บทที่ 1105+1106 ต่อสู้กับพวกอันธพาล/คลุมเครือ
บทที่ 1105 ต่อสู้กับพวกอันธพาล
ผู้คนรอบด้านต่างตะลึงไปตาม ๆ กัน
บนลานประลองท่ามกลางเสียงเด็ก ๆ ร้องไห้คร่ำครวญเรียกหาบิดามารดา ปรากฏร่างชายในชุดเสื้อผ้าพลิ้วไหวราวกับเทพบุตร อุ้มหญิงสาวผู้งดงามดุจดอกบัวไว้ในอ้อมแขน สง่างามราวกับภาพวาด
นอกจากนี้ การเคลื่อนไหวของฉินเย่จือยังรวดเร็วปานสายลมหนาวพัดโหมกระหน่ำ แม้ว่าจะโอบอุ้มสตรีคนหนึ่งไว้ในอ้อมอก แต่ทุกการเคลื่อนไหวเต็มไปด้วยความสง่า และทำให้ผู้คนรู้สึกปวดเศียรเวียนเกล้า
ทุกคนนึกอึ้งในทักษะศิลปะการต่อสู้อันยอดเยี่ยมของฉินเย่จือ ดังนั้นจึงละทิ้งความสนใจจากจินซื่อข่าย
ครั้นเห็นว่าจินซื่อข่ายถูกทุบตีจนนอนหมดสภาพอยู่บนพื้น และปากเอาแต่ขานเรียกมารดาของตน บางคนที่เคยถูกตระกูลจินรังแกเห็นว่ามีคนจัดการจินซื่อข่ายได้ก็รู้สึกพึงพอใจ และบางคนก็ปรบมือชื่นชม
ผู้ติดตามจินซื่อข่ายโดนฉินเย่จือจัดการจนกลัวหัวหด เมื่อเห็นสถานการณ์ไม่ค่อยดี ดังนั้นจึงไม่กล้าสร้างปัญหาให้กู้หนิงผิงอีก และรู้เพียงแค่ว่าบุคคลตรงหน้านั้นโหดเหี้ยมราวกับปีศาจ
เขาไม่เคยเห็นผู้ใดมีทักษะการต่อสู้เก่งกาจเช่นนี้มาก่อน
ยิ่งไปกว่านั้น เขากลับถูกคนนอกเมืองรุ่ยเสียนรุมทำร้าย แล้วอย่างนี้ตนเองจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน จินซื่อข่ายกุมมือตนเอง มองไปที่ชายผู้มีใบหน้าไร้อารมณ์ด้วยความสยดสยอง และเอ่ยตะกุกตะกัก
“ฝากไว้ก่อนเถอะ…” ยังไม่ทันที่จินซื่อข่ายจะกล่าวจบประโยค สายตาดันเหลือบไปเห็นฉินเย่จือตวัดสายตาจ้องมองตนเองอย่างเย็นชา
เขารู้สึกชาวาบไปทั่วทั้งแผ่นหลัง บริเวณที่ถูกทุบเมื่อครู่ยังคงรู้สึกเจ็บปวด จะจัดการกับชายคนนี้นั้นไม่ง่าย ดังนั้นจึงหาหนทางตะเกียกตะกายลุกขึ้นวิ่งหนีเตลิด แต่ยังไม่วายตะโกนไล่หลัง
“ฝากไว้ก่อนเถอะ ฝากไว้ก่อน”
เหล่าอันธพาลที่ติดตามจินซื่อข่ายเห็นว่าเขาวิ่งหนีไปแล้ว เช่นนี้เขาจะกล้ามีหน้าอยู่ตรงนี้ต่อไปได้อย่างไร ดังนั้นจึงวิ่งหนีหายไปพร้อมกับจินซื่อข่ายทันที
เมื่อเห็นว่าจินซื่อข่ายวิ่งหนีไปด้วยท่าทางสิ้นหวัง ความโกลาหลรอบด้านเริ่มเข้าสู่สภาวะปกติ ดังนั้นผู้คนทั้งหมดจึงทยอยออกมาจากที่ซ่อนทีละคน ชูนิ้วโป้งยกย่องฉินเย่จือด้วยความประหลาดใจบนใบหน้า “ทักษะการต่อสู้ของคุณชายท่านนี้ยอดเยี่ยมจริง ๆ น่าทึ่งมาก”
