สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย – บทที่ 772 ผู้นำทัพกบฏ

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

บทที่ 772 ผู้นำทัพกบฏ

บทที่ 772 ผู้นำทัพกบฏ

ณ เมืองฮู่เป่ย

มู่ซืออวี่เองก็ได้รับข่าวแล้วเช่นกัน

“พวกเขามามากน้อยเพียงใด?”

“หนึ่งแสนนายขอรับ” รองนายอำเภอเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ

ทุกคนเงียบลงทันใด

ยามนี้ ภายในห้องมีทหารในชุดเกราะอยู่สิบกว่าคน พวกเขาส่วนใหญ่ล้วนไม่เคยเห็นสงครามมาก่อน ทว่าการต่อสู้สองสามครั้งที่ผ่านมา เนื่องจากพวกเขามีความสามารถที่โดดเด่นจึงเพิ่งได้รับการเลื่อนตำแหน่งตามคุณงามความชอบทางการทหาร

“ฮูหยิน พวกเขาล้วนมีอาวุธครบครันเช่นกัน” รองนายอำเภอกล่าวเสริม “จากข่าวที่ได้รับมา เพียงแค่ระเบิดนั้นก็มีไม่น้อยแล้ว”

“ศึกนี้จะเป็นศึกที่หนักหนาสาหัสอีกศึกหนึ่ง” มู่ซืออวี่กล่าว “พวกท่านกลัวหรือไม่?”

“ไม่กลัวขอรับ! เมืองอยู่คนอยู่ เมืองสิ้นคนสิ้น” สายตาของทุกคนล้วนแน่วแน่มั่นคง

มู่ซืออวี่เดินทางมายังกำแพงเมือง

นางทอดสายตาดูกองทัพที่อยู่เบื้องล่าง

“ฮูหยิน พวกเขาชูธงส่งสัญญาณว่าต้องการส่งคนมาเจรจาสงบศึกขอรับ”

“ลองฟังสิ่งที่พวกเขาจะพูดก่อน ตอบรับพวกเขาไป”

“ขอรับ!”

ผู้ถือธงฝั่งเมืองฮู่เป่ยจึงโบกธงตอบกลับไป

ไม่นานนักก็มีคนผู้หนึ่งควบม้ามาทางประตูเมือง

ประตูเมืองเปิดออกพอที่จะให้คนผู้นั้นผ่านเข้ามาได้

มู่ซืออวี่พบคนผู้นั้นในศาลาซึ่งอยู่ไม่ไกลจากประตูเมืองนัก

ผู้ที่มาเป็นชายวัยกลางคนอายุราวสี่สิบปีผู้หนึ่ง

เขาหน้าตาธรรมดาไม่มีอะไรโดดเด่น อีกทั้งยังไว้หนวดเครา ทว่าก่อนที่นางจะทันได้เปิดปาก เขาก็ยิ้มออกมา ทั้งยังทักทายมู่ซืออวี่อย่างใหญ่โต

“คารวะฮูหยินลู่”

“ท่านเป็นผู้ใด? ต้องการเจรจาอะไร?” มู่ซืออวี่เอ่ยด้วยท่าทีสงบ “นั่งลงแล้วค่อยพูดเถิด!”

“ขอบคุณฮูหยิน” ไต้เหวยติงนั่งลงฝั่งตรงข้าม “ข้าน้อยแซ่ไต้ นามเหวยติง ด้วยข้าเป็นอาจารย์สอนหนังสือมาเป็นเวลายี่สิบปีจึงรู้จักกันในนามอาจารย์ วันนี้ข้ามาที่นี่เพราะไม่อยากเห็นฉากโศกนาฏกรรมที่ผู้คนต้องล้มตายเป็นเบือ ฮูหยิน ผู้คนในใต้หล้าล้วนรู้ดีว่าท่านมีจิตใจอย่างพระโพธิสัตว์ ดังนั้น ท่านคงทนเห็นผู้บริสุทธิ์ล้มตายอย่างน่าเวทนาไม่ได้เป็นแน่”

