บทที่ 778 ทัพหนุนมาถึง เก็บกวาดความวุ่นวาย
บทที่ 778 ทัพหนุนมาถึง เก็บกวาดความวุ่นวาย
หลี่กู่หยวนพาคนของเขาที่ทำผลงานครั้งใหญ่กลับมารายงานให้มู่ซืออวี่ฟัง
“อาจารย์ ท่านไม่เห็นว่าพวกเขาน่าอนาถเพียงใด ช่างน่าพอใจยิ่งนัก!”
“ใช่แล้ว! ล้วนต้องขอบคุณวิธีการที่แสนชาญฉลาดของฮูหยิน เมืองฮู่เป่ยของพวกเราจึงต้านทานหายนะจากฝีมือมนุษย์ในครานี้ได้ เหล่าพี่น้องด้านล่างต่างก็กล่าวว่าฮูหยินเป็นเทพธิดากลับชาติมาเกิดถึงได้ไร้เทียมทานเช่นนี้”
“พวกเจ้าเหนื่อยแล้ว รีบกลับไปพักผ่อนเถอะ! รอพวกเจ้าพักผ่อนก่อน เราค่อยมาฉลองดี ๆ กันสักครั้ง”
“ขอบคุณฮูหยินที่ใส่ใจ ทว่าได้เห็นสุนัขเหล่านั้นถูกสวรรค์จัดการ ข้าน้อยตื่นเต้นยิ่งนัก แทบรอไปบอกข่าวดีนี้กับทุกคนทั้งเมืองฮู่เป่ยไม่ไหวแล้ว”
“จู้จือ เจ้าอย่าได้พูดจาเหลวไหลต่อหน้าฮูหยิน” หลี่กู่หยวนขมวดคิ้ว เหลือบมองลูกน้องของตนที่ตื่นเต้นจนเกินพอดี
“ข้าเป็นคนหยาบคาย ฮูหยินได้โปรดอย่าถือสา ภายหน้าข้าจะไม่พูดจาเหลวไหลอีก” จู้จือรีบขออภัยทันที
“ไม่เป็นไร เจ้าเองก็เป็นคนจริงใจ” มู่ซืออวี่ยิ้มบาง “เพียงแต่พวกเจ้าไม่ได้พักผ่อนมาหลายวันเพราะเรื่องนี้ ไปพักผ่อนก่อนเถิด จะได้ไม่ส่งผลกระทบต่อร่างกาย”
ฝนตกลงมาหนักขึ้นเรื่อย ๆ ในพริบตาก็กระหน่ำเทลงมาจนแม้กระทั่งดวงตายังแทบลืมไม่ขึ้น
มู่ซืออวี่สั่งให้ลู่ซวิ่นคอยเฝ้าทางประตูเมืองว่าพวกกบฏมีกองหนุนอีกหรือไม่
อันที่จริงแล้ว นางประเมินความสามารถของคนเหล่านั้นสูงเกินไป
เมื่อพวกกบฏถูก ‘น้ำท่วมจากฝีมือมนุษย์’ กลืนหายไป บางคนโชคดีพอที่จะรักษาชีวิตตนเองเอาไว้ได้ ขณะที่บางคนไม่ได้โชคดีเพียงนั้น เกรงว่าจะผสานเป็นหนึ่งเดียวกับโลกและหายไปในแม่น้ำโดยสมบูรณ์แล้ว
ร่างกายของพวกเขาจะจมลงสู่ก้นแม่น้ำ บางทีอาจมีวันได้โผล่ขึ้นมาพบเจอกับแสงสว่างของวันอีกครั้ง แต่บางทีก็อาจจะเป็นอาหารให้กุ้งให้ปลาที่ก้นแม่น้ำไปตลอดกาล สรุปคือ ไม้ตายครั้งนี้ทำให้พวกกบฏเสียหายอย่างหนัก ผู้ใดรอดมาได้นับว่าโชคดีมาก
“เหตุใดเจ้ายังไม่ไปพักผ่อนเล่า?” มู่ซืออวี่เห็นหลี่กู่หยวนกลับมาอีกครั้งจึงโบกมือไล่เขา “กลับไปพักผ่อนเถอะ! อย่าได้คิดว่าเพราะเจ้ายังเด็ก แล้วจะไม่ให้ความสำคัญกับร่างกายตนเองได้”
“อาจารย์ ร่างกายข้าแข็งแรงดีนะ!” หลี่กู่หยวนเดินเข้ามา “อาจารย์ ท่านยังรอฟังข่าวอยู่หรือ? เช่นนั้นข้าจะรอเป็นเพื่อน”
“ข้ารอข่าวจากทัพหนุนอยู่”
“ทัพหนุนของเรามาถึงแล้วหรือ?”
