บทที่ 781 ความทรงจำที่ไม่เคยลืมเลือนของลู่อี้
บทที่ 781 ความทรงจำที่ไม่เคยลืมเลือนของลู่อี้
“กลไกแบบใดหรือ?” มู่ซืออวี่เอ่ยถาม “ท่านลองวาดออกมาได้หรือไม่?”
“แน่นอน”
มู่ซืออวี่จุดเทียนเพิ่มอีกสองสามเล่มเพื่อให้ห้องสว่างขึ้น
ลู่อี้นั่งลงที่โต๊ะประจำของเขา พู่กันในมือขยับอย่างน่าอัศจรรย์ ภาพวาดที่ชัดเจนถูกวาดออกมาภาพแล้วภาพเล่า
มู่ซืออวี่มองดูภาพวาดเหล่านั้น แล้วหลงลืมสิ่งต่าง ๆ รอบตัวไปชั่วขณะ เพราะจมจ่อมอยู่กับความลึกลับของกลไกนี้
ลู่อี้วาดภาพเดียวเป็นเวลาสองชั่วยาม เมื่อเขาหยุดมือก็พบว่ามือของเขาทั้งชาทั้งปวด
เขาสะบัดมือแล้วหันไปมองภรรยาที่นั่งอยู่ตรงกันข้าม
มู่ซืออวี่จัดเรียงภาพวาดแล้วกล่าวว่า “เรียงตามลำดับนี้ใช่หรือไม่?”
“ใช่ เป็นเช่นนี้” ลู่อี้เอ่ยถาม “มีอะไรสำคัญหรือ?”
“กลไกเหล่านี้เกี่ยวเนื่องซึ่งกันและกัน หากขาดไปเพียงจุดใดจุดหนึ่งก็จะไม่ทำงาน กลไกประเภทนี้จะกล่าวว่าทะลวงง่ายก็ทะลวงง่าย จะกล่าวว่าทะลวงยากก็ทะลวงยาก หากเป็นคนที่เข้าใจหลักการของมัน ย่อมทะลวงได้ง่าย แต่หากไม่เข้าใจ เช่นนั้นก็ทำได้เพียงรอความตายแล้ว พวกท่านกลับมาได้ทั้งยังมีชีวิต ถือว่าเป็นปาฏิหาริย์จริง ๆ ทว่า ข้าเข้าใจความสามารถด้านกลไกของใต้เท้าฉี อันที่จริง เขาไม่น่าจะอับจนหนทางได้ง่ายขนาดนี้!”
“บางทีอาจเป็นเพราะตอนนั้นเราถูกไอพิษแล้ว ไม่ต้องเอ่ยถึงเขา แม้กระทั่งข้ายังหมดสติไป หากไม่ใช่เพราะสัญชาตญาณหลบหลีกอันตรายต่าง ๆ คราวนี้เจ้าคงได้เป็นม่ายไปแล้ว”
“อย่าได้กล่าวเช่นนี้อีก” มู่ซืออวี่เอ่ยอย่างขุ่นเคือง “ต่อไปหากท่านยังเอ่ยคำอัปมงคล ท่านก็ไปนอนในคอกม้าเสีย ไม่ต้องกลับมาพักผ่อนที่ห้องข้าแล้ว”
ลู่อี้กอดกระชับนางไว้ในอ้อมแขน “ข้าหิวแล้ว ฮูหยิน มีอาหารมื้อดึกให้ทานหรือไม่?”