“หากอาจารย์ไต้มาพบข้าเพียงเพื่อพูดเรื่องเหล่านี้ เช่นนั้นท่านก็ไปเถอะ ผู้ใดเป็นผู้ที่ทำให้เกิดสถานการณ์เลวร้ายเช่นนี้ขึ้นเล่า? เป็นข้าหรือ? นายของท่านจิตใจทะเยอทะยาน อีกทั้งผู้ที่ตายโดยไม่รู้อิโหน่อิเหน่เหล่านั้นก็ตายเพราะจิตใจที่ทะเยอทะยานของเขา หากพวกท่านอยากให้ข้าเปิดประตูเมืองยอมจำนน เช่นนั้นต่อจากนี้ก็ไม่จำเป็นต้องกล่าวอะไรอีกแล้ว ออกไปจากที่นี่ประเดี๋ยวนี้ สองกองทัพสู้กันไม่ฆ่าผู้ส่งสาร ข้าจะไม่ให้คนของข้าสร้างความลำบากใจให้ท่าน”

“ฮูหยินช่างแตกต่างจากสตรีทั่วไปยิ่งนัก ข้ารู้ว่าคารมคมคายของข้าเพียงอย่างเดียวย่อมไม่อาจโน้มน้าวใจฮูหยินได้ ทว่าฮูหยิน ท่านต้องคิดเพื่อราษฎรด้วย นายข้าเตรียมตัวมาอย่างดี ตอนนี้เขากำลังนำกองทัพใหญ่ใกล้เข้ามาแล้ว ขอเพียงแค่ออกคำสั่ง ถึงแม้เมืองฮู่เป่ยของท่านจะแข็งแกร่งเพียงใดก็ยังไม่ใช่คู่ต่อกรเรา ท่านอยากเห็นเมืองฮู่เป่ยที่สวยงามเช่นนี้กลายเป็นเพียงซากปรักหักพังจริง ๆ หรือ? ท่านอยากเห็นคนที่เชื่อท่านเหล่านั้นต้องตายเพราะไฟสงครามอย่างนั้นหรือ?”

“ท่านพูดจบแล้วหรือยัง?” หลี่กู่หยวนที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ เอ่ยขึ้นอย่างเยือกเย็น

ไต้เหวยติงลูบเคราตนเองแล้วผ่อนคลายสีหน้า “ขอเพียงแค่ฮูหยินเปิดประตูเมืองยอมจำนน นายข้ารับปากว่าจะไม่ทำร้ายผู้คนที่นี่ ไม่แตะต้องต้นไม้ใบหญ้าแม้เพียงต้นเดียว ก่อนหน้านี้เมืองฮู่เป่ยเป็นอย่างไร ต่อไปก็จะเป็นอย่างนั้น ขอเพียงแค่นายท่านทำสิ่งที่ต้องการลุล่วง ฮูหยินจะกลายเป็นวีรสตรี ชีวิตของท่านจะไม่ได้รับผลกระทบใด ๆ ทั้งสิ้น ชื่อเสียงและความมั่งคั่งจะยิ่งมากกว่าในตอนนี้เสียอีก”

“เช่นนั้น ท่านลองบอกข้ามาหน่อยว่า ข้าจะดียิ่งกว่าตอนนี้อย่างไร” มู่ซืออวี่ยิ้มบาง ๆ “ทุกคนล้วนทราบว่าฝ่าบาทให้ความสำคัญกับสกุลลู่ของเราเป็นอย่างมาก จะกล่าวว่าสกุลลู่ในตอนนี้อยู่ใต้คนเพียงผู้เดียว อยู่เหนือผู้คนนับหมื่นก็ไม่ได้ไร้เหตุผลนัก หากจะให้ดียิ่งกว่าตอนนี้ เช่นนั้นก็เหลือเพียงแค่นั่งตำแหน่งนั้นโดยตรงแล้ว หรือนายท่านลำบากลำบนวางแผนมานี่ ท้ายที่สุดก็เพื่อตัดชุดแต่งงานให้พวกเราอย่างนั้นหรือ? หากเป็นเช่นนั้นก็ไม่จำเป็นต้องยุ่งยากเพียงนี้ เพียงแค่มาจากที่ใดกลับไปที่นั่นก็พอแล้ว”

ไต้เหวยติง “…”

หลี่กู่หยวนยิ้มเยาะ “ไม่มีอะไรจะกล่าวแล้วหรือ?”