“นับ ๆ ดู คงใกล้ถึงแล้ว เพียงแต่ตอนนี้ยังไม่ได้เข้าเมืองมา” มู่ซืออวี่เอ่ย “ฝนนี้มาเร็วนัก เกรงว่าพวกเขาจะไม่มีที่หลบฝนเสียด้วยซ้ำ ไม่รู้ว่าตอนนี้จะไปหลบฝนอยู่ที่ใด”
“รายงาน!” คนผู้หนึ่งควบม้าเข้ามาจากนอกเมืองพร้อมกับธง “ข้าน้อยเป็นผู้ตรวจสอบคดีใต้บังคับบัญชาท่านแม่ทัพเฟิง มารายงานล่วงหน้าขอรับ”
“เปิดประตูเมือง!” มู่ซืออวี่สั่ง
ประตูเมืองเปิดออก ผู้ตรวจสอบคดีถูกทหารนำขึ้นมายังกำแพงเมือง ก่อนจะคุกเข่าลงตรงหน้ามู่ซืออวี่เพื่อรายงานเรื่องทัพหนุน
“เจ้าหมายความว่าพวกเขาตรงไปสนามรบเพื่อไล่ล่าพวกกบฏงั้นหรือ?” มู่ซืออวี่เอ่ย “กระแสน้ำเชี่ยวไม่น้อย พวกเขาไม่เป็นไรกระมัง?”
“ฮูหยินวางใจเถิด ท่านแม่ทัพกำลังนำทหารหลายหมื่นคนไปตามล่าพวกเดนตาย พวกเขาอยู่ค่อนข้างห่างจากกระแสน้ำทีเดียว ย่อมไม่ได้รับผลกระทบอะไร เพียงแต่ท่านแม่ทัพกังวลว่าฮูหยินอยู่ที่นี่จะเป็นกังวล จึงให้ข้าน้อยล่วงหน้ามาก่อนหนึ่งก้าวเพื่อรายงานสถานการณ์ให้ฮูหยินทราบขอรับ”
“อืม เจ้าไปพักผ่อนก่อนเถอะ”
“ขอบคุณฮูหยิน”
ทัพหนุนมาถึงแล้ว เรื่องราวในสนามรบย่อมปล่อยให้เป็นหน้าที่ของบุรุษ ส่วนมู่ซืออวี่รับผิดชอบในการเก็บกวาดความวุ่นวายเมืองฮู่เป่ย
หลายวันมานี้มีทหารได้รับบาดเจ็บไปไม่น้อย และที่ล้มตายไปก็มาก เพียงแค่คำนวณตัวเลขก็ใช้เวลาไปมากโข อีกทั้งยังต้องตระเตรียมจัดการให้ดี
“ท่านแม่ ข้ารวบรวมสถิติไว้แล้ว” ลู่จื่ออวิ๋นวางหนังสือเล่มเล็กหลายเล่มลงตรงหน้ามู่ซืออวี่ “เหล่านี้เป็นรายชื่อทหารทั้งหมดที่ตายในสนามรบ”
“ได้จดบันทึกทะเบียนสำมะโนครัวของพวกเขาไว้อย่างชัดเจนหรือไม่?”
