ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก – ตอนที่ 240 แยกย้ายอย่างไม่เต็มใจ(1)

ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก

ตอนที่ 240 แยกย้ายอย่างไม่เต็มใจ(1)

ตอนที่ 240 แยกย้ายอย่างไม่เต็มใจ(1)

เมื่อได้ยินคำพูดของฉินมู่หลาน ฟู่ซวี่ตงก็รีบหันมองเสิ่นหรูฮวนทันที ก่อนจะพบว่าหล่อนซูบผอมลงไปจริง ๆ กระทั่งปลายคางยังดูแหลมเรียว

“หรูฮวน เป็นความผิดผมเองที่ไม่เคยนัดวันเวลาให้ครอบครัวของเราทั้งสองฝ่ายได้ไปเจอกัน แต่ครั้งนี้พ่อแม่ของผมจะว่างพรุ่งนี้ เพราะฉะนั้นเราสองครอบครัวมาพบปะพูดคุยกันเถอะ”

เสิ่นหรูฮวนได้ยินแบบนี้ก็เอ่ยถามด้วยความลังเลนิดหน่อย “เจอกันพรุ่งนี้จริงเหรอ พรุ่งนี้กี่โมง ที่ไหน?”

“พรุ่งนี้เก้าโมง ที่ภัตาคารจิงเฉิง พวกเราสองครอบครัวจะได้พูดคุยกินข้าวด้วยกัน”

เมื่อเห็นท่าทางมุ่งมั่นของฟู่ซวี่ตง รอยยิ้มก็ค่อย ๆ ปรากฎขึ้นบนใบหน้าของเสิ่นหรูฮวน “จริงเหรอ ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวฉันขอไปบอกแม่ก่อนนะ ให้พวกท่านได้ทันเตรียมตัวตั้งแต่เนื่น ๆ”

“บอกฉันเรื่องอะไรเหรอ”

ถงทิงผิงบังเอิญถือจานผลไม้เดินเข้ามาพอดี หล่อนทราบแล้วว่าฟู่ซวี่ตงมาที่บ้าน ซึ่งตัวหล่อนก็ชื่นชอบว่าที่ลูกเขยในอนาคตคนนี้เป็นอย่างมากอยู่แล้ว “ซวี่ตง มาแล้วเหรอ รีบเข้ามานั่งกินแอปเปิ้ลสักหน่อยสิ”

“ขอบคุณครับคุณป้า”

ฟู่ซวี่ตงรีบเอ่ยทักทายถงทิงผิงทันที

และเสิ่นหรูฮวนก็อดใจรอที่จะบอกแม่แทบไม่ไหวเกี่ยวกับเรื่องที่ทั้งสองครอบครัวจะพบปะกันในวันพรุ่งนี้

ถงทิงผิงได้ยินเช่นนี้ ก็ยกยิ้มแล้วรีบกล่าว “ได้เลย ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้พวกเราสองครอบครัวไปกินข้าวกันอร่อย ๆ ด้วยกัน แล้วค่อยพูดคุยตกลงกันให้เสร็จสรรพ”

ฉินมู่หลานเห็นว่าเสิ่นหรูฮวนอารมณ์ดีขึ้นในทันที นัยน์ตาจึงฉายแววรอยยิ้ม ก่อนจะยืนขึ้นแล้วพูดว่า “หรูฮวน ถ้าอย่างนั้นพวกเธอคุยกันให้เรียบร้อยนะ เดี๋ยวฉันขอกลับก่อน เจ้าหนูสองคนคงจะหิวแล้ว เพราะฉันก็เริ่มหิวแล้ว”

“มู่หลาน แล้วเดี๋ยวจะกลับมาอีกไหม”

เสิ่นหรูฮวนรู้สึกลังเลนิดหน่อย เพราะยังอยากพูดคุยกับเพื่อนสนิทอยู่

แต่ถงทิงผิงทราบดีว่าการดูแลลูกไม่ใช่เรื่องง่าย จึงหันมองแล้วพูดกับฉินมู่หลานพร้อมรอยยิ้ม “มู่หลาน งั้นเธอรีบกลับไปเถอะ ครั้งหน้าอย่าลืมพาเจ้าหนูสองคนมาเล่นที่บ้านด้วยนะ”

“ได้ค่ะ”

