บทที่ 782 กลับไปเยี่ยมญาติที่บ้านเดิม
บทที่ 782 กลับไปเยี่ยมญาติที่บ้านเดิม
หวงอันหนิงและหวงอันจิ้งสองพี่น้องรุดกลับมาพร้อมกับสามีและลูก ๆ
หวงอันหนิงแต่งงานกับสามีที่ทำสวนผลไม้
พวกเขาอาศัยอยู่ในหมู่บ้านเมิ่งเจียซึ่งห่างจากที่นี่ไปไม่กี่ลี้ ซื้อที่ดินหนึ่งร้อยหมู่*[1] ของที่นั่น แล้วขอให้ชาวบ้านช่วยดูแลสวนผลไม้ บัดนี้ใกล้จะกลายเป็นสินค้าพื้นเมืองของเมืองฮู่เป่ยแล้ว
ในยุคนี้ ผลไม้เป็นสิ่งที่มีเพียงชนชั้นสูงเท่านั้นที่จะซื้อหาได้ คนทั่วไปทำได้เพียงกินผลไม้ป่าที่เก็บมาจากบนเขาเท่านั้น แสดงให้เห็นว่าชายที่หวงอันหนิงแต่งงานด้วยนั้นมีสายตากว้างไกลยิ่ง
เมื่อได้ยินคำชมของมู่ซืออวี่ เมิ่งซานหลางสามีของหวงอันหนิงก็ลูบหัวตนด้วยท่าทีซื่อ ๆ หน้าตาที่ธรรมดาทั่วไปของเขาเต็มไปด้วยความเขินอาย
“ข้าเป็นเพียงคนหยาบกระด้าง ไม่เคยเล่าเรียนเขียนอ่าน สิ่งใดล้วนไม่เข้าใจ ตอนที่ข้าเพิ่งแต่งกับภรรยา นางบอกว่ากิจการร้านขนมจะมอบให้น้องภรรยาดูแล นางจะรับเงินปันผลเพียงสองส่วนเท่านั้น นางบอกว่าอยากจะลองทำกิจการอย่างอื่นดู พวกเราก็ช่วยกันคิด คิดแล้วคิดอีก วันหนึ่ง ภรรยาของข้าตั้งครรภ์ นางพูดว่าจะดีเพียงใดหากมีผลไม้อร่อย ๆ ทาน นางบอกว่าตอนฮูหยินอัครมหาเสนาบดีอยู่ที่นี่ก็ชอบทานผลไม้รสหวาน นางยังบอกอีกว่าผลไม้ที่ใช้วิธีต่อกิ่งนั้นมีรสหวาน ไม่ฝาดเหมือนผลไม้ป่าแม้แต่น้อย”
“ท่านจึงปลูกผลไม้โดยการต่อกิ่งอย่างนั้นหรือ?”
“ภรรยาข้าความจำดี นางเล่าว่าฮูหยินเคยบอกวิธีต่อกิ่งผลไม้อะไรนั่นไว้ พวกเราจึงลองดู หากปีหนึ่งยังไม่ได้ผล เช่นนั้นก็ลองสองปี หากสองปียังไม่ได้ผลเช่นนั้นก็ลองอีกสองปี ทว่ายังดีที่ในปีที่สามเราก็ทำสำเร็จแล้ว”
“ข้านึกออกแล้ว ครั้งหนึ่งข้าได้รับจดหมายจากท่านแม่ ในจดหมายท่านแม่เอ่ยถึงเรื่องต่อกิ่ง ข้าเคยอธิบายเรื่องนี้สองสามครั้ง แต่ตอนนั้นท่านแม่ไม่ได้บอกเหตุผล ข้าคิดว่าท่านแม่แค่เพียงสงสัยจึงไม่ได้อธิบายให้ละเอียด พวกเจ้าเพียงแค่อาศัยคำพูดข้าเพียงไม่กี่คำก็ทำออกมาได้สำเร็จแล้วหรือ?”