“ทั้งหมดล้วนจดบันทึกไว้อย่างชัดเจนแล้วเจ้าค่ะ” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ย “ตอนที่พวกเขาเข้าร่วมกองทัพ ข้อมูลของทุกคนได้บันทึกไว้ชัดเจนแล้ว จากนั้นแต่ละคนจะได้รับป้ายไม้ ตอนนี้ล้วนอยู่ที่นี่แล้วเจ้าค่ะ”
มู่ซืออวี่เปิดดูหนังสือเล่มเล็กเหล่านั้น
“อีกทั้งข้ายังได้บันทึกผู้ที่มีความชอบและผู้ที่ได้รับบาดเจ็บเอาไว้แล้ว ตอนนี้ขาดแค่เพียงชาวบ้านที่อยู่นอกเมืองที่ยังไม่ได้รับการจดบันทึก อย่างไรเสีย ครั้งนี้พวกเขาก็มีส่วนร่วมเป็นอย่างมาก พวกเราย่อมต้องตอบแทนพวกเขาเช่นกัน”
“เจ้าช่วยแม่ได้มากแล้ว ช่วงนี้วุ่นวายนัก เจ้ายังช่วยตระเตรียมสิ่งเหล่านี้ได้อย่างดี แสดงให้เห็นว่าแต่ละวันล้วนใส่ใจทุ่มเทให้กับสถานการณ์รบมาโดยตลอด”
“ท่านแม่ คนที่ลอบสังหารท่านแม่เหล่านั้นล้วนเป็นมือสังหาร พวกเขาถูกจัดให้ฝึกอยู่ในสถานที่ลับแห่งหนึ่ง นอกจากการสังหารคนแล้วเรื่องอื่นล้วนไม่รู้ทั้งสิ้น แต่พวกเขาล้วนมีรอยสักลายเสือดาวบนร่างกาย”
“อันที่จริง ข้าเดาได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ แล้วว่า การกบฏครั้งนี้เกี่ยวข้องกับกลุ่มคนเหล่านั้น ความจริงหลายปีมานี้ ถึงแม้คนของกลุ่มนั้นจะไม่ได้ประกาศศักดาอย่างโจ่งแจ้ง แต่กลับมีร่องรอยของพวกเขาอยู่ทุกหนแห่ง”
“ผู้นำกบฏผู้นั้นคือซื่อจื่อหลีอ๋องที่หลบหนีไปในตอนนั้นหรือเจ้าคะ?”
“ไม่ใช่จ้าวจื่อโม่” มู่ซืออวี่ส่ายหน้า “ตอนอยู่เมืองหลีข้าเคยถูกลักพาตัวและได้พบกับคนผู้หนึ่ง เขาสวมหน้ากาก ข้าไม่ได้เห็นหน้าตาของเขา ทว่าดวงตาคู่นั้นข้าจดจำได้ เป็นเขา”
หลายชั่วยามต่อมา ทหารรายงานว่า ‘ทัพหนุนมาถึงประตูเมืองแล้ว’
ก่อนที่มู่ซืออวี่จะไปถึงประตูเมือง นางก็ได้ยินเสียงไชโยก้องฟ้าเมืองฮู่เป่ย
ประตูเมืองเปิดออก ทหารที่นำทัพโดยแม่ทัพเฟิงและลู่ฉาวอวี่ก็ค่อย ๆ เคลื่อนขบวนเข้ามาในเมือง
สายตาของลู่ฉาวอวี่จ้องมองไปที่มู่ซืออวี่และลู่จื่ออวิ๋น
มู่ซืออวี่เห็นสีหน้าสงบเช่นนั้นของลูกชาย ก็รู้ว่าเจ้าเด็กคนนั้นจะต้องเป็นกังวลมากเป็นแน่ เพียงแต่สีหน้าเฉยชานั่นถ่ายทอดมาจากบิดาของเขาจริง ๆ หากไม่รู้จักอีกฝ่ายดีพอ เดิมทีคงมองไม่ออกแม้แต่น้อย
“ฮูหยิน ลำบากแล้ว” แม่ทัฟเฟิงลงจากหลังม้าและคุกเข่าให้มู่ซืออวี่
“ท่านแม่ทัพเฟิงรีบลุกขึ้นเถิด”
ถึงแม้มู่ซืออวี่จะเป็นฮูหยินอัครมหาเสนาบดี อีกทั้งยังได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เก้ามิ่งขั้นหนึ่ง ทว่าแม่ทัพเฟิงเป็นขุนนางของราชสำนัก ไม่จำเป็นต้องคุกเข่าให้นาง เขาคุกเข่าครั้งนี้ย่อมมาจากใจจริง
“พวกท่านเดินทางมาเหนื่อยมากแล้ว พักผ่อนก่อนเถิด!”