กู้เสี่ยวหวานเห็นผู้คนมองมาอย่างไม่ละสายตา จึงรู้สึกตัวว่าตนเองยังอยู่ภายในอ้อมกอดของฉินเย่จือ ใบหน้าพลันร้อนผ่าวและเอ่ยขึ้นเสียงแผ่วเบา “พี่เย่จือ ปล่อยข้าลงเถอะ”
ฉินเย่จือได้ยินน้ำเสียงอ่อนนุ่มของกู้เสี่ยวหวานอย่างชัดเจน หากแต่ยังนิ่งเฉย ทำแค่มองไปที่กู้เสี่ยวหวานด้วยสายตาเคลิบเคลิ้มโดยไม่คำนึงถึงสายตาประหลาดใจของทุกคน
ภายในร้านจิ่นฝูนั้นยุ่งมาก ลูกจ้างภายในร้านรีบทำความสะอาดร้านเป็นพัลวัน มีลูกค้าหลายคนยังทานอาหารไม่เสร็จและยังไม่ได้จ่ายเงิน
ไม่รู้ว่าวันนี้เกิดความเสียหายไปเท่าไร
เมื่อกู้เสี่ยวหวานคิดถึงสิ่งนี้ หัวใจของนางก็เจ็บปวด
ฉินเย่จืออุ้มกู้เสี่ยวหวานไปที่ชั้นสอง ตรงเข้าไปในห้องและปิดประตูลงทันที
….
บทที่ 1106 คลุมเครือ
“หวานเอ๋อร์ เมื่อครู่เจ้ากลัวหรือไม่”
คิ้วเรียงตัวสวยได้รูปของฉินเย่จือขมวดมุ่นด้วยความกังวล แม้แต่เสียงของเขาก็แหบแห้งเล็กน้อย
ทว่า… ตอนที่อยู่ต่อหน้าพวกอันธพาลกว่าร้อยชีวิต ใบหน้าอันหล่อเหลานั้นไม่ได้เผยสีหน้าใด แต่ตอนนี้หัวใจของเขาเหมือนหล่นวูบ ใบหน้าเผยให้เห็นถึงความกังวลที่ฉายชัด
กู้เสี่ยวหวานทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ จากนั้นยืดหลังตั้งตรง โดยมีฉินเย่จือยอบกายนั่งลงตรงหน้าหญิงสาว พลางจับเข่าอีกฝ่ายและเงยหน้าขึ้นมองดวงหน้าหวานของกู้เสี่ยวหวานด้วยความกังวลที่เห็นได้ชัด
ตอนที่อันธพาลหลายร้อยคนล้อมรอบพวกเขาเอาไว้ หัวใจไม่ได้หวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย มีแต่ความคิดที่จะจัดการคนเหล่านี้ให้เร็วที่สุด เพื่อไม่ให้กู้เสี่ยวหวานได้รับอันตรายใด ๆ
ดังนั้นฉินเย่จือจึงจัดการทุ่มคนเหล่านั้นลงพื้นอย่างไม่ลังเล หากแต่ยังมีความกังวลเกาะกินในหัวใจ และเมื่อได้อยู่กันตามลำพัง เขาจึงถามกู้เสี่ยวหวานด้วยความเป็นห่วง
กู้เสี่ยวหวานสบดวงตาสดใสซึ่งสะท้อนเงาของนางอย่างชัดเจน
ฉินเย่จือรู้สึกเป็นทุกข์มาก ส่วนกู้เสี่ยวหวานนั้นรู้สึกสะเทือนใจ
ทั้งสองสบตากันและกัน
และลืมสิ่งที่ต้องการจะเอ่ยออกมาในชั่วขณะ