ฉินมู่หลานเอ่ยตอบพร้อมรอยยิ้ม จากนั้นก็จากไป

ฝ่ายเซี่ยเจ๋อหลี่เห็นว่าฉินมู่หลานกลับมาเร็วเช่นนี้ ก็รู้สึกแปลกใจนิดหน่อย “มู่หลาน ทำไมคุณกลับมาเร็วจัง”

“ซวี่ตงขอลางานกลับมาที่เมืองหลวงแล้ว ครอบครัวของเขาจะนัดเจอกับครอบครัวของเสิ่นหรูฮวนพรุ่งนี้ เพื่อพูดคุยเรื่องของเขากับหรูฮวนค่ะ”

ได้ยินเช่นนี้ เซี่ยเจ๋อหลี่ก็รู้สึกแปลกใจ

“ซวี่ตงก็ขอลามาเมืองหลวงเหรอ ถ้าอย่างนั้นมีเวลาคงได้เจอกันหน่อย” ขณะที่พูด เขาก็เอ่ยถามฉินมู่หลานเกี่ยวกับเรื่องที่ไปบ้านตระกูลเสิ่นอีกครั้ง “หรูฮวนมีเรื่องอะไรกวนใจอย่างนั้นเหรอ?”

ฉินมู่หลานไม่จำเป็นต้องปกปิดอะไร ก่อนจะเล่าตามตรง หลังจากนั้นก็พูดขึ้น “หวังว่าพรุ่งนี้ทั้งตระกูลฟู่กับตระกูลเสิ่นจะพูดคุยกันอย่างมีความสุข แล้วตกลงเรื่องของหรูฮวนกับซวี่ตงเร็ว ๆ นะคะ”

เซี่ยเจ๋อหลี่ก็เห็นด้วย จึงพูดขึ้น “ใช่แล้ว ตกลงกันตั้งแต่เนิ่น ๆ ก็ดี”

แม้ว่าพ่อแม่ของฟู่ซวี่ตงอาจจะไม่เห็นด้วยก็ตาม

“ถึงซวี่ตงจะไม่ทำตามที่เขาหวัง แต่พวกเขาก็ควรคิดถึงใจของลูกตัวเองด้วย ไม่ใช่ว่าทุกอย่างจะต้องทำตามที่พ่อแม่ขีดเส้นเอาไว้”

ฉินมู่หลานก็คิดเหมือนกัน เพียงแต่พ่อแม่ของฟู่ซวี่ตงอาจจะไม่ได้มีความคิดอะไรแบบนี้

หลังจากทั้งสองพูดคุยกันอีกนิดหน่อยก็ไม่ได้พูดเรื่องนี้ต่อแล้ว กลับพูดเรื่องการไปบ้านตระกูลเจี่ยงแทน “พ่อบุญธรรมอยากให้พวกเราไปค้างที่บ้านสองวัน พรุ่งนี้พวกเราก็ไปกันเถอะค่ะ”

เซี่ยเจ๋อหลี่ได้ยินแบบนี้ก็พยักหน้าตามเคย “ได้สิ พรุ่งนี้พวกเราไปกัน เดี๋ยวไปถามพ่อกับแม่สักหน่อย ว่าพวกเขาจะไปไหม”

“ค่ะ”

หลังจากเหยาจิ้งจือและเซี่ยเหวินปิงทราบว่าลูกชายกับลูกสะใภ้คนเล็กจะไปค้างที่บ้านตระกูลเจี่ยง พวเขาก็ยืนกรานว่าจะไปด้วยเหมือนกัน “พรุ่งนี้พวกฉันจะไปกับพวกเธอด้วย ไม่อย่างนั้นถ้าฉันกับพ่อเธอโดนทิ้งไว้ที่นี่คงน่าเบื่อแย่เลย” ถึงแม้นายท่านเหยาจะใจดีกับพวกเขามาก แต่ก็มีคุณนายเหยาที่ยังคอยหลบหน้าหลบตาพวกเขาอยู่ตลอด พวกเขาจึงอยากไปบ้านตระกูลเจี่ยงด้วย

“ได้ค่ะ ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้พวกเราไปกัน”

ฉินมู่หลานได้ยินแบบนี้ ก็พูดพลางยกยิ้ม

แต่พอนายท่านเหยาทราบเรื่องนี้ เขาก็ขอร้องให้พวกเขาอยู่ต่ออีกสองวัน “จิ้งจือ พ่อเข้าใจว่าลูกตกลงกับทางญาติสะใภ้เอาไว้แล้ว แต่พ่ออยากให้อาหลี่ไปทำเรื่องกับเหยาซานอีกนิดหน่อยก่อน พวกลูกรอก่อนได้ไหม”

“ทำเรื่องอะไรเหรอคะ?”

