้ว่าคนพี่ชอบใส่เสื้อผ้าสีแดง แต่คนน้องซูหว่านอี๋ไม่มีอะไรเป็นภาพจำเลย ตอนนี้หล่อนเป็นยังไงบ้าง?”
หยวนปิงซินพยักหน้าแล้วเอ่ย “ก็สบายดีนะ ฉันดูหน้าหล่อนแล้วก็ยังดูเด็กอยู่เลย ลูกสาวก็ดีขนาดนั้น ชีวิตก็คงจะดีมากแน่”
“ถ้าอย่างนั้นก็ดีแล้ว แต่ที่บอกมาก็ถือว่าเป็นโชคชะตาจริง ๆ นะ จากนี้ไป นอกจากจะคุยกับมู่หลานมากขึ้นแล้ว ก็คงจะได้พูดคุยกับแม่ของหล่อนมากขึ้นด้วย แต่ว่าซูหว่านอี๋สอนลูกมายังไงกัน มู่หลานถึงเก่งมากเลย ฝีมือการรักษาก็ดี ปรุงยาก็ได้ ขนาดมีลูกก็ยังได้ลูกแฝด”
เมื่อพูดถึงฉินมู่หลาน เจียงอันปังก็อดจะเยินยออีกครั้งเสียไม่ได้
“มู่หลานดีมากจริง ๆ คุณว่าทำไมเซี่ยเจ๋อหลี่ถึงได้โชคดีขนาดนั้นกันนะ ทำไมมีเรื่องดี ๆ ก็ไปลงที่เขาหมด”
เมื่อเห็นสามีของตนรู้สึกอิจฉา หยวนปิงซินก็อดหัวเราะไม่ได้ ก่อนจะพูดขึ้น “ใช่แล้ว เรื่องนี้มันจะทำยังไงได้ล่ะนะ ใครใช้ให้เซี่ยเจ๋อหลี่โชคดีกันเล่า คุณอิจฉาไปก็ไม่มีประโยชน์หรอกนะ”
“ใช่แล้ว หันมามองลูกชายของเรา คุณว่าทำไมมันถึงห่างไกลกันขนาดนี้ล่ะ”
ทั้งสองนึกถึงลูกชายของตัวเอง แล้วก็นึกถึงเซี่ยเจ๋อหลี่อีกครั้ง ก่อนจะพากันถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้
อีกด้านหนึ่ง สุดท้ายซูหว่านอี๋ก็เล่าเรื่องตระกูลซูให้ฉินมู่หลานฟังบางส่วน “แม่ไม่คิดเลยว่าจะได้เจอเพื่อนที่เล่นด้วยกันสมัยเด็ก”
“แม่คะ ที่แท้แม่ก็เป็นคนปักกิ่งนี่เอง”
ซูหว่านอี้ส่ายหัวหลังจากได้ยินสิ่งนี้ ก่อนจะบอกกล่าว “ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว ตอนนี้แม่เป็นคนซานตงต่างหาก”
เมื่อได้ยินแบบนี้ ฉินมู่หลานก็ยกยิ้ม แล้วพูด “จริงค่ะ ตอนนี้แม่เป็นลูกสะใภ้อยู่ที่มณฑลซานตง ที่แม่บอกว่ามีพี่สาวคนหนึ่งนี่ไม่มีคนอื่นแล้วเหรอคะ?”
“ใช่ ไม่มีแล้ว”
ใบหน้าของซูหว่านอี๋เต็มไปด้วยความเศร้า “ตอนที่แม่กับพี่ของแม่อายุได้ประมาณสิบหก พ่อแม่ของพวกเราก็จากไปแล้ว เหตุการณ์ต่อมาหลังจากนั้นก็คือพวกญาติ ๆ หวังจะเอาทรัพย์สมบัติของครอบครัวเรา แต่แล้วพี่ก็แก้ปัญหาได้ พวกเราสองพี่น้องก็ได้หนีออกจากเมืองหลวง หลังจากนั้นแม่ก็เดินทางกับพี่มุ่งลงทางใต้ เพียงแต่…”
หลัจากเอ่ยจนถึงประโยคท้าย ซูหว่านอี๋ก็ส่ายหัวแล้วพูดขึ้น “เลิกพูดเรื่องนี้ดีกว่า เรื่องมันเก่ามากแล้วล่ะ”
เมื่อเห็นสีหน้าของแม่ดูไม่ค่อยดีนัก ฉินมู่หลานก็ไม่เอ่ยถามอะไรต่ออีก
“ค่ะ เลิกพูดดีกว่า ยังไงซะเรื่องพวกนี้ก็เป็นแค่อดีตแล้ว แม่อย่าคิดมากเลยนะคะ”
“จ้ะ”
หลังจากซูหว่านอี๋พูดคุยกับลูกสาวต่ออีกไม่กี่คำก็กลับไปพักผ่อน วันนี้ได้พบเพื่อนเก่า จึงทำให้นึกถึงเรื่องราวในอดีตขึ้นมาอีกครั้ง จึงส่งผลกระทบต่อจิตใจหล่อนอยู่บ้าง
ฉินมู่หลานเห็นดังนี้ก็อยากจะเอ่ยปลอบใจอยู่บ้าง แต่เมื่อเห็นว่าแม่อยากอยู่คนเดียว เธอจึงช่วยอะไรไม่ได้
เซี่ยเจ๋อหลี่ตบบ่ามู่หลานเป็นเชิงปลอบแล้วเอ่ยขึ้นว่า “ให้แม่อยู่คนเดียวสักพักก่อนเถอะ”
“อื้ม”
โชคดีที่เมื่อถึงเวลากินข้าวเย็น ซูหว่านอี๋ดูดีขึ้นมาก ฉินมู่หลานก็รู้สึกโล่งใจ
เมื่อถึงวันถัดไป สมาชิกในครอบครัวบางคนก็มาเยี่ยมฉินมู่หลาน แม้แต่เจี่ยงสือเหิงกับลุงเจี่ยงก็มาด้วย
“มู่หลาน พ่อคิดว่าลูกใกล้จะคลอดแล้ว ไม่คิดเลยว่าเราจะพลาดมาในตอนที่ลูกคลอดเรียบร้อยแล้ว”
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
น่าจะมีคนตระกูลซูหลงเหลืออยู่บ้างแหละค่ะ แต่คงเป็นญาติที่ไม่ดีที่ไม่ควรไปสุงสิงด้วย
ไหหม่า(海馬)