อากาศในตอนนี้ดูเหมือนจะเย็นลง และมีเพียงชายหญิงสองคนเท่านั้นที่จ้องตามองกันและกันอยู่
จู่ ๆ กู้เสี่ยวหวานก็ยื่นมือออกมากดปลายนิ้วอันอ่อนนุ่มนวดคลึงคิ้วของฉินเย่จือ ราวกับต้องการให้เขาคลายความกังวล และเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “พี่เย่จือ ข้าไม่กลัว อย่าขมวดคิ้วสิ เดี๋ยวแก่เร็วนะ”
เขามักจะขมวดคิ้วอยู่ตลอดเวลา แม้ว่าคิ้วของฉินเย่จือจะคลายลง แต่ก็ยังมีรอยยับย่นปรากฏชัดเจน
เมื่อเห็นความกังวลในดวงตาของกู้เสี่ยวหวาน หัวใจของฉินเย่จือพลันเต้นไม่เป็นจังหวะ และทันใดนั้นก็เอ่ยถามว่า “แล้วเจ้าคิดว่าข้าแก่หรือยัง”
น้ำเสียงเต็มไปด้วยความน้อยใจ
เมื่อกู้เสี่ยวหวานเห็นสายตาลึกซึ้งจ้องมองมาที่ตนเองก็รู้สึกดีใจและเศร้าใจปะปนกันไป เพราะกลัวว่าคำพูดที่เอ่ยออกไปจะทำให้เขาไม่ชอบใจ
ฉินเย่จืออายุมากกว่ากู้เสี่ยวหวานเจ็ดปี
ฉินเย่จือปีนี้อายุยี่สิบเอ็ดแล้ว หากเป็นบุตรชายของครอบครัวทั่วไป เวลานี้เขาก็คงจะกลายเป็นพ่อคน
หากแต่ตอนนี้เขายังใช้ชีวิตอยู่คนเดียว
เป็นเวลาหลายปีที่กู้เสี่ยวหวานเห็นอีกฝ่ายอยู่ในสายตา และมีส่วนร่วมในชีวิตของฉินเย่จือ มิฉะนั้นนางคงไม่ตัดสินใจที่จะรักฉินเย่จือก่อนที่นางจะถึงวัยปักปิ่น
ฉินเย่จือเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ดังนั้นเขาจึงรู้ว่าคำพูดและการกระทำของเขามีความหมายอย่างไรต่อกู้เสี่ยวหวาน
เขาชอบกู้เสี่ยวหวาน เคารพกู้เสี่ยวหวาน และเขามีความคิดที่แน่วว่าต้องการใช้ชีวิตที่เหลืออยู่กับนาง
ดังนั้นเขาเป็นผู้ใหญ่แล้ว และความคิดของเขาก็ผ่านการพิจารณามาอย่างดี
แม้ว่ากู้เสี่ยวหวานจะยังเด็ก แต่เขาก็ยินดีที่จะรอ
เป็นเรื่องแปลกหากฉินเย่จือเคยผ่านการต่อสู้ในสนามรบแล้ว แต่กลับรู้สึกกระวนกระวายและหวาดกลัวเล็กน้อยในขณะนี้
หลังจากที่เขาถามประโยคนั้นจบ เขาก็จ้องไปที่ใบหน้าของกู้เสี่ยวหวานอย่างใกล้ชิด เขากลั้นหายใจและหัวใจของเขาเต้นไม่เป็นจังหวะ
เมื่อเห็นท่าทางกังวลของฉินเย่จือ กู้เสี่ยวหวานก็ทนไม่ได้ และทันใดนั้นก็ยื่นมือออกมาประคองศีรษะของฉินเย่จือไว้แล้วโอบรั้งเข้ามาในอ้อมแขน
การกระทำที่เกิดขึ้นกะทันหันและความใกล้ชิดของกู้เสี่ยวหวานทำให้ฉินเย่จือมีความสุข ศีรษะของเขาซุกหน้าลงบนไหล่ของกู้เสี่ยวหวาน และมันทำให้ได้ยินเสียงหัวใจเต้นของหญิงสาวได้ชัดเจน