เหยาจิ้งจือเอ่ยถามด้วยความสงสัย แต่ไม่นานหล่อนก็คิดขึ้นได้

จริงหรือเนี่ย…

นายท่านเหยาบอกกล่าวตามตรง “ก่อนหน้านี้ตกลงกันเอาไว้แล้วว่าจะยกมรดกอีกครึ่งหนึ่งของตระกูลเหยาให้ลูกชายคนเล็กของลูก ตอนนี้อาหลี่ก็อยู่ที่เมืองหลวงพอดี ถ้าอย่างนั้นก็ไปดำเนินการให้เรียบร้อยเถอะ”

เหยาจิ้งจือนึกไม่ถึงว่านายท่านเหยาขอให้อยู่ต่ออีกสองวันเพราะเหตุผลนี้ หล่อนอยากจะเอ่ยปฏิเสธไปตามตรง แต่เมื่อนึกถึงเรื่องที่นายท่านเหยาเคยพูดเอาไว้ก่อนหน้านี้ หล่อนจึงไม่พูดอะไร และหันมองลูกชายคนเล็กแทน

เซี่ยเจ๋อหลี่ปฏิเสธทันที “ไม่ต้องหรอกครับคุณตา คุณตาเก็บเอาไว้กับตัวเถอะครับ”

“ไม่ได้ ตกลงกันเอาไว้เรียบร้อยแล้ว นอกจากนี้ตาก็ให้เหยาซานดำเนินการไปบางส่วนแล้ว รอแค่โอนเป็นชื่อของหลาน”

“ไม่ต้องจริง ๆ ครับคุณตา พวกเรา…”

แต่เซี่ยเจ๋อหลี่ยังไม่ทันเอ่ยจบ ก็โดนนายท่านเหยาขัดขึ้นเสียก่อน

เมื่อได้ยินเช่นนี้ เซี่ยเจ๋อหลี่กับฉินมู่หลานก็พากันจ้องมองนายท่านเหยาด้วยความสงสัย

แม้แต่เหยาจิ้งจือกับเซี่ยเหวินปิงก็ต้องหันไปมองด้วยอย่างช่วยไม่ได้

นายท่านเหยาลังเลอยู่สักพัก สุดท้ายก็ได้พูดออกมา “อาหลี่ มู่หลาน ตาอยากจะถามว่าพวกหลานสองคนจะมีลูกกันอีกได้ไหม?”

เมื่อได้ยินแบบนี้ ฉินมู่หลานกับเซี่ยเจ๋อหลี่ก็ตกตะลึงไป พวกเขาไม่คิดว่านายท่านเหยาจะเอ่ยถามเรื่องนี้

แต่เซี่ยเจ๋อหลี่ไม่ได้พูดอะไร และหันมองฉินมู่หลานแทน สำหรับเขาแล้วอย่างไรก็ได้หมด ประเด็นสำคัญอยู่ที่มู่หลาน ถ้ามู่หลานอยากตั้งท้องก็มีได้ แต่ถ้ามู่หลานไม่อยากตั้งท้องก็คงไม่มี

ฉินมู่หลานได้ยินสิ่งที่นายท่านเหยาเอ่ย ก็คาดเดาอะไรบางอย่างอยู่ภายในใจ แต่เธอไม่ใช่คนที่จะกำหนดเรื่องนี้ได้ เพราะมันขึ้นอยู่กับโชคชะตาด้วย “คุณตาคะ ตอนนี้ฉันยังรับประกันเรื่องนี้ไม่ได้ค่ะ เรื่องแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา ถ้าอยากมีก็คงมี แต่ถ้าไม่ก็คงไม่มีค่ะ”

นายท่านเหยาได้ยินแบบนี้ สีหน้าก็ดูตื่นเต้นนิดหน่อย “หลานสะใภ้ ที่หลานบอกนี่หมายความว่าอย่างไรกัน หรือว่าหลานยินยอมจะมีลูกอีกอย่างนั้นเหรอ?” หลังจากพูดจบ เขาก็เอ่ยถามอย่างระมัดระวัง “มู่หลาน ตาขอถามหน่อย หากว่าหลานมีลูกอีก จะให้ใช้แซ่เหยาได้ไหม?”

