ตอนที่ 239 ความขัดแย้ง(2)
ตอนที่ 239 ความขัดแย้ง(2)
ไม่ว่าจะพยายามนึกเท่าใดคุณนายเซี่ยก็ยังนึกไม่ออก นางจึงไม่คิดอีกต่อไป
ทางด้านฉินมู่หลานกับเซี่ยเจ๋อหลี่กลับมาถึงห้องแล้ว ก็พาลูกทั้งสองคนไปนอนที่เตียงทันที วันนี้เป็นอีกหนึ่งวันที่ค่อนข้างเหนื่อยล้า หลังจากทิ้งตัวนอนลงแล้ว ฉินมู่หลานก็นึกถึงเสิ่นหรูฮวนขึ้นมา “อาหลี่ พรุ่งนี้ฉันอยากไปบ้านตระกูลเสิ่นไปคุยกับหรูฮวนเสียหน่อยน่ะค่ะ วันนี้ฉันได้คุยกับหล่อนแค่นิดเดียวเอง ดูเหมือนหล่อนจะไม่ค่อยมีความสุขเท่าไหร่ ไม่รู้ว่ามีเรื่องอะไรหรือเปล่า”
เซี่ยเจ๋อหลี่ได้ยินแบบนี้ก็พยักหน้าแล้วเอ่ยขึ้น “ได้ ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้คุณอยากให้ผมไปด้วยไหม?”
ฉินมู๋หลานส่ายหัว แล้วเอ่ย “ไม่ต้องหรอก พรุ่งนี้ฉันจะไปเอง”
“อย่างนั้นก็ได้”
เมื่อถึงวันรุ่งขึ้น ฉินมู่หลานกินข้าวเช้าเสร็จแล้วให้นมลูกน้อยทั้งสองคน จากนั้นก็ไปที่บ้านตระกูลเสิ่น
เสิ่นหรูฮวนเห็นฉินมู่หลานมา สีหน้าก็ฉายความดีใจสุดขีด
“มู่หลาน เธอมาทำไม จริงสิ แล้วเจ้าหนูสองคนล่ะ?”
“ฉันมาคนเดียวน่ะ”
เมื่อได้ยินแบบนี้ สีหน้าของเสิ่นหรูฮวนก็ดูเสียดาย “ทำไมไม่พาเจ้าหนูสองคนนั้นมาด้วยล่ะ”
แม้แต่ถงทิงผิงที่อยู่ข้าง ๆ ก็รู้สึกเสียดายตามกัน เมื่อวานหล่อนได้เจอฝาแฝดชายหญิงนั้นแล้วก็ได้แต่รู้สึกอิจฉา “มู่หลาน เธอนี่น่าทึ่งจริง ๆ ตั้งท้องครั้งแรกก็ได้ลูกแฝดชายหญิงเลย”
จากนั้นก็เกิดความสงสัยนิดหน่อย “ในครอบครัวของเธอกับอาหลี่เคยมีลูกแฝดเหมือนกันใช่ไหม”
“เท่าที่ทราบมาไม่มีนะคะ บางทีฉันอาจจะโชคดีเองค่ะ”
กระนั้นฉินมู่หลานก็รู้ดีว่าฝาแฝดส่วนใหญ่มีผลมาจากกรรมพันธุ์ “ก็มีความเป็นไปได้เหมือนกันว่าคนรุ่นก่อน ๆ ในครอบครัวของพวกเราอาจจะเคยมีฝาแฝดมาก่อนค่ะ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ถงทิงผิงก็พยักหน้าแล้วเอ่ย “จริงด้วย บางทีอาจจะเป็นแบบนั้น” แต่เรื่องนี้ก็ทำให้อดรู้สึกอิจฉาเสียไม่ได้ “จริงสิ ก่อนหน้านี้ตระกูลเซี่ยก็เคยมีฝาแฝดชายหญิงนะ แล้วก็ได้ลูกแฝดกันอีกหลายคนเลย แต่ตอนนั้นมันก็นานมากแล้ว ตั้งแต่มาถึงรุ่นของคุณนายเซี่ยก็ไม่เคยมีฝาแฝดเลย”
ฉินมู่หลานได้ยินเช่นนี้ก็ขมวดคิ้ว ก่อนจะเอ่ย “หรือบางทีมันอาจจะไม่ใช่กรรมพันธุ์”
“ก็จริงนะ หลายคนบอกว่าตระกูลเซี่ยโชคไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เพราะพวกเขามีกรรมพันธุ์ดีแบบนี้ แต่กลับไม่เคยได้ลูกแฝดอีกเลย แต่ตระกูลเซี่ยดั้งเดิมกลับมี”
“ตระกูลเซี่ยดั้งเดิม?”
ฉินมู่หลานได้ยินเช่นนี้ ก็มองด้วยแววตาสงสัย ก่อนจะเอ่ยถาม “ตระกูลเซี่ยที่ปักกิ่งไม่ใช่ตระกูลเซี่ยดั้งเดิมเหรอคะ?”