“ยามนี้บ่าวรับใช้เข้านอนกันหมดแล้ว ไฟในครัวก็ดับเรียบร้อย หากอยากกินอาหารมื้อดึก เช่นนั้นก็ไปก่อไฟเถิด ไม่เช่นนั้นก็ต้องหิวต่อไป”
“ข้าฟังฮูหยิน ขอแค่เพียงได้อยู่กับเจ้า อย่าว่าแต่ให้ข้าก่อไฟเลย แม้จะให้ข้าล้างเท้าให้ ข้าก็ยินดีทำ”
ลู่อี้ก่อไฟ ในขณะที่มู่ซืออวี่กำลังนวดแป้ง
ในห้องครัวที่กว้างขวาง ชายหญิงสองคนแต่งกายด้วยอาภรณ์หรูหราง่วนอยู่กับการทำอาหารเหมือนกับคู่สามีภรรยาทั่วไป
ยามปกติทั้งคู่มักจะสร้างความประทับใจต่อหน้าลูกน้องเสมอ ทว่าในเวลานี้พวกเขาเป็นเพียงคนธรรมดา ใช้ชีวิตคู่เหมือนคนทั่วไป
คนผู้หนึ่งยืนอยู่หน้าประตู เฝ้ามองทั้งสองคนในห้องครัว
มู่ซืออวี่เป็นคนแรกที่สังเกต เมื่อเห็นเขายืนอยู่ตรงนั้นจึงเอ่ยทัก “เจ้าคงไม่ได้เพิ่งกลับมาจากศาลาว่าการใช่หรือไม่?”
“ขอรับ” ลู่ฉาวอวี่ยกมือลูบท้องตนเอง “ข้าก็หิวแล้ว”
“ได้ เช่นนั้นช่วยทำน้ำจิ้มเถอะ” มู่ซืออวี่เอ่ย “ครอบครัวเราไม่มีของให้เปล่าหรอกนะ”
“เจ้าต้องกลับเมืองหลวงแล้วใช่หรือไม่?” ลู่อี้เอ่ยถาม
“เดิมทีก็เพียงแค่มาช่วย ตอนนี้สงครามสิ้นสุดลงแล้ว หลังจากนี้มีหลายเรื่องที่ต้องจัดการ นอกจากนี้ ทางเมืองหลวงยังต้องการคนดูแล ท่านพ่อกับใต้เท้าฉีกลับไปไม่ได้เป็นการชั่วคราว ข้าจึงต้องกลับไปก่อน”
“ได้ เช่นนั้นก็พาคนไปมากขึ้นหน่อย ข้ากังวลว่าพวกโจรเหล่านั้นแพ้แล้วจะไม่ยอมถอดใจ เห็นว่าเจ้าเป็นเพียงเด็กหนุ่มคนหนึ่งกลั่นแกล้งได้ง่าย แล้วจะดักซุ่มทำร้ายระหว่างทาง”
“ข้าทราบแล้ว” ลู่ฉาวอวี่เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ “พวกเขาอย่าได้ปรากฏตัวออกมาจะดีกว่า เพราะหากปรากฏตัวออกมาละก็ ข้าอาจจะได้มีโอกาสสร้างความชอบ”
“เย่อหยิ่งจริงเชียว”
“ท่านพ่อเคยสอนข้า หากเตรียมตัวพร้อมทุกอย่างเรียกว่ามีความมั่นใจ ผู้ที่ถือดีจึงจะเรียกว่าเย่อหยิ่ง ข้าคิดว่าข้าเป็นอย่างแรก”
มู่ซืออวี่ดึงถ้วยบะหมี่กลับแล้วเอ่ยขึ้นนิ่ง ๆ “พวกเจ้ายังจะทานมื้อดึกอยู่หรือไม่? ตอนนี้ถึงเวลากินข้าว ไม่อนุญาตให้พูดคุยเรื่องงานราชการ ไม่เช่นนั้นถือว่าขาดคุณสมบัติที่จะทานมื้อดึก”
“ท่านแม่ ข้าไม่ได้ทานอะไรมาทั้งวันแล้ว หากท่านไม่ให้ข้ากิน ข้าต้องเป็นลมจากความหิวเป็นแน่” ลู่ฉาวอวี่แสดงท่าทีอ่อนแอออกมา
“ไม่ว่าจะวุ่นวายมากเพียงใดก็ไม่อาจละเลยร่างกายตนเองได้ ตอนนี้เป็นช่วงที่กำลังโต เจ้าจะปล่อยให้ตนเองอดได้อย่างไร?” มู่ซืออวี่เอ่ย “ดูสิ ข้างกายเจ้ามีแต่นักดาบ ไม่เข้าใจวิธีดูแลคน ข้าจะหาคนอีกสักสองคนที่รู้เรื่องมาดูแลเจ้า”
“ไม่ต้องหรอกขอรับ อย่างนี้ก็ดีอยู่แล้ว”
สกุลลู่ไม่ได้ทานอาหารโต๊ะเดียวกันมาเป็นเวลานานแล้ว นี่ทำให้นึกถึงคืนวันเก่า ๆ ที่ชนบทในเมืองฮู่เป่ยจริง ๆ
“เจ้าจะไปเมื่อใด?” มู่ซืออวี่เอ่ยถาม
“อีกห้าหกวันกระมัง”
“แบ่งเวลามาสักวัน พวกเราทั้งครอบครัวกลับไปเยี่ยมบ้านเดิมกันจะได้จุดธูปให้ท่านปู่ท่านย่าเจ้า” มู่ซืออวี่เอ่ย “กลับไปครานี้ไม่รู้ว่าเมื่อใดจะได้กลับมาอีก ควรทำอะไรเพื่อบ้านเกิดตนเองเสียบ้าง”
“ขอรับ”
สองสามวันต่อมา สกุลลู่ทั้งสกุลก็นั่งรถม้า พร้อมพาผู้ติดตามกว่าสิบคนกลับไปยังหมู่บ้าน
เพิ่งกลับมาถึงทางเข้าหมู่บ้านก็เห็นคนมากมายยืนออกันอยู่ที่นั่น บ้างก็เป็นคนในหมู่บ้าน บ้างก็เป็นคนจากหมู่บ้านข้าง ๆ
“ใต้เท้าลู่ ฮูหยินลู่…”
“ท่านนั้นเป็นใต้เท้าเสี่ยวลู่น้อยกระมัง! เด็กในตอนนั้น ตอนนี้ได้เป็นใต้เท้าแล้ว ช่างเป็นคนมีพรสวรรค์จริง ๆ!”
“นั่นเสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์หรือ? หน้าตาสะสวยจริง ๆ ก่อนหน้านี้ข้ายังเคยได้อุ้มนางด้วยนะ! ตอนนั้นนางตัวเล็ก ๆ เท่านี้เอง…”
หัวหน้าหมู่บ้านพาชาวบ้านมากมายมาต้อนรับ
“คารวะอัครมหาเสนาบดีลู่ ฮูหยินลู่…”
เมื่อมีหัวหน้าหมู่บ้านเป็นผู้นำ ชาวบ้านคนอื่น ๆ จึงคุกเข่าลงตาม
ครอบครัวยากจนที่เดิมทีมักโดนดูถูกครอบครัวนั้น บัดนี้ไม่เพียงร่ำรวยและมีอำนาจ แต่ยังเป็นถึงอัครมหาเสนาบดีที่ฝ่าบาทให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง นั่นทำให้พวกเขาทั้งตกตะลึงและไม่สบายใจในคราวเดียวกัน ด้วยกังวลว่าอีกฝ่ายจะกลับมาสะสางบัญชีเก่า
“หัวหน้าหมู่บ้าน พวกเราเพียงแค่กลับมาเยี่ยมเท่านั้น ท่านไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้” มู่ซืออวี่เอ่ย “ให้ทุกคนแยกย้ายกันไปเถิด! ปกติทำอย่างไร วันนี้ก็ทำอย่างนั้น พวกเราเพียงแค่มาไหว้บรรพบุรุษของตนเอง”
