สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย – บทที่ 766 เลือดที่ไหลรินจากศีรษะมนุษย์

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

บทที่ 766 เลือดที่ไหลรินจากศีรษะมนุษย์

บทที่ 766 เลือดที่ไหลรินจากศีรษะมนุษย์

ณ ประตูเมือง ศีรษะแถวหนึ่งแขวนเรียงกันอยู่ที่นั่น เลือดหยดจากศีรษะเหล่านั้นทีละหยดจนพื้นดินเบื้องล่างกลายเป็นแอ่งเลือดเล็ก ๆ

หลี่กู่หยวนยืนอยู่บนกำแพงเมือง มองผู้อพยพที่อยู่ตรงหน้าแล้วกล่าวว่า “เมืองฮู่เป่ยได้ประกาศปิดเมืองแล้ว เจ้าจะเข้ามาก็เข้ามาได้ หากแต่ศีรษะเหล่านั้นคือชะตากรรมของพวกเจ้า”

ผู้อพยพคุกเข่าลงกับพื้น อ้อนวอนร้องขอความเมตตา “ใต้เท้า ได้โปรดให้พวกเราเข้าไปด้วยเถิด! พวกเราสิ้นหวังแล้วจริง ๆ ไม่มีวิธีอื่นแล้ว”

“ผู้ใดให้พวกเจ้ามาที่นี่?”

“บ้านพวกเราอยู่ไม่ได้แล้ว จู่ ๆ ก็มีโจรกลุ่มหนึ่งบุกเข้ามาในหมู่บ้านของพวกเราแล้วเริ่มลงมือฆ่าคน พวกเราหนีเตลิดเปิดเปิงมาจนถึงเมืองฮู่เป่ย ผู้คนล้วนกล่าวว่าเมืองฮู่เป่ยเป็นแดนสวรรค์บนดิน พวกเราไม่ขอความมั่งคั่งหรืออำนาจ ขอเพียงแค่ทางรอดสายหนึ่งเท่านั้น”

ผู้บัญชาการที่อยู่ข้าง ๆ เริ่มทนไม่ไหว

ก่อนที่เขาจะได้เปิดปาก หลี่กู่หยวนก็เปิดปากเอ่ยก่อน “หากท่านเห็นใจพวกเขานัก ข้าจะโยนท่านลงไปอยู่เป็นเพื่อนพวกเขา”

ผู้บัญชาการทหารรักษาการ “…”

ผู้ใดเป็นแม่ทัพที่รับผิดชอบที่นี่กันแน่?

ช่างเถิด อีกฝ่ายเป็นศิษย์รักของฮูหยินลู่ อีกทั้งยังเป็นผู้ที่ได้รับความเคารพเป็นอย่างสูง เขาไม่อาจล่วงเกินได้

ประตูเมืองฮู่เป่ยปิดลงนับแต่ครึ่งเดือนก่อนแล้ว

จากข่าวที่อาจารย์ได้รับ กองทัพห้าหมื่นนายใกล้เข้ามาถึงที่นี่เต็มที คาดการณ์จากเวลา คงมาถึงในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้แล้ว

ผู้อพยพเหล่านี้มาถึงในเวลาไล่เลี่ยกัน อีกทั้งยังปรากฏตัวขึ้นในยามเช่นนี้ ย่อมน่าสงสัยอย่างยากที่จะหลีกเลี่ยง

ไม่ว่าจะเป็นเป็นผู้อพยพที่แท้จริงหรือไม่ เพื่อราษฎรทั้งเมืองฮู่เป่ย หลี่กู่หยวนย่อมไม่อาจปล่อยให้พวกเขาเข้ามาได้

“นายท่านหลี่ พวกเราพบรอยเท้ามากมายบริเวณเขาเฟิ่งอู๋ขอรับ” คนผู้หนึ่งเข้ามารายงานหลี่กู่หยวน

“ตีนเขาจัดเตรียมคนไว้กี่มากน้อย?”