ฉินมู่หลานเดาเรื่องนี้ได้ตั้งแต่แรกแล้ว เมื่อได้ยินแบบนี้ก็ไม่ได้มีท่าทางตกใจอะไรมากมาย

เซี่ยเจ๋อหลี่กลับขมวดคิ้วขึ้น นึกไม่ถึงว่านายท่านเหยาจะมีความคิดเช่นนี้ แต่ในเมื่อภรรยายังไม่ว่าอะไร เขาจึงได้แต่อ้าปากโดยไม่มีคำพูดใดๆ

เหยาจิ้งจือกับเซี่ยเหวินปิงที่อยู่ข้าง ๆ ก็ตกใจเหมือนกัน แต่เรื่องนี้เป็นการตัดสินใจของลูกสะใภ้คนเล็ก พวกเขาจึงไม่พูดอะไรเหมือนกัน หันไปมองฉินมู่หลานแทน

ฉินมู่หลานเห็นว่าทุกคนในครอบครัวกำลังจ้องมองมาที่เธอ ก็คิดแล้วคิดอีก ก่อนจะพูด “คุณตาคะ ถ้าฉันมีลูกชายอีกคนจะให้ใช้แซ่เหยาก็ได้ค่ะ แต่ถ้าเป็นลูกสาวขึ้นมาล่ะคะ?”

นายท่านเหยาไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้ก่อนจะพูดขึ้น “ลูกสาวก็ดี ใครว่าลูกสาวสืบทอดตระกูลไม่ได้กัน”

เมื่อเห็นนายท่านเหยาพูดแบบนี้ ฉินมู่หลานก็ยกยิ้ม แล้วเอ่ย “คุณตาคะ ถ้าหากว่าคุณตาไม่ว่าอะไร เรื่องที่ฉันจะตั้งท้องได้อีกไหมนั้น ตอนนี้ยังเร็วไปที่จะบอก เอาไว้ค่อยพูดถึงหลังจากที่ฉันตั้งท้องแล้วดีกว่านะคะ”

“ได้ๆๆ เราอย่าเพิ่งพูดเรื่องนี้เลย”

………………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

รอลุ้นครอบครัวฟู่กับครอบครัวเสิ่นเลย จะคุยตกลงกันได้ไหมนะ

นายท่านเหยาคงคิดมาแล้วสินะว่าต่อไปจะมีนโยบายลูกคนเดียว ก็เลยจะให้ลูกคนที่สามของมู่หลานใช้แซ่เหยา

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก

ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก

Status: Ongoing
เมื่อแพทย์สาวมือฉมังพบว่าตนเองได้กลายเป็นหญิงอ้วนผู้เชี่ยวชาญด้านสมุนไพรในยุค 70 ผู้ไม่เป็นที่รักของสามี เธอจะเปลี่ยนเป็นคนใหม่ที่สามีคลั่งรักได้หรือไม่กันนะ?ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก[嫁七零糙汉后,我双胞胎体质藏不住]ผู้แต่ง : 钰儿เรื่องย่อหลังผชิญวรหนักจนวูบ ฉินมู่หลาน แพทย์สาวมือฉมังก็พบว่าตนองได้มาสวมร่างของหญิงอ้วนหลานสาวผู้เชี่ยวชาญด้นสมุนไพรในยุค 70 ผู้ไม่มีอะไรดีสักอย่างนอกจากได้สามีหล่อเหลานิสัยดีผู้แสนเย็นขาจากความลั่งรักของตัวเองจจับเขามาแต่งงด้วยสำเร็จ ซึ่งกรสวมวิญญาณในครั้งนี้เธอได้รับภารกิจหลักสามอย่าง หนึ่งคือสร้างเนื้อสร้างตัว สองคือลดน้ำหนักให้ตนเองทำงานทำการสะดวกขึ้น และสามคือทำให้สามีเป็นฝ่ายคลั่งรักเธอแทน คุณหมอฉินจะทำสำเร็จหรือไม่ จะเปลี่ยนเป็นฉินมู่หลานคนใหม่ที่สามีคลั่งรักได้หรือไม่กันนะ?

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท