ตอนพิเศษ 88 นามแฝงอินทรีหิมะ
ตอนพิเศษ 88 นามแฝงอินทรีหิมะ
หลานสุ่ยหยวนกับหลานสุ่ยเถียนยังคงสุมหัว พูดคุยกันด้วยเสียงกระซิบ
ความจริงแล้วพวกนางรู้ข่าวตั้งแต่เช้าตรู่ ว่าซื่อจื่อแห่งตำหนักอ๋องซิวมา พวกนางจึงอยากจะเห็นว่าซื่อจื่อแห่งตำหนักอ๋องซิว มีหน้าตาเป็นอย่างไร
ในใจพวกนางคิดว่าเขาเป็นคนเกียจคร้าน ไม่มีความรู้ เจ้าสำราญและคิดแต่เรื่องเจ้าเล่ห์เพทุบาย ไม่เช่นนั้น เหตุใดเขาถึงให้ค่าผู้หญิงที่มีดีแค่ความสวยอย่างหลานสุ่ยชิง?
แต่เป็นเพราะพวกนางถูกกักบริเวณ จึงไม่สามารถออกจากเรือนได้ ทำให้ไม่มีโอกาสได้เผชิญหน้ากับซื่อจื่อองค์โตแห่งตำหนักอ๋องซิว
พวกนางรู้สึกว่าถ้าซื่อจื่อเป็นคนฉลาด ตราบใดที่เขาได้เจอพวกนางสองพี่น้อง เขาก็จะต้องเข้าใจความนัยของพวกนางแน่นอน และไม่มีเหตุผลที่จะชื่นชอบหลานสุ่ยชิง ผู้หญิงที่สวยแค่เปลือกนอกเป็นแน่
แต่ถ้าเป็นคนโง่เขลา ฮึ่ม พวกนางก็ไม่ชอบอยู่ดี
เป็นเพียงว่าสถานะของเขานั้นไม่เลว หลานสุ่ยชิงจึงได้รับการสนับสนุนเล็ก ๆ น้อย ๆ
พวกนางสองคนกำลังนินทาว่าร้าย ทันใดนั้นก็มีเสียงกุกกักดังขึ้นชัดเจนที่ขอบหน้าต่าง ซึ่งเป็นเรื่องปกติมาก
ใบหน้าของทั้งสองเผยความยินดี นี่เป็นข้อตกลงระหว่างพวกนางกับเหยี่ยวหิมะ
แน่นอนว่าหลังจากนั้นไม่นาน หน้าต่างก็เปิดออก อู๋หลินเฟิงพลิกกลับมายืนอย่างมั่นคงตรงหน้าพวกนางทั้งสอง
อืม เขาเป็นคนตั้งฉายาตนว่าอินทรีหิมะเอง แม้หนานซื่อจื่อจะบอกว่ามันเชยมาก แต่เขาคิดว่ามันเป็นชื่อที่สง่างามมาก เขาจึงเพิกเฉยต่อความคิดเห็นของหนานซื่อจื่อ
“เป็นอย่างไรบ้าง?” หลานสุ่ยหยวนถามอย่างกระตือรือร้น
อู๋หลินเฟิงลอบเบะปาก แต่ภายนอกกลับเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาพร้อมกับสีหน้าไร้ความรู้สึก “มีชายคนหนึ่งเข้าออกห้องของลูกสาวคนโตของตระกูลหลานจริง วรยุทธ์ของเขาล้ำเลิศยิ่งนัก ทำให้สามารถตรวจจับความเคลื่อนไหวของคนอื่นได้ ดังนั้นหากคุณหนูรองต้องการให้ข้าไปจับการคบชู้สู่ชาย ก็เกรงว่าจะทำไม่สำเร็จ”
หลานสุ่ยหยวนขมวดคิ้ว การดำเนินการตามแผนนั้นยากกว่าที่นางคิดไว้มาก
แต่ตอนนี้ได้รับการยืนยันแล้วว่าหลานสุ่ยชิงคบชู้สู่ชายจริง มันจึงนับว่าง่ายขึ้นมาก
หลานสุ่ยเถียนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วถามว่า “เจ้าช่วยจัดการกับอาหารของพวกนั้น และทำให้ทั้งสองคลุกคลีกันได้หรือไม่ เมื่อถึงเวลาก็ให้คนตามไปจับถึงที่ ชายผู้นั้นย่อมไม่สามารถหลบหนีได้แม้ว่าเขาจะต้องการก็ตาม อย่างไรเสียทั้งสองก็มีความสัมพันธ์กัน ชายคนหนึ่งปรากฏตัวในห้องของหลานสุ่ยชิงอย่างลึกลับ คนนอกรู้เข้าก็ต้องตกใจ และไม่มีใครสนใจหรอกว่าเกิดอะไรขึ้น”
อู๋หลินเฟิงแอบหัวเราะเยาะ คุณหนูรองกับคุณหนูสามมีความคิดสกปรกโสมมเสียจริง
เขานิ่งไปชั่วครู่ แล้วพูดว่า “ความคิดนี้เป็นไปได้ แต่ว่า…”
“แต่ว่าอะไร?” หลานสุ่ยหยวนถามอย่างกังวล
“แต่ว่าข้าได้ยินพวกเขาคุยกัน น่าจะเป็นเพราะคุณหนูรองส่งคนจากยุทธภพ ไปเฝ้าดูคุณหนูใหญ่ครั้งล่าสุด ชายคนนั้นจึงระแวดระวังมาก วันนี้เขาจึงไม่ปรากฏตัวในจวนหลาน”
“ไม่ปรากฏตัวหรือ?” หลานสุ่ยหยวนกับน้องสาวพลันร้อนใจ ถ้าช่วงนี้เขาไม่มา มารดาของพวกนางก็จะต้องทนทุกข์ไปอีกนานไม่ใช่หรือ?
“อืม” อู๋หลินเฟิงพยักหน้า “ชายคนนั้นบอกว่าไม่ปลอดภัยที่จะพบกันในจวนหลาน อีกไม่กี่วันตำหนักองค์ชายสามจะจัดงานเลี้ยง ถึงตอนนั้นชายคนนั้นจะลอบไปที่นั่น เมื่อถึงเวลา ทั้งสองก็จะได้พบปะพูดคุยกันอีกครั้ง”
หลานสุ่ยหยวนกับหลานสุ่ยเถียนชะงักงันเล็กน้อย งานเลี้ยงที่ตำหนักองค์ชายสามหรือ?
ทั้งสองมองหน้ากันอย่างรวดเร็ว แล้วดวงตาก็สว่างวาบขึ้น นัดพบกันในงานเลี้ยงที่ตำหนักองค์ชายสาม หลานสุ่ยชิงช่างเป็นคนกล้าหาญเสียจริง
แต่นี่นับว่าเป็นทางสะดวกสำหรับพวกนางโดยแท้ ถึงตอนนั้นที่ตำหนักองค์ชายสามจะเต็มไปด้วยบุคคลสำคัญ และความโกลาหลคงจะยิ่งใหญ่กว่านี้ ในเวลานั้นหลานสุ่ยชิงจะไม่สามารถหนีไปได้ และไม่มีใครคิดจะช่วยหากเกิดอะไรขึ้นกับนาง
หลานสุ่ยหยวนถอนหายใจยาว แล้วยกยิ้มมุมปากอย่างมีเลศนัย
นางมองอู๋หลินเฟิง พยักหน้าเล็กน้อยและพูดว่า “เจ้าได้นำข่าวที่เป็นประโยชน์มา ไม่ต้องกังวล เมื่อหลานสุ่ยชิงเผชิญกับความวิบัติ เจ้าจะเป็นได้รับความดีความชอบมากที่สุด”
อู๋หลินเฟิงอยากจะถ่มน้ำลายรดหน้านางจริง ๆ แต่เขาทำเพียงยกยิ้ม “ความดีความชอบไม่สำคัญหรอก ตราบใดที่ได้เงินก็จะทำ”
“แน่นอนว่าเงินเป็นสิ่งที่เจ้าขาดไม่ได้” ถ้าเอาแต่คิดเรื่องเงินอย่างเดียวก็ไร้ประโยชน์ แล้วเรื่องวรยุทธ์เล่า? หากไม่มีเงินก็จะไม่เชื่อฟังนางงั้นหรือ?