“ห้าพันคนขอรับ”

“พบคนต้องสงสัยลงมาจากภูเขาบ้างหรือไม่?”

“ไม่ขอรับ”

“เช่นนั้น หมายความว่าพวกเขายังคงอยู่บนภูเขา” หลี่กู่หยวนลูบคางตนเอง “เจ้าจัดคนจำนวนหนึ่ง ไม่ต้องมากเกินไป เพียงแค่ร้อยกว่าคนก็พอ ให้ปลอมเป็นชาวบ้านแถวนั้นขึ้นเขาไปตรวจสอบความจริงที”

ผู้อพยพนอกเมืองยังคงร้องไห้อ้อนวอน เพียงแต่หลี่กู่หยวนสั่งไม่ให้เปิดประตูเมืองเป็นอันขาด จากนั้นจึงตามคนอื่น ๆ ไปยังเขาเฟิ่งอู๋

“เดิมทีเขาเป็นเพียงแค่คนตัวเล็ก ๆ ผู้หนึ่ง บัดนี้เมื่อปีนป่ายขึ้นไปหาฮูหยินลู่ก็เริ่มยึดอำนาจใต้เท้าของเราแล้ว เขานับเป็นสิ่งของอันใดกัน?” ทหารคนหนึ่งถอนหายใจออกมา

“พอเถอะ ไม่ต้องพูดแล้ว พวกเรามาทำสิ่งที่ฮูหยินลู่สั่งให้เสร็จเถอะ” ผู้บัญชาการทหารรักษาการขมวดคิ้ว

“ใต้เท้า ผู้อพยพเหล่านั้นน่าสงสารมากนะขอรับ…”

“พวกเราเพียงแค่ต้องทำตามคำสั่ง”

ทหารหลายนายมองหน้ากันไปมา จากนั้นจึงส่งสัญญาณให้อีกฝ่าย หนึ่งในบรรดาทหาร มีผู้หนึ่งลอบหนีไปอย่างเงียบ ๆ

ไม่นานหลังจากเปลี่ยนเวรยาม ผู้บัญชาการทหารรักษาการก็พบว่ามีทหารหายไปหลายนายจึงถามว่าเกิดอะไรขึ้น ทหารคนหนึ่งเลยเอ่ยขึ้นว่า “ฮูหยินลู่เตรียมการอย่างอื่นไว้ขอรับ นางจึงขอให้พวกเขาไปทำบางสิ่ง”

จู่ ๆ เหงื่อกาฬของผู้บัญชาการทหารรักษาการก็แตกพลั่กลงมาทันที

ดูเหมือนว่าสายของฮูหยินลู่จะมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง หรือความไม่พอใจที่พวกเขามีต่อหลี่กู่หยวนจะไปถึงหูนาง ผู้ใต้บังคับบัญชาที่ว่าร้ายลับหลังจึงถูกพาตัวออกไป

ผู้บัญชาการทหารรักษาการไม่กล้าคับข้องใจอีกต่อไป

ทั่วทั้งเมืองฮู่เป่ยล้วนเป็นฮูหยินลู่ที่เลี้ยงดูปูเสื่อ ความเป็นความตายของทั้งเมืองฮู่เป่ยเองก็อยู่ในมือของนางเช่นกัน หากกล้าที่จะต่อต้านนางในเวลาเช่นนี้ อาจจะถูกผลักออกไปเป็นไก่ที่เชือดให้ลิงดูก็เป็นได้

ณ ศาลาว่าการ มู่ซืออวี่ส่งจดหมายในมือให้รองนายอำเภอ

รองนายอำเภออ่านดูเนื้อความแล้วก็ตกใจจนเหงื่อออก

“เมืองหลูหยางถูกโจวเสียงเฟยยึดแล้ว!”