“แหะ ๆ”
หวงอันหนิงจ้องมองเมิ่งซานหลางแล้วเอ่ยกับมู่ซืออวี่ “เขาเป็นคนซื่อ ๆ ไม่รู้ว่าควรกล่าวอย่างไรให้น่าฟัง ครานี้พวกเรานำสาลี่ที่ปลูกที่บ้านพวกเรามาด้วย ไม่รู้ว่าจะถูกปากญาติผู้พี่หรือไม่”
“ข้าอยากอยู่พอดีเลย เช่นนั้นลองหั่นมาทานดูเถิด!”
มู่ซืออวี่ลองชิมสาลี่ พบว่ามันหวานและฉ่ำน้ำจริง ๆ บางทีอาจเป็นเพราะไม่มียาฆ่าแมลง ผลไม้ที่ได้ทานจึงดีกว่าผลไม้ในชีวิตครั้งก่อนเสียอีก
หวงอันหนิงเห็นมู่ซืออวี่ชอบถึงเพียงนี้ก็ดีใจมาก
“หากมันออกผลมามากเกินไป ขายไม่หมดในคราวเดียวก็สามารถนำไปทำเป็นผลไม้กวนหรือผลไม้แห้งได้”
สามีของหวงอันจิ้งเป็นอาจารย์สอนหนังสือ บุคลิกท่าทีสุภาพอ่อนโยนมีความรู้ ไม่ได้ประจบประแจงหรือหยาบกระด้างเกินไป อีกทั้งแววตายังกระจ่างบริสุทธิ์ คงเป็นบุรุษที่ไม่เลวทีเดียว
หลังจากหวงอันหนิงกล่าวจบ หวงอันจิ้งก็เอ่ยขึ้นมาเช่นกัน
“ญาติผู้พี่ คนครอบครัวข้าก็พูดจาไม่เป็นเช่นกัน ครั้งนี้จึงนำขนมมาให้ นี่เป็นขนมที่ข้าจับโน่นจับนี่คิดค้นขึ้นมาเอง ขายดีทีเดียว พอดีญาติผู้พี่จะได้ช่วยแนะนำข้า นอกจากนี้ภาพอักษรของบุรุษบ้านข้าผู้นี้ก็ไม่เลว เขาวาดภาพหนึ่งมาเป็นของขวัญพบหน้า หากมีที่ใดไม่เหมาะสม ญาติผู้พี่โปรดอย่าหัวเราะเยาะ”
ขณะที่เอ่ย บ่าวรับใช้ก็นำภาพอักษรมา
มู่ซืออวี่ส่งสัญญาณมือ
บ่าวรับใช้จึงคลี่ภาพอักษรนั้นออก
มู่ซืออวี่คิดว่าในเมื่ออีกฝ่ายกล้านำมาเป็นของขวัญก็จะต้องเป็นของที่พอใช้ได้ จึงเปิดออกดูทันที
“กลอนดี” ลู่อี้เดินเข้ามาจากด้านนอก
คนอื่น ๆ ลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว
ลู่อี้ผายมือให้นั่งลง “ที่นี่เป็นบ้านตนเอง ไม่จำเป็นต้องมากพิธี ทุกคนนั่งลงพูดคุยกันเถิด”
เขามองภาพอักษรที่อยู่ตรงหน้า แล้วหันกลับไปเอ่ยกับเจี่ยงอี้เจียนสามีของหวงอันจิ้ง “กลอนดี ภาพดี พรสวรรค์ดี เคยคิดจะสอบเป็นขุนนางหรือไม่?”