ถงทิงผิงพยักหน้าแล้วบอกกล่าว “ใช่แล้ว ตระกูลเซี่ยดั้งเดิมอยู่ที่ซีอาน”
ในตอนนี้ฉินมู่หลานเกิดความอยากรู้อยากเห็นขึ้นมาแล้ว “ซีอาน? ถ้าอย่างนั้นตระกูลเซี่ยที่ปักกิ่งก็เป็นแค่ตระกูลเซี่ยที่แยกย่อยออกมาสินะคะ แต่ได้ยินมาว่าสถานะของตระกูลเซี่ยที่เมืองหลวงนี้ก็ไม่ได้ต่ำต้อยเลย ถ้าอย่างนั้นตระกูลดั้งเดิมของพวกเขาก็คงแข็งแกร่งไม่แพ้กันสินะคะ”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา ถงทิงผิงก็ส่ายหัว แล้วบอกกล่าว “อันที่จริงฉันก็ไม่ค่อยร็เรื่องมากนักหรอก แต่ก็เคยได้ยินมาว่าตระกูลดั้งเดิมก็ยอดเยี่ยมมาก”
เมื่อเห็นว่าถงทิงผิงเหมือนจะไม่รู้อะไร ฉินมู่หลานจึงไม่เอ่ยถามอีก
ถงทิงผิงก็ลุกขึ้นยืน ก่อนจะเอ่ยขึ้น “มู่หลาน เธอคุยกับหรูฮวนไปก่อนนะ เดี๋ยวฉันไปเอาผลไม้มาให้” พูดจบก็เดินตรงเข้าไปในห้องครัว
หลังจากถงทิงผิงไปแล้ว ฉินมู่หลานก็หันมองแล้วถามเสิ่นหรูฮวนตามตรง “หรูฮวน เมื่อเร็ว ๆ นี้มีเรื่องอะไรหรือเปล่า ฉันเห็นสีหน้าเธอดูไม่ค่อยดีเลย”
เสิ่นหรูฮวนรีบสัมผัสจับใบหน้าของตัวเองทันทีเมื่อได้ยินแบบนั้น จากนั้นก็ส่ายหัวแล้วเอ่ยขึ้น “ไม่มีเรื่องอะไรหรอก”
เมื่อเห็นรอยคล้ำสีม่วงใต้ตาของเสิ่นหรูฮวนประกอบกับใบหน้าที่ดูอิดโรยเหนื่อยล้า ฉินมู่หลานก็เอ่ยพูดตามตรง “เมื่อวานตอนที่ฉันพูดถึงซวี่ตง สีหน้าเธอก็หมองลง พวกเธอสองคนทะเลาะกันเหรอ?”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ รอยยิ้มบนใบหน้าของเสิ่นหรูฮวนก็ค่อย ๆ จางหายไป แววตาเต็มไปด้วยความหงุดหงิด
“มองออกขนาดนั้นเลยเหรอ?”
“ใช่ ชัดเจนมากเลย”
เมื่อเห็นฉินมู่หลานบอกแบบนี้ เสิ่นหรูฮวนก็เม้มปาก แล้วสุดท้ายก็ยอมเอ่ยขึ้น “มู่หลาน เธอรู้ไหม จนถึงตอนนี้ฉันก็ยังไม่ได้เจอพ่อแม่ของซวี่ตงเลย”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ฉินมู่หลานก็ขมวดคิ้ว “พวกเธอยังไม่ได้นัดเจอพ่อแม่ของอีกฝ่ายกันอีกเหรอ?”
“เขามาที่บ้านของฉันแล้ว แต่ฉันยังไม่เคยได้ไปบ้านตระกูลฟู่อย่างเป็นทางการเลย”
“เรื่องมันเป็นยังไง ฟู่ซวี่ตงว่ายังไงบ้าง?”