“เมืองหลูหยางอยู่ไม่ไกลจากที่นี่นัก” มู่ซืออวี่เอ่ย “นี่คือข่าวเมื่อสามวันก่อน กล่าวคือตอนนี้กองทัพของพวกเขาอยู่ใกล้ ๆ แล้ว”

หลี่กู่หยวนเดินเข้ามาจากด้านนอกแล้วเอ่ยกับมู่ซืออวี่ “อาจารย์ มีคนพบรอยเท้าจำนวนมากในเขาเฟิ่งอู๋ ศิษย์พาคนไปตรวจดูด้วยตนเอง จากรอยเท้าพบว่าไม่ได้เป็นคนของเรา คิดว่าเป็นโจรกลุ่มเล็ก ๆ ขอรับ ข้าส่งคนไปตรวจสอบให้มากกว่านี้แล้ว ทว่าไม่กล้าแหวกหญ้าให้งูตื่น ไม่รู้ว่าจะหาเจอหรือไม่ว่าคนเหล่านั้นหลบซ่อนอยู่ที่ใด”

“ทำได้ไม่เลว” มู่ซืออวี่เอ่ย “หากมหันตภัยนี้จบลงแล้ว อาจารย์จะเพิ่มน่องไก่ให้เจ้า”

หลี่กู่หยวนหัวเราะเบา ๆ “เช่นนั้น ศิษย์จะรอน่องไก่ของอาจารย์นะขอรับ”

“ฮูหยิน…” ติงเซียงเดินเข้ามา “ข้างนอกมีผู้อพยพมามากขึ้นแล้วเจ้าค่ะ ผู้อพยพเหล่านั้นถึงกับว่ายข้ามแม่น้ำนอกเมืองมา แต่ถูกคนของพวกเราพบเข้าเสียก่อน ตอนนี้จึงถูกขังไว้เจ้าค่ะ”

“ไต่สวนดูว่ามีสายลับปะปนเข้ามาหรือไม่”

ผู้อพยพมาขวางประตูเมืองมากขึ้นเรื่อย ๆ เสียงร้องของพวกเขาแทบทำให้ราษฎรในเมืองทนไม่ไหว แน่นอนว่ายังมีคนที่รู้ถึงอันตรายของเรื่องนี้ ดังนั้นไม่ว่าพวกเขาจะสงสารเพียงใดก็ไม่กล้าทำอะไรทั้งสิ้น

ในยามนี้ ราษฎรรู้สึกขอบคุณอย่างยิ่งที่ตนเป็นชาวเมืองฮู่เป่ย

“เมืองหลูหยางถูกยึดแล้ว”

“จริงหรือ?!”

“นี่ยังจะคิดว่าไม่จริงอีกหรือ? กองโจรอยู่ใกล้ ๆ นี้แล้ว พวกเราไม่อาจถ่วงแข้งถ่วงขาฮูหยินเป็นอันขาด”

วันรุ่งขึ้น ทหารกลุ่มหนึ่งของเมืองฮู่เป่ยก็พบกองทัพกบฏขณะตรวจค้นภูเขา ทั้งสองฝ่ายจึงเกิดการปะทะกันขึ้น

อีกฝ่ายพ่ายแพ้อย่างน่าอนาถและนำทหารที่เหลือหลบหนีไปแล้ว

ณ ที่แห่งหนึ่งไม่ไกลจากเมืองฮู่เป่ย ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ยืนอยู่หน้าแผนที่ มองดูแนวป้องกันทั่วทั้งเมืองฮู่เป่ย

“ใต้เท้า แผนที่นี้ไม่แม่นยำแล้วขอรับ”

“ได้ยินมาว่า สองเดือนมานี้พวกเขาเสริมกำลังการป้องกันเพิ่ม คนของเราส่งข่าวออกมาหรือยัง?”