เจี่ยงอี้เจียนทักทายอย่างเป็นธรรมชาติ แล้วเอ่ยว่า “ทำให้พี่เขยต้องขบขันแล้ว ข้าผู้นี้ไม่มีความทะเยอทะยานใหญ่โตอะไร นอกจากอยากอยู่ที่นี่เป็นอาจารย์ที่มีลูกศิษย์เต็มบ้านเต็มเมืองแล้ว ข้าก็ไม่ได้ฝักใฝ่สิ่งใดอีก”
“ฮูหยิน เจ้าอยากจัดตั้งสำนักศึกษาสตรีไม่ใช่หรือ? กระทั่งบัดนี้ยังหาผู้ใดมาดูแลไม่ได้กระมัง?” ลู่อี้เอ่ย “นี่จะเป็นสำนักศึกษาสตรีแห่งแรกในใต้หล้า ไม่อาจมอบให้ผู้อื่นรับผิดชอบ เช่นนั้นก็ลองมอบหมายหน้าที่นี้ให้น้องเขยดู เจ้าอยากเป็นอาจารย์ที่มีลูกศิษย์เต็มบ้านเต็มเมืองไม่ใช่หรือ? จนกระทั่งถึงบัดนี้ นี่เป็นสำนักศึกษาสตรีแห่งแรกในราชวงศ์ การปรากฏตัวของสำนักศึกษาสตรีจะต้องเป็นที่กล่าวขานและถูกจับจ้องอย่างแน่นอน เจ้ากล้ารับหน้าที่นี้หรือไม่?”
ส่วนหลังนี้เอ่ยกับเจี่ยงอี้เจียน
“สามีของข้าจะรับหน้าที่สำคัญเช่นนี้ได้หรือ?” หวงอันจิ้งรู้สึกประหลาดใจ
“ข้ายินดีและจะไม่ให้ผิดต่อความไว้วางใจของท่านอย่างแน่นอน!” เจี่ยงอี้เจียนตกปากรับคำ
หวงเฉิงเฟิงและหูโม่ลี่มองหน้ากัน
ลูกเขยคนที่สองได้รับความไว้วางใจเชียวนะ!
พวกเขาสุขใจ ทว่าก็กังวลใจในคราวเดียวกัน แม้พวกเขาล้วนไม่เข้าใจสิ่งใด แต่จากคำว่า ‘สำนักศึกษาสตรีแห่งแรก’ นี้ก็บ่งบอกแล้วว่าสิ่งที่ได้รับมอบหมายจะต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่นอน
ลู่อี้พาภรรยาและลูก ๆ ของเขาไปจุดธูป
อันดับแรกพวกเขาไปไหว้โถงบรรพบุรุษ จากนั้นจึงไปจุดธูปหน้าหลุมศพบิดามารดา
ผู้อาสุโสของสกุลที่อายุมากที่สุดได้ขีดเส้นลงไปในบันทึกของครอบครัวลู่อี้สองสามเส้น เพื่อเพิ่มเส้นทางโคจรของชีวิตให้ลู่อี้กับมู่ซืออวี่ นอกจากนี้ยังเพิ่มชื่อของลู่ฉาวจิ่งและลู่จื่อชิง รวมถึงตำแหน่งขุนนางปัจจุบันของลู่ฉาวอวี่ลงไปด้วย
“เสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์…” หญิงสาวผู้หนึ่งเดินผ่านไปพร้อมกับลูกในอ้อมแขน นางเห็นลู่จื่ออวิ๋นกำลังเดินเล่นรอบ ๆ หมู่บ้าน
ลู่จื่ออวิ๋นเห็นว่าคนผู้นี้คุ้นตายิ่งนัก แต่จำไม่ได้ว่าเป็นผู้ใด
คนผู้นั้นเอ่ยอย่างกระอักกระอ่วน “เจ้าจำข้าไม่ได้แล้วหรือ! ก่อนหน้านี้พวกเราเคยเล่นด้วยกัน”
…เพียงแต่ลู่จื่ออวิ๋นล้วนเป็นผู้ที่ถูกรังแกอยู่เสมอ
เสียงร้องของเด็กดึงความสนใจของหญิงสาวไป นางหยิกต้นขาของเด็กคนนั้นด้วยความหงุดหงิดแล้วเอ่ยด้วยความโมโห “จะร้องไห้ทำไม?! เจ้าเป็นแค่เด็กหญิงตัวผอมกะหร่องคนหนึ่ง ร้องไห้ไปก็ไม่มีผู้ใดสนใจหรอก”
ลู่จื่ออวิ๋น “…”
เดิมทีนางรู้สึกไม่สบายใจที่จำสหายหมู่บ้านเดียวกันซึ่งเคยเล่นด้วยกันไม่ได้ แต่ตอนนี้นางกลับไม่อยากนึกออกแล้วว่าอีกฝ่ายเป็นผู้ใด
“คุณหนู” ติงเซียงวิ่งมาหา “เหตุใดท่านเดินไปทั่วตามลำพังล่ะเจ้าคะ?”