“มื้อกลางวันมาทานที่บ้านข้าน้อยได้หรือไม่?” หัวหน้าหมู่บ้านเอ่ย
“ไม่ต้องล่ะ” ลู่อี้เอ่ยเรียบ ๆ “พวกเราไปทานอาหารที่บ้านท่านน้าก็พอแล้ว”
ท่านน้าที่เขาเอ่ยถึงคือหูโม่ลี่
ตอนที่ครอบครัวพวกเขาย้ายไป บ้านที่นี่ก็มอบให้กับครอบครัวของหูโม่ลี่
หูโม่ลี่และครอบครัวให้เงินจึงถือว่าได้ซื้อขาดแล้ว พวกเขาจึงอยู่อย่างสบายใจ
นอกจากคนสกุลลู่แล้ว ยังมีถงซื่อกับสามีและจูเฉินลูกชายของพวกเขามาด้วย
“พี่สะใภ้ถง ท่านโชคดีจริง ๆ! ลูกสาวท่านเป็นฮูหยินอัครมหาเสนาบดี ลูกชายก็ได้เป็นขุนนางใหญ่ จูเฉินของพวกท่านมีพี่สาวและพี่เขยเช่นนี้จะยังต้องกังวลอะไรอีกเล่า?”
คนในหมู่บ้านไม่กล้าเข้าหามู่ซืออวี่และลู่อี้ ทว่าต่อถงซื่อและท่านหมอจูแล้ว พวกเขาไม่ได้กลัวเพียงนั้น
หัวหน้าหมู่บ้านคอยอยู่กับลู่อี้ตลอดเวลา
กระทั่งลู่อี้ขอให้พวกเขากลับ หัวหน้าหมู่บ้านจึงต้องกลับไปอย่างเลี่ยงไม่ได้
เดิมทีอัครมหาเสนาบดีของแผ่นดินเดินไปรอบ ๆ หมู่บ้าน หากเขาที่เป็นหัวหน้าหมู่บ้านคนนี้ได้ใช้เวลาร่วมกับอีกฝ่ายมากกว่านี้ ภายหน้าย่อมเป็นคนที่น่าเคารพนับถือยิ่งขึ้น
หูโม่ลี่และหวงเฉิงเฟิงเข้ามาทักทาย
ลูกสาวทั้งสองคนของพวกเขาแต่งงานแล้ว
“ข้าบอกอันหนิงกับอันจิ้งก่อนหน้านี้แล้ว อีกประเดี๋ยวพวกเขาคงมาถึง” หูโม่ลี่เอ่ยกับมู่ซืออวี่ “พวกเขาเอาแต่บอกว่าคิดถึงญาติผู้พี่ กล่าวว่าหากไม่ได้คำแนะนำดี ๆ จากญาติผู้พี่คงไม่ได้มีชีวิตที่ดีเช่นทุกวันนี้ ซืออวี่ น้าโง่เขลา ไม่รู้ว่าควรกล่าวคำพูดน่าฟังอย่างไร แต่รู้สึกซาบซึ้งใจต่อเจ้ายิ่งนัก”
“ข้ารู้” มู่ซืออวี่เอ่ย “คนครอบครัวเดียวกันไม่ต้องสุภาพเกินไปนัก พวกเราไม่ต้องเกรงอกเกรงใจกันเพียงนั้น สุขภาพของน้าเขยดูไม่เลวเลย”
“หลายปีมานี้ดูแลดีน่ะ”หวงเฉิงเฟิงเอ่ย “เมื่อหลายปีก่อนข้าดูแลบัญชีของลานหรรษามาโดยตลอด เพิ่งเกษียณเมื่อปีก่อนนี้เอง”
“ข้ารู้แล้ว ซูอวี้เคยเอ่ยถึงเรื่องนี้ให้ข้าฟัง” มู่ซืออวี่พาเด็ก ๆ ตามหูโม่ลี่และสามีกลับไปยังบ้านของพวกเขา