เสิ่นหรูฮวนถอนหายใจ ก่อนจะเอ่ย “ฉันเคยบอกเขาไปรอบหนึ่งแล้ว แต่ฟู่ซวี่ตงกลับปฏิเสธ หลังจากนั้นฉันก็บอกเขาอีกรอบ แต่เขาก็ยังลังเลไม่ยอมพาฉันไปที่บ้านตระกูลฟู่สักที มันเลยทำให้ฉันสงสัยว่าเขาไม่อยากคบหากับฉันหรือเปล่า”
เพียงเพราะเรื่องนี้ หล่อนจึงไม่ได้ติดต่อฟู่ซวี่ตงมาเกือบครึ่งเดือนแล้ว จนถึงตอนนี้ยังรู้สึกโกรธนิดหน่อย แต่ก็ยังไม่เคยบอกพ่อกับแม่เรื่องนี้เลย
ทว่าในใจจะโกรธฟู่ซวี่ตงมากก็ตาม แต่สุดท้ายก็ยังคงคิดถึงเขามาก กลัวว่าพ่อกับแม่จะผิดหวังในตัวเขา หล่อนจึงไม่ยอมบอกพ่อกับแม่
หลังจากฉินมู่หลานได้ฟังคำตอบของเสิ่นหรูฮวน ก็ได้เข้าใจปัญหาของพวกเขาสองคน “หรูฮวน เธอไม่ต้องห่วงนะ เดี๋ยวกลับไปฉันจะลองถามฟู่ซวี่ตงให้ละเอียด ให้เขาลองพิจารณาเรื่องที่เกิดขึ้น”
“ได้สิมู่หลาน ถ้าอย่างนั้นฉันขอรบกวนเธอไปถามเขาหน่อยนะ จริง ๆ แล้วฉันรู้สึกได้ว่าเขาก็ชอบฉัน แต่ฉันไม่รู้ว่าทำไมถึงพาไปที่บ้านสักที”
“ตอนนี้เธอยังมีความรู้สึกแบบนี้อยู่ เพราะฉะนั้นอย่าเศร้าไปเลย เดี๋ยวถึงเวลาถามก็เรียบร้อยแล้ว ฉันว่าฟู่ซวี่ตงไม่ใช่คนโลเลหรอก บางทีเขาอาจจะมีเรื่องให้ต้องกังวลอยู่สักหน่อย”
เสิ่นหรูฮวนพยักหน้าแล้วเอ่ย “จริงด้วย ฉันก็เลยยังไม่บอกพ่อกับแม่เรื่องนี้ แต่พวกเขาก็คอยคะยั้นคะยอฉันตลอดว่าอยากคุยกับพ่อแม่ของฟู่ซวี่ตง จะได้ตกลงเรื่องของเราสองคนให้เสร็จสรรพ พวกท่านหวังว่าเราสองคนจะได้ลงหลักปักฐานกันเร็ว ๆ นี้เสียที”
“ลงหลักปักฐานตั้งแต่เนิ่น ๆ ก็ดี ถ้าเป็นอย่างนั้น พวกเธอก็จะถือว่าเป็นคู่สามีภรรยาที่ยังไม่ได้แต่งงานกันตามกฎหมาย ถึงตอนนั้นก็หาฤกษ์งามยามดี แล้วค่อยแต่งงาน”
เมื่อพูดถึงเรื่องการแต่งงานขึ้นมาอย่างกะทันหัน เสิ่นหรูฮวนก็หน้าแดงก่ำด้วยความเขิน
แต่เมื่อนึกถึงความลังเลของฟู่ซวี่ตงเมื่อครั้งก่อน เสิ่นหรูฮวนก็ถอนหายใจออกมาอีกครั้ง ก่อนจะพูดขึ้น “รอดูก่อนเถอะว่าฟู่ซวี่ตงจะว่ายังไง”
ทว่าสิ่งที่ทั้งสองไม่ทันคาดคิดก็คือ ฟู่ซวี่ตงได้โผล่มาตัวเป็น ๆในตอนนี้
เสิ่นหรูฮวนมองบุคคลที่ปรากฏตัวขึ้นกะทันหัน แววตาพลันเต็มไปด้วยความแปลกใจ “นาย…นายมาที่นี่ได้ยังไง?”
“ฉันอยากมาหาเธอ”
ฟู่ซวี่ตงจ้องมองตรงมาที่เสิ่นหรูฮวน สุดท้ายในใจก็สงบลง
สวรรค์ทราบดีว่าทำไมเขาถึงโผล่มาในช่วงครึ่งเดือนให้หลัง ครั้นเสร็จสิ้นภารกิจด้วยความยากลำบาก เขาก็รีบมาทันทีโดยไม่ได้หยุดพักเลยสักนิด เพียงแต่เขาไม่คิดว่าฉินมู่หลานก็อยู่ที่นี่ด้วย “พี่สะใภ้ คุณก็อยู่เหรอครับ”
ฉินมู่หลานได้ยินเช่นนี้ ก็ยกยิ้ม แล้วเอ่ย “ใช่แล้ว ฉันมาหาหรูฮวน ช่วงนี้หล่อนอารมณ์ไม่ค่อยดี ก็เลยมาเปิดอกระบายความในใจกับหล่อน” ขณะที่พูดก็มองฟู่ซวี่ตงด้วยสายตามีนัยยะ ก่อนจะเอ่ย “เป็นเพราะใครบางคนนี่แหละที่ทำให้น้ำหนักของหรูฮวนลดลงไปตั้งหลายกิโล”
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
ตระกูลเซี่ยจะมีบทบาทอะไรต่อไปหรือเปล่านะ ผังตระกูลดูซับซ้อน
ซวี่ตงคงรักหรูฮวนจริงๆ แหละ เสร็จภารกิจถึงรีบมาหาขนาดนี้
ไหหม่า(海馬)