“อาจารย์ไต้ บอกนายของท่านว่า หากต้องการให้เมืองฮู่เป่ยยอมจำนน เช่นนั้นก็ต้องข้ามศพข้าไปก่อน” มู่ซืออวี่มองไต้เหวยติงด้วยสายตาคมกริบ “คนเมืองฮู่เป่ย ตายในสนามรบได้แต่ไม่ยอมจำนนเป็นอันขาด!”

ทันทีที่เมืองฮู่เป่ยยอมจำนน เมืองที่อยู่ถัดไปย่อมไม่อาจขวางกองทัพใหญ่ของพวกเขาได้ นั่นจึงจะเป็นหายนะที่แท้จริง

“ฮูหยินไม่นึกถึงสามีตนเองบ้างหรือ?” ไต้เหวยติงถอนหายใจออกมาเบา ๆ “ใต้เท้าลู่หายไปนานเพียงนี้ ฮูหยินไม่สงสัยแม้เพียงนิดหรือว่าเขาอยู่ที่ใด?”

“สามีของข้าเหนือศีรษะคือแผ่นฟ้าใต้ฝ่าเท้าคือแผ่นดิน*[1] เขาไม่มีทางตกไปอยู่ในมือของคนชั่วร้ายเช่นพวกท่าน กล่าวคือ ถึงแม้เขาจะโชคร้ายตกหลุมพรางพวกท่าน เขาก็ไม่มีทางยินดีให้ข้าใช้ทั้งเมืองแลกตัวเขา อย่างมากหากเกิดอะไรขึ้นกับเขาจริง ๆ ข้าก็จะตามไปอยู่กับเขาที่วังพญายม ทว่าข้าไม่มีทางให้คนทั้งแผ่นดินมาชำระบัญชีนี้แทนพวกข้าสามีภรรยา บอกนายของท่านด้วยว่าอย่าได้คิดเล่นลูกไม้!”

สุดท้ายผู้ที่มาเจรจาก็จากไปอย่างหมดหวัง

เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายต้องการข่มขู่มู่ซืออวี่ จะดีที่สุดหากชนะโดยไม่ต้องต่อสู้

“อาจารย์ หากใต้เท้าลู่อยู่ในมือพวกเขาจริง ๆ…”

“ไม่มีทาง” มู่ซืออวี่เอ่ย “หากเขาตกอยู่ในมือพวกนั้นจริง คงไม่ต้องรอจนกระทั่งถึงบัดนี้ พวกเขาจะนำลู่อี้มาข่มขู่ข้าตั้งแต่แรกแล้ว”

“นั่นก็ถูก”

“กู่หยวน เจ้าคิดว่าการตัดสินใจของข้าถูกต้องหรือไม่?” มู่ซืออวี่รู้สึกสับสนขึ้นมา “อีกฝ่ายมีทหารเรือนแสน ทั้งยังมีอาวุธที่เราคาดไม่ถึง การติดสินใจของข้ากระทบต่อความเป็นความตายของผู้คนมากมาย คนเหล่านั้นล้วนมีครอบครัว หากเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา ครอบครัวของพวกเขาก็จะเดือดร้อนไปด้วย ทั้งหมดนี้ล้วนเกิดจากการตัดสินใจของข้า”