ดูเหมือนว่าในเวลานี้กู้เสี่ยวหวานมีความประหม่า
ทันใดนั้น เขาก็เอื้อมมือไปโอบรอบร่างกายท่อนบนของกู้เสี่ยวหวานไว้ ชายหนุ่มยันร่างกายขึ้นเล็กน้อยให้อยู่ระดับเดียวกับกู้เสี่ยวหวาน
ศีรษะทั้งสองเอนเคลื่อนเข้าหากันอย่างเชื่องช้า
กู้เสี่ยวหวานโอบรอบคอของฉินเย่จือไว้ และฉินเย่จือก็โอบประคองใบหน้าของกู้เสี่ยวหวาน
ปลายจมูกของพวกเขาสัมผัสกันแผ่วเบา ระยะห่างใกล้กันมากจนทำให้สัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นร้อนของกันและกัน ดูเหมือนว่าตราบใดที่พวกเขาเคลื่อนไหวเข้าใกล้กันอีกเล็กน้อย ริมฝีปากทั้งสองคงจะสัมผัสกันอย่างพอดี
บรรยากาศภายในห้องดูคลุมเครือ
กู้เสี่ยวหวานตัวสั่นเล็กน้อย ปลายจมูกของนางเต็มไปด้วยกลิ่นกายของฉินเย่จือ
กลิ่นหอมอ่อน ๆ ราวกับดอกไม้ผลิบานในฤดูหนาว
อย่างไรก็ตาม มันยังคงติดอยู่ที่ปลายจมูกเสมอและเต็มไปด้วยร่องรอยของความปรารถนา
ลมหายใจของทั้งสองถี่เร็วขึ้นเรื่อย ๆ และแม้แต่ฉินเย่จือผู้ซึ่งกำลังควบคุมตนเองก็ยังเกิดความรู้สึกไม่มั่นคง
ใบหน้าของกู้เสี่ยวหวานร้อนวูบวาบ จนฉินจือเย่สัมผัสได้
“หวานเอ๋อร์” น้ำเสียงของเขาสั่นสะท้านเล็กน้อย แม้แต่มือที่ประคองหน้ากู้เสี่ยวหวานยังสั่นระริก
เนื่องจากถือดาบออกรบมาหลายปี ฝ่ามือของฉินเย่จือจึงหยาบกระด้าง หากแต่กู้เสี่ยวหวานสัมผัสถึงความอบอุ่นที่ส่งผ่านฝ่ามือ
กู้เสี่ยวหวานไม่รู้จะเอ่ยเอื้อนสิ่งใด นางเพียงแค่จ้องมองฉินเย่จือด้วยความงุนงง ดวงตาสีดำขลับของนางเหมือนอัญมณีส่องประกายแวววาว
ฉินเย่จือไม่ใช่เด็กอีกแล้ว ตอนนี้เขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่ มีอารมณ์และความปรารถนาที่ไม่สามารถควบคุมได้
เขารู้สึกเพียงอาการชาที่ก้นกบอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ความรู้สึกชานั้นดูเหมือนจะให้กำลังใจเขา และริมฝีปากสีแดงสดนั่นดูเหมือนกำลังยั่วเย้าเขา
ปลายจมูกของทั้งสองอยู่ห่างกันเพียงเล็กน้อย ตราบใดที่เขาก้มศีรษะลงเล็กน้อยก็สามารถครอบครองริมฝีปากสีแดงที่เขาใฝ่ฝันมาตลอด และไม่รู้ว่ามันรู้สึกแบบใดหากได้สัมผัสริมฝีปากคู่นั้น