“ยังมีกากเดนกบฏอยู่ใกล้ ๆ นี้ ข้าเกรงว่าจะเป็นอันตรายต่อราษฎร หลังจากพักผ่อนแล้วข้าจะไปกำจัดพวกกบฏอีกครั้ง”
พวกเขากลับเข้าเมืองมา สาเหตุหลักเป็นเพราะทหารล้วนเหน็ดเหนื่อยจึงต้องการผักผ่อนให้เต็มที่
นอกจากนี้ฝนยังตกหนักเกินไป ส่งผลต่อการตัดสินใจของพวกเขา หากไม่เข้าใจสถานการณ์ในเมืองฮู่เป่ย และกระทำผลีผลาม รังแต่จะทำให้ล่าช้าลง เขาจึงกลับมาทำความเข้าใจกับสถานการณ์เสียก่อน ค่อยหารือกลยุทธ์ในการโต้ตอบ
มู่ซืออวี่ส่งต่อแม่ทัพเฟิงและนายทหารคนอื่น ๆ ให้กับรองนายอำเภอเป็นผู้ดูแล
ยกเว้นก็แต่ลู่ฉาวอวี่ นางเอ่ยถามว่าเขาเป็นขุนนางบุ๋น เหตุใดจึงมาข้องเกี่ยวกับสงครามได้
ลู่ฉาวอวี่ตอบ “ท่านพ่อขาดการติดต่อไป ท่านแม่และน้องสาวน้องชายของข้าล้วนอยู่ที่เมืองฮู่เป่ย ถึงแม้ข้าจะเป็นขุนนางพลเรือน แต่หากไม่เห็นว่าพวกท่านสบายดีกับตา จะรั้งอยู่ที่เมืองหลวงด้วยจิตใจที่สงบได้อย่างไร?”
“ท่านพี่ ท่านไม่ต้องกังวล พวกเราล้วนสบายดี” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ย “จริงสิ ข้าจะแนะนำให้ท่านรู้จัก นี่เป็นลูกศิษย์ที่ท่านแม่รับมาใหม่ หลี่กู่หยวน”
หลี่กู่หยวนประกบมือทักทายลู่ฉาวอวี่
ลู่ฉาวอวี่เหลือบมองเขาแวบหนึ่ง แล้วพยักหน้าน้อย ๆ
เมื่อเทียบกับความอ่อนโยนของลู่จื่ออวิ๋นแล้ว ลู่ฉาวอวี่ดูไม่แยแสสิ่งใดอีกทั้งยังขาดความเป็นมนุษย์ อย่างไรก็ตาม หลี่กู่หยวนเข้าใจความทะนงตนของ ‘ผู้แข็งแกร่ง’ เหล่านี้เป็นอย่างดี เพียงแต่เขาสนใจใคร่รู้เล็กน้อย ทั้ง ๆ ที่มีใบหน้าเดียวกัน เหตุใดผู้หนึ่งจึงชวนให้คนลุ่มหลงในเสน่ห์ ส่วนอีกผู้หนึ่งกลับดูยิ่งใหญ่เกรียงไกรเพียงนี้?
“มองพอแล้วหรือยัง?” ลู่ฉาวอวี่เริ่มไม่พอใจ
หลี่กู่หยวนแตะใบหน้าตนแล้วยิ้มฝืดเฝื่อน “มองพอแล้ว”