“อาจารย์ อย่าได้เชื่อถ้อยคำจากปากของกบฏเหล่านั้น ท่านเคยได้ยินว่าหมาป่าเป็นพวกกินพืชหรือ? พวกเขาไม่ลังเลที่จะก่อสงคราม แม้นจะต้องสร้างความโกลาหลให้กับแผ่นดิน พวกเขายังคงจะชิงอำนาจและผลประโยชน์ ทั้งหมดนี้เป็นเพราะความทะเยอทะยานของพวกเขาเอง”

ไต้เหวยติงกลับไปยังค่ายกบฏ ถ่ายทอดเนื้อหาการเจรจาให้ผู้นำทัพกบฏฟัง

ผู้นำทัพกบฏเซียวหลีนั่งอยู่ตรงนั้น เคาะนิ้วลงบนโต๊ะเบา ๆ

“การจัดกำลังคนของเมืองฮู่เป่ยเป็นอย่างไร?”

เสียงของเซียวหลีแหบแห้งและทุ้มต่ำ มันมืดมนพอ ๆ กับสีหน้าของเขา ทำให้คนรู้สึกอันตรายเป็นอย่างยิ่ง

“เข้มงวดเป็นอย่างยิ่งขอรับ” ไต้เหวยติงเอ่ย “ขวัญกำลังใจของพวกเขาก็ดียิ่ง แต่ละคนล้วนอยู่ในสภาพที่ดีที่สุด”

โจวเสียงเฟยที่อยู่ข้าง ๆ เอ่ยขึ้น “นายท่าน พวกเรามีอาวุธที่ดีที่สุด บุกโจมตีพวกเขาตรง ๆ เถิด ไม่ต้องสุภาพต่อพวกเขาแล้ว”

เซียวหลีมองโจวเสียงเฟยอย่างเยียบเย็น

สีหน้าของโจวเสียงเฟยแปรเปลี่ยนโดยพลัน “นายท่าน ไม่ใช่ข้าน้อยไร้ความสามารถ แท้จริงแล้วเป็นเพราะสตรีแซ่มู่ผู้นั้นเจ้าเล่ห์เกินไป นอกจากนี้ นางยังเชี่ยวชาญด้านกลไกเป็นพิเศษ พวกเราต้านทานนางไม่ทันจริง ๆ”

“อีกครึ่งชั่วยาม โจมตีเข้าไป จำไว้ว่าข้าต้องการจับเป็นมู่ซืออวี่” เซียวหลีมองโจวเสียงเฟยอย่างเย็นชา “หากเจ้ากล้าทำร้ายนางแม้เพียงปลายผม ตาย!”

“ขอรับ” โจวเสียงเฟยรู้สึกหนาวเหน็บอยู่ภายในใจ เขารีบรับคำอย่างรวดเร็ว

เมื่อออกมาจากกระโจม รองแม่ทัพก็เอ่ยขึ้น “เหตุใดนายท่านจึงให้ความสำคัญกับสตรีเพียงคนเดียวถึงขนาดนี้”

“สตรีเพียงคนเดียวที่เชี่ยวชาญด้านกลไก อีกทั้งยังหาเงินเก่ง นางเป็นสตรีธรรมดาทั่วไปหรือไร? หากไม่ใช่เพราะนางมองไม่เห็นความปรารถนาดีของผู้อื่นจนเกินไป ข้าก็อยากควบคุมนางไว้ในกำมือเช่นกัน” โจวเสียงเฟยเอ่ยอย่างฉุนเฉียว “ทว่ากระดูกของสตรีผู้นั้นแข็งกว่าบุรุษเสียอีก คิดจะจับนางทั้งเป็น หากไม่ทำลายทั้งเมืองฮู่เป่ย เกรงว่าจะจับนางไม่ได้แล้ว!”

[1] ข้าเหนือศีรษะคือแผ่นฟ้าใต้ฝ่าเท้าคือแผ่นดิน แสดงถึงความเที่ยงตรง กล้าหาญ

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

Status: Ongoing
ใครกล้าทำร้ายวายร้ายตัวน้อยทั้งสอง ภรรยาตัวร้ายอย่างข้าไม่ปล่อยไว้แน่

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท