บทที่ 1120 นักดาบมรณะ
บทที่ 1120 นักดาบมรณะ
“เจ้าฆ่าหลานสาวของเขา เจ้าไม่กลัวว่าเขาจะมาจัดการเจ้าทีหลังอย่างนั้นหรือ ตอนนี้ถานอวี้ซูเปรียบดั่งชีวิตของถานเย่สิง หากมีบางอย่างเกิดขึ้นกับถานอวี้ซู คงจะเกิดเรื่องราวใหญ่โตเป็นแน่”
เกรงว่าจินโหย่วกุ้ยจะไม่สามารถหนีรอดไปได้
จินโหย่วกุ้ยคิดว่าฉินเย่จือคงจะแค่ขู่เขาเท่านั้น เขาจึงไม่กลัวอีกต่อไปและพูดว่า “เจ้าไม่เคยได้ยินหรอกหรือว่าตระกูลจินไม่เคยหวั่นเกรงผู้ใด แล้วจะให้ข้ามาหวาดกลัวขุนนางระดับสองั้นหรือ แล้วข้าจะประสบความสำเร็จเช่นนี้ได้อย่างไรเล่า”
“โอ้… ผู้สนับสนุนตระกูลจินมียศมีตำแหน่งใหญ่กว่าแม่ทัพอย่างนั้นหรือ” ฉินเย่จือเอ่ยถามทันที
กู้เสี่ยวหวานรู้สึกงงงวยเล็กน้อย เมื่อเงยหน้าขึ้นและเห็นว่าฉินเย่จือพูดประโยคดังกล่าวอย่างติดตลก หากแต่ใบหน้าของเขาเรียบนิ่ง
จากนั้นได้ยินจินโหย่วกุ้ยหัวเราะเบา ๆ “แม่ทัพเป็นเพียงขุนนางระดับสองเท่านั้น ข้าจึงไม่ได้ใส่ใจเขาเท่าไรนัก”
ดูเหมือนว่าผู้ที่สนับสนุนอยู่เบื้องหลังตระกูลจินนั้นจะไม่ธรรมดาจริง ๆ
ดวงตาของฉินเย่จือมืดมนลง
แม่ทัพเป็นถึงขุนนางระดับสอง เกรงว่าคงจะไม่มีใครกล้ามารุกรานถานเย่สิงคนที่ฮ่องเต้ทรงเรียกตัวกลับมาด้วยพระองค์เองหรอก
อย่างไรก็ตาม หลังจากรู้ว่าถานอวี้ซูเป็นหลานสาวของถานเย่สิง จินโหย่วกุ้ยก็ยังคงต้องการจัดการกับถานอวี้ซู
ความแน่นอนเพียงอย่างเดียวคือ จินโหย่วกุ้ยไม่ได้ให้ความสำคัญกับถานเย่สิงเลยแม้แต่น้อย
ผู้หนุนหลังตระกูลของเขายิ่งใหญ่กว่าตำแหน่งทางการของถานเย่สิงมาก
อย่างไรก็ตาม ผู้หนุนหลังรายนี้ นอกจากข้าหลวงปกครองแล้ว จะมีใครอีกบ้างที่สามารถคุ้มกะลาหัวของถานเย่สิงได้
ในโรงศาลไม่มี แต่ในฝ่ายอ๋องนั้นมี!
ทันใดนั้น ฉินเย่จือก็นึกถึงใครบางคนและพูดด้วยรอยยิ้ม “เป็นไปได้หรือไม่ว่า นายท่านจินเป็นแขกของหมิงอ๋อง”
ทันทีที่จินโหย่วกุ้ยได้ยินคำว่าแขก เขาก็คลี่ยิ้มและเอ่ยขึ้นอย่างไม่ต้องคิด “แน่นอน ตระกูลจิน…”
จินโหย่วกุ้ยต้องการที่จะพูดอะไรบางอย่าง แต่เมื่อนึกบางอย่างขึ้นมาจึงรีบปิดปากสนิท เขามองไปที่ฉินเย่จือและพูดด้วยความโกรธว่า “เจ้าเป็นใคร เจ้ารู้จักหมิงอ๋องได้อย่างไร”
ใบหน้าของฉินเย่จือดูไร้เดียงสา “เขาเป็นท่านอ๋อง ข้าได้ยินมาว่าเขาผูกมิตรกับคนที่มีความสามารถจากทั่วทั้งดินแดน ตราบใดที่เขาสนใจ เขาจะต้องพยายามปกป้องคนผู้นั้นอย่างเต็มที่ ตระกูลจินคือตระกูลมีอำนาจในเมืองรุ่ยเสียน มีเล่ห์เพทุบาย ข่มเหงรังแกชายหญิง และยังกล่าวว่าแม้แต่ท่านแม่ทัพก็ไม่อยู่ในสายตา ดังนั้นเขาจึงต้องอยู่ภายใต้การดูแลของหมิงอ๋องเป็นแน่”
เมื่อจินโหย่วกุ้ยได้ยินฉินเย่จือกล่าวว่าเขาเป็นคนที่หมิงอ๋องดูแล เขาก็พูดอย่างตื่นเต้นว่า “ตระกูลจินของข้าทรงพลังและมีอำนาจ และหมิงอ๋องก็ปฏิบัติต่อข้าอย่างดี เนื่องจากท่านเดาได้แล้วว่าข้าอยู่ภายใต้การดูแลของหมิงอ๋อง ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ยอมจบมันแต่โดยดี บางทีข้าอาจจะไว้ชีวิตเจ้า”
กู้เสี่ยวหวานกำลังแอบฟังและได้ยินว่าจินโหย่วกุ้ยคนนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับท่านอ๋องแห่งราชสำนัก
ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเขาถึงทำตัวเย่อหยิ่งในเมืองรุ่ยเสียนได้ และก่อคดีมากมายโดยไม่ได้รับโทษ
เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ กู้เสี่ยวหวานก็ขมวดคิ้วแน่นยิ่งขึ้น
“จินโหย่วกุ้ย ท่านทำสิ่งเลวร้ายทุกอย่าง แต่ท่านก็ยังไม่กลับใจและยังพูดเรื่องไร้สาระที่นี่ ท่านไม่กลัวฟ้าผ่าหรือ” กู้เสี่ยวหวานพูดอย่างเด็ดขาด
นางไม่ใช่คนอ่อนแอ ตอนนี้เมื่อนางเห็นว่าตระกูลจินไม่มีอะไรมากไปกว่าการเป็นเบี้ยล่าง และเมื่อนางคิดถึงกู้หนิงผิงที่ได้รับบาดเจ็บเช่นนั้น นางจะไม่โกรธไม่เกลียดเขาได้อย่างไร
เมื่อจินโหย่วกุ้ยเห็นว่าหญิงสาวด้านข้างกำลังดูถูกตนเอง เขาก็อดไม่ได้ที่จะตะโกนเสียงดัง “นางแพศยา เจ้าเป็นใครถึงกล้าว่าข้าเช่นนี้ เจ้าไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วหรือ ใครก็ได้! จับพวกมันมาให้ข้า ถ้าจับไม่ได้ก็เผาร้านจิ่นฝูนี้เสีย”
“แซ่ฉิน เจ้าเก่งศิลปะการต่อสู้มากนักไม่ใช่หรือ ข้าหาปรมาจารย์ศิลปะการต่อสู้มาเล่นกับเจ้าแล้ว”
ทันทีที่จินโหย่วกุ้ยพูดจบ ทันใดนั้นก็เห็นว่าเบื้องหลังของเขามีชายสวมหน้ากากสิบคนในชุดสีดำลอยลงมาจากอากาศ ในมือถือดาบที่แหลมคมบินไปตรงกลาง พวกเขายกดาบขึ้นและเล็งไปที่ฉินเย่จืออย่างพร้อมเพรียงกัน
ฉินเย่จือมองไปที่ชายชุดดำและยิ้มเยาะ “นายท่านจิน ช่างให้เกียรติข้าเสียจริง ท่านถึงกับไปเชิญนักดาบมรณะมาเลยหรือ”
นักดาบมรณะ…
กู้เสี่ยวหวานตกใจและจับมือของฉินเย่จือโดยไม่ได้ตั้งใจ
กู้เสี่ยวหวานไม่คาดคิดว่าตระกูลจินจะยังคงสมรู้ร่วมคิดกับคนพเนจร เป็นไปได้หรือไม่ว่าตระกูลจินต้องการฆ่าพวกเขาจริง ๆ
ไม่ว่ากู้เสี่ยวหวานจะสงบนิ่งแค่ไหน เมื่อเผชิญกับเหตุการณ์เช่นนี้ นางก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกประหม่า
ดาบในมือของคนเหล่านี้ล้วนเป็นของจริง
อาวุธเหล่านี้สามารถทำร้ายคนได้จริง แล้วถ้า…
ทันใดนั้น กู้เสี่ยวหวานก็นึกถึงตอนที่ไปช่วยกู้หนิงผิงที่ทั้งตัวเต็มไปด้วยเลือด ในตอนเช้าที่หนาวเย็นก่อนรุ่งสาง และบริเวณโดยรอบก็สว่างไสวไปด้วยแสงไฟ แต่สายลมยามเช้าที่พัดมาทำให้นางสั่นสะท้านไปทั้งตัว
ชายชุดดำทั้งสิบคนยกดาบขึ้นและรอคำสั่งของจินโหย่วกุ้ย ก่อนที่พวกเขาจะก้าวไปข้างหน้าเพื่อต่อสู้
ฉินเย่จือกำดาบในมือของเขาและมองไปที่ชายสิบคนในชุดดำต่อหน้าเขาโดยไม่แสดงความอ่อนแอใด ๆ
นักดาบมรณะมีทักษะศิลปะการต่อสู้อย่างเก่งกาจ พวกเขาเห็นแค่เงินอยู่ในสายตาเท่านั้นและไม่มีความรู้สึกผิดชอบชั่วดี
ตราบใดที่ใครให้เงินมากกว่า พวกเขาก็จะฆ่าและไม่ถามถึงเรื่องราวใด ๆ
หลังจากฉินเย่จือส่งสายตามั่นใจให้กู้เสี่ยวหวาน เขาก็หยิบหน้ากากออกจากแขนเสื้อ และสวมลงบนใบหน้าของตนเอง
หน้ากากสีเงินเมื่อสะท้อนกับเปลวไฟก็เปล่งประกายอย่างเย็นเยือก เมื่อเห็นว่าเขากำลังจะจากไป กู้เสี่ยวหวานจึงดึงเขาไว้ทันที
คนเหล่านี้แสดงสีหน้าที่ชั่วร้าย และดูเหมือนกับคนรับใช้ของตระกูลจิน
กู้เสี่ยวหวานกังวลเกี่ยวกับฉินเย่จือ ดังนั้นนางจึงดึงแขนของเขาไว้ทันที
เมื่อเห็นว่ากู้เสี่ยวหวานกำลังจะตามไป อาโม่ก็รีบคว้าตัวนางไว้และพูดเบา ๆ ว่า “คุณหนูไม่ต้องกังวล เขาจะไม่เป็นไร”