ติงเซียงสวมเสื้อคลุมให้นาง
หญิงสาวผู้นั้นเห็นว่าลู่จื่ออวิ๋นแต่งตัวอย่างประณีตงดงาม อีกทั้งปิ่นระย้าที่ประดับบนผมของนางยังสวยงามชวนตะลึง
นางจึงจ้องมองด้วยความอิจฉาแล้วกล่าวว่า “เสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์ ตอนนี้เจ้าเป็นคุณหนูจวนอัครมหาเสนาบดีแล้ว พูดคุยเรื่องแต่งงานแล้วหรือยัง? นี่เป็นลูกสาวข้า นางเป็นลูกคนที่สามของข้าแล้ว”
ลู่จื่ออวิ๋นยิ้มน้อย ๆ “ท่านแม่บอกว่าไม่ต้องรีบร้อน”
“คุณหนู” ติงเซียงเหลือบมองหญิงสาวผู้นั้นแล้วเอ่ยว่า “ฮูหยินบอกว่าได้เวลาทานอาหารเที่ยงแล้ว ไม่ให้ท่านออกไปเล่นข้างนอกแล้วเจ้าค่ะ”
หญิงสาวเห็นร่างของลู่จื่ออวิ๋นหายลับไป ในใจยิ่งรู้สึกขื่นขมมากกว่าเดิม
เป็นสตรีเช่นกัน เหตุใดโชคชะตาของพวกนางถึงแตกต่างกันเพียงนี้
“นังคนขี้เกียจสันหลังยาว เหตุใดยามนี้เจ้าไม่ไปทำอาหาร มาเดินเอ้อระเหยอะไรอยู่แถวนี้? เจ้าคงไม่ได้หวังว่าคนสกุลสูงศักดิ์ผู้นั้นจะตกรางวัลให้เจ้าเป็นอาหารสักคำกระมัง?” ชาวนาคนหนึ่งสาวเท้าฉับ ๆ เข้ามาและเอื้อมมือไปบีบแขนของหญิงสาว
หญิงสาวคนนั้นกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด จากนั้นก็ใช้เด็กในอ้อมแขนบังไม่ให้ชายคนนั้นเข้ามาทำร้ายตน
“คุณหนู ท่านอย่าได้เดินเตร่ไปเรื่อยเลยนะเจ้าคะจะได้ไม่เสียสายตา” ติงเซียงเอ่ย “นี่มันอะไรกัน? นั่นเป็นลูกสาวของนางไม่ใช่หรือ? นึกไม่ถึงว่าจะใช้ลูกสาวที่อายุเพียงไม่กี่เดือนมาบังการทุบตีด่าทอของชายผู้นั้น”
“ติงเซียง นี่เป็นเรื่องธรรมดาในหมู่บ้าน หากข้าไม่ใช่ลูกท่านพ่อท่านแม่ บางทีข้าอาจเป็นหนึ่งในนั้น” ลู่จื่ออวิ๋นยิ้มอย่างจนใจ
[1] หมู่ (亩) คือหน่วยวัดพื้นที่ของจีน 1 หมู่ เท่ากับ 0.4 ไร่