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ ดวงตาของหลานสุ่ยหยวนก็ฉายแววดูถูก หลังจากนิ่งไปครู่หนึ่งก็ก้มตัวหยิบเงินแท่งเล็ก ๆ ออกมาจากกล่องเล็ก ๆ ข้างโต๊ะเครื่องแป้ง แล้วส่งให้อู๋หลินเฟิง “เจ้ารับสิ่งนี้ไปก่อน เมื่อเรื่องเสร็จสิ้นแล้ว เจ้าจะได้รับเงินมากขึ้น”
“ขอรับ” อู๋หลินเฟิงขบกรามเพื่อระงับคำด่า แล้วเก็บเงินไว้ในแขนเสื้อ
หลานสุ่ยหยวนต้องการพูดอะไรบางอย่างต่อ แต่มีเสียงเคาะประตูเบา ๆ ที่ด้านนอก
อู๋หลินเฟิงรู้ว่าสายลับกำลังมา เขาจึงกระซิบกับหลานสุ่ยหยวนว่า “เช่นนั้นข้าขอตัวลา”
“อืม”
อู๋หลินเฟิงกระโดดออกจากหน้าต่างอย่างรวดเร็วอีกครั้ง แต่ก่อนที่เขาจะถึงพื้น เขาก็เหยียบราวบันไดและกระโดดขึ้นไปบนคาน จากนั้นห้อยหัวมองความเคลื่อนไหวภายในห้อง
ไม่นานอาตี้ก็รีบเคาะประตู
หลานสุ่ยหยวนให้นางเข้ามา อาตี้จึงเดินไปข้างนางทันที แล้วกระซิบเรื่องการมาเยือนของซื่อจื่อแห่งตำหนักอ๋องซิว และเนี่ยนเนี่ยนกับจิ่นซิ่วที่มาในวันนี้
หลานสุ่ยหยวนขมวดคิ้วเมื่อได้ยินเช่นนั้น นางรู้เรื่องเหล่านี้ทั้งหมดแล้ว ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องมาที่นี่เพื่อบอกนาง
นางอยากรู้เรื่องอื่นมากกว่า “พวกเขาคุยอะไรกันบ้าง?”
สีหน้าของอาตี้แข็งทื่อเมื่อถูกถาม ใบหน้าดูแปลกพิกลไปเล็กน้อย หลังจากนั้นครู่หนึ่งก็ตอบด้วยเสียงกระซิบว่า “ผู้ติดตามของหนานซื่อจื่อคอยคุ้มกันอยู่หน้าประตู บ่าวจึงไม่กล้าเข้าไปใกล้เกินไปเพราะกลัวจะถูกสงสัย บ่าวจึงไม่ได้ยินสิ่งที่พวกเขาคุยกันข้างในเจ้าค่ะ แต่ตอนนี้หนานซื่อจื่อกับสามสาวนั่นออกไปกันหมดแล้ว โดยบอกว่าจะไปซื้อเสื้อผ้าและเครื่องประดับ สำหรับงานเลี้ยงที่ตำหนักองค์ชายสามในอีกไม่กี่วันนี้เจ้าค่ะ”
“เจ้ารีบมาที่นี่ เพียงเพื่อจะมาเล่าเรื่องไร้สาระเหล่านี้ให้ข้าฟังหรือ?” หลานสุ่ยหยวนตบโต๊ะอย่างแรงด้วยสีหน้าเกรี้ยวกราด เรื่องเหล่านี้ไม่มีประโยชน์เท่ากับข้อมูลที่อินทรีหิมะให้มาเลยสักนิด
อาตี้ตกใจจนหน้าซีดเผือด ก้มหน้าไม่กล้าพูด
นางรู้สึกกระวนกระวายจริง ๆ หลังจากผ่านไปสองสามวัน นางก็ยังไม่ได้รับข่าวดีใด ๆ เลย นางจึงกลัวว่าคุณหนูรองจะคิดว่านางไร้ประโยชน์ นางจึง…
“เจ้ากลับไปเดี๋ยวนี้ ฉวยโอกาสตอนที่หลานสุ่ยชิงกับเยียนจือไม่อยู่ แอบเข้าไปในห้องของนางเงียบ ๆ เพื่อดูว่ามีข่าวที่เป็นประโยชน์หรือไม่” หลานสุ่ยเถียนสงบกว่าหลานสุ่ยหยวนมาก ตอนนี้พวกนางรู้แล้วว่าอีกไม่กี่วันหลานสุ่ยชิงได้นัดแนะส่วนตัวกับชายคนนั้นที่งานเลี้ยง ซึ่งเป็นข่าวใหญ่สำหรับพวกนาง ตอนนี้ต้องหาหลักฐานที่มัดตัวมากกว่านี้ การกระทืบหลานสุ่ยชิงให้ตายในคราวเดียวคือสิ่งที่พวกนางต้องการมากที่สุด
ราวกับว่าได้รับการนิรโทษกรรม อาตี้ก็รีบก้มหน้าถอยออกไป
ในเรือนสุ่ยสีมีสาวใช้น้อยเกินไป ปกติถ้าหลานสุ่ยชิงอยู่ จะมีเพียงไม่กี่คนที่สามารถเข้าไปได้ ตอนนี้นางพาสาวใช้คนสนิทออกไปแล้ว คนเดียวที่เฝ้าอยู่นอกเรือนคือแม่นมปู้
……………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
จุดไต้ตำตอเข้าแล้วสองสาวนี่ ไม่รู้เลยว่าเล่าความลับให้ใครฟัง ต่อไปได้เน่ากันยกเรือนแน่ เริ่มที่ยัยนาตาชาอาตี้เป็นคนแรก
ไหหม่า(海馬)