“ไม่มีขอรับ เดิมทีเคยมีนกพิราบสื่อสารนำข้อความมา ทว่าบัดนี้นับประสาอะไรกับนกพิราบสื่อสาร เพราะแม้แต่นกก็ยังไม่ได้รับอนุญาตให้บินเหนือท้องฟ้าเมืองฮู่เป่ย”

“ภรรยาลู่อี้ผู้นี้รับมือได้ยากจริง ๆ เราควรจับนางไปเสียตั้งนานแล้ว มิเช่นนั้น นางคงไม่ได้รับมือยากอย่างในตอนนี้”

“ใต้เท้าท่านนั้นไม่อนุญาตให้แตะต้องนาง…”

“ข้าไม่รู้จริง ๆ ว่าเขาคิดอะไรอยู่ นึกไม่ถึงว่าจะยั้งมือกับสตรีผู้นั้นหลายครั้งหลายครา” โจวเสียงเฟยรู้สึกไม่พอใจยิ่ง “สตรีผู้นั้นคือตัวหายนะ มีคำกล่าวที่ว่าแม่ทัพอยู่ข้างนอกไม่ต้องฟังคำสั่ง เช่นนั้นอย่าได้ตำหนิข้าหากจะฆ่านางก่อนแล้วรายงานทีหลัง”

กลางดึกคืนนั้น คนหลายคนพยายามข้ามกำแพงเมือง ทว่ากลับถูกยิงตายด้วยลูกศรแบบสุ่ม

ดังนั้นวันถัดมา หน้าประตูเมืองจึงมีศีรษะเพิ่มขึ้นหลายศีรษะ

ไม่กี่ชั่วยามถัดมา กองทัพก็มาถึงนอกเมือง

“รีบไปแจ้งฮูหยินสิ พวกสารเลวพวกนั้นปรากฏตัวแล้ว!”

มู่ซืออวี่รุดมาหลังจากได้ยินข่าว นางยืนอยู่บนกำแพงเมือง มองดูกองทัพที่อยู่ด้านนอก

ฮูหยินลู่เห็นเพียงศีรษะมนุษย์ที่มากมายคับคั่ง พวกเขาถืออาวุธหลากชนิด มีแม้กระทั่งอาวุธขนาดใหญ่อย่างเช่นเครื่องเหวี่ยงหิน

เมื่อมองคนเหล่านั้นที่อยู่เบื้องหน้า พวกเขาล้วนเป็นผู้อพยพในชุดขาดรุ่งริ่ง ดวงตาของคนทั้งหมดเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง อีกทั้งยังมีเด็กน้อยที่กำลังร้องไห้ ฉากทั้งหมดนี้ราวกับแดนชำระบาปบนโลกมนุษย์

“ได้ยินว่าฮูหยินลู่เป็นพระโพธิสัตว์ที่ยังมีชีวิต มักจะช่วยเหลือผู้ที่ได้รับความลำบาก อีกทั้งยังได้รับการยกย่องจากผู้คนทั่วโลกหล้า ในเมื่อฮูหยินลู่ใจดีเพียงนี้ ข้าสงสัยนักว่านางจะทำเพียงเฝ้าดูผู้อพยพตายใต้คมดาบแม่ทัพผู้นี้หรือไม่!” โจวเสียงเฟยควบขี่ม้า มองไปทางมู่ซืออวี่ด้วยท่าทีโอหัง

“ตะโกน!” ทหารใช้ดาบแทงผู้อพยพ “รีบตะโกนว่า ‘ช่วยข้าด้วย ฮูหยินลู่โปรดให้ทางรอดแก่พวกเรา’ จำไว้พวกเราให้โอกาสพวกเจ้าแล้ว พวกเจ้าจะรอดหรือไม่ นั่นขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของนาง”

“ฮูหยินลู่ ขอเพียงแค่เจ้าเปิดประตูเมือง คนเหล่านี้ก็จะรอด!” สายตาของโจวเสียงเฟยเต็มไปด้วยความชั่วร้าย

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

Status: Ongoing
ใครกล้าทำร้ายวายร้ายตัวน้อยทั้งสอง ภรรยาตัวร้ายอย่างข้าไม่ปล่อยไว้แน่

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท