“ก็ได้ งั้นฉันจะไปเอามาให้ทุกคนดูแล้วกัน พวกคุณรอเดี๋ยวนะ” เพื่อการเดิมพันปากเปล่าในครั้งนี้ จึงกลับไป โชคดีที่ในโลกแผ่นหยกยังเก็บไว้บางส่วน คราวก่อนไม่ได้ขายให้เฉินเจียไปทั้งหมด อีกทั้งของที่อยู่ด้านในสามารถรักษาความสดใหม่เอาไว้ได้อีกด้วย
คิดจะพิสูจน์ตัวเองว่าสามารถปลูกสุดยอดผลผลิตเช่นนั้นออกมาได้จริงๆ นอกจากประชดประชันแล้ว เซี่ยหยางยังมีความคิดอื่นอีก นั่นก็คืออาศัยสมาชิกหมู่บ้านเหล่านี้เป็นคนโฆษณา เพื่อให้คนรู้จักผลผลิตนี้มากขึ้น
ตัวแทนสมาชิกหมู่บ้านเหล่านั้น ล้วนเป็นบุคคลที่มีอิทธิพล คำพูดของพวกเขามีความน่าเชื่อถือ หากแพร่ออกไปก็มีแต่ผลดีไม่มีผลเสียต่อตนเอง อีกทั้งเซี่ยหยางยังมีแผนการที่ใหญ่กว่านี้อีก เพียงแต่ยังต้องการเวลาให้สัมฤทธิ์ผล
“ทำไมยังไม่มาอีก ฉันว่าเขาหนีไปแล้วหรือเปล่า?” รอไม่กี่นาที ลู่เฟยก็ถากถางขึ้นมาอย่างหงุดหงิด
ลู่ต้าฝูรับคำอย่างรวดเร็ว “จะต้องไม่มีหน้ามาพบพวกเราแน่ ถึงได้หาข้ออ้างจากไป ถ้าอย่างนั้นทุกคนก็ไม่ต้องรอแล้ว”
อันที่จริงตัวแทนสมาชิกหมู่บ้านต่างมองหน้ากันและกัน ว่าอย่างไรก็ว่าตามกัน แต่คนส่วนใหญ่ต่างลังเลอยู่เล็กน้อย เพราะอย่างไรการปลูกสุดยอดแตงโมกับผักหัวใหญ่แต่ละชนิด ก็ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงอยู่บ้าง
เวลานี้เอง ในที่สุดเซี่ยหยางก็รีบมายังที่นี่ เพราะอย่างไรจะต้องหาสถานที่ปลอดคนเพื่อเข้าไปยังโลกแผ่นหยก เวลานี้เซี่ยหยางได้หิ้วผักผลไม้ถุงใหญ่มาหลายถุงวางไว้ตรงหน้าทุกคน พลางกล่าวยิ้มๆ ว่า “ขอโทษด้วย เมื่อกี้ทำให้ทุกคนเสียเวลาแล้ว พวกนี้ก็คือผักที่ผมปลูกออกมา เชิญดูกันตามสบาย”
หลังจากที่พวกเกาหมิงเห็น ก็อดตกตะลึงพรึงเพริดไม่ได้ อีกทั้งก็อดทนไม่ไหวที่จะลองชิมดู จากนั้นก็ต่างพากันร้องว่าเยี่ยม ก่อนจะส่งสายตาชื่นชมไปยังเซี่ยหยาง
“ร้ายกาจจริงๆ ผมก็ว่าแล้วเชียวว่าเถ้าแก่เซี่ยมีชื่อเสียงสมจริง ถ้าไม่อย่างนั้นสาวสวยนักลงทุนที่ชื่อเหมยหรูยานคนนั้นก็คงไม่มาลงทุนที่นี่” เกาหมิงพูดชมไม่ขาดปาก
“จริงด้วย ไม่รู้ว่าถ้าแก่เหมยลงทุนเท่าไหร่ สะดวกจะแย้มให้พวกเรารู้บ้างได้ไหมเถ้าแกเซี่ย?” ตัวแทนสมาชิกหมู่บ้านสองสามคนต่างรุมล้อมเซี่ยหยาง แย่งกันถามเขาจนฟังไม่ได้ศัพท์ ดูคึกคักเป็นอย่างยิ่ง
เซี่ยหยางตอบรับไม่ทันอยู่บ้าง ได้แต่พูดอย่างยิ้มแย้มว่า “ก็ไม่มากเท่าไหร่ ตอนนี้ก็กว่าสองล้านได้ แต่เหมยหรูยานบอกว่า หากระยะหลังดีขึ้นกว่าเดิม เธอจะยังลงทุนต่อ”
“น่าอิจฉาจัง อย่างไรก็ตั้งสองล้านเชียวนะ เถ้าแก่เซี่ยคุณโชคดีมาก พวกเราอยากจะเรียนรู้จากคุณจริงๆ” เกาหมิงเกริ่นนำ สมาชิกคนอื่นๆ ก็เอ่ยขอร้องออกมา
เซี่ยหยางกล่าวปฏิเสธอย่างนุ่มนวล “อันที่จริงผมเองก็แค่โชคดีจริงๆ นั่นแหละ พวกคุณก็เห็นแล้ว ไม่ได้มีเทคนิคอะไรเลย”
“คุณถ่อมตัวเกินไปแล้ว พวกเราบริสุทธิ์ใจมากนะ เอาอย่างนี้ดีไหม พวกเราจะเป็นฝ่ายจ่ายค่าเล่าเรียนให้คุณ จากนั้นก็รั้งอยู่คอยช่วยคุณ” เกาหมิงเสนอความเห็นของตัวเองออกมา
คนอื่นๆ ล้วนตกลงเอาด้วย จากนั้นก็ถามเซี่ยหยางว่าต้องการค่าเรียนเท่าไหร่ พวกเขารู้สึกว่าต่อให้ต้องจ่ายค่าเรียนไม่กี่หมื่นก็ถือว่าคุ้มค่า หากเรียนเทคนิคนี้เป็นแล้ว ยังจะกลุ้มว่าหาเงินไม่ได้อีกเหรอ
เดิมทีเซี่ยหยางไม่อยากตอบรับ เพราะว่าไม่มีอะไรน่าสอนจริงๆ แต่ก็โน้มน้าวทุกคนไม่ได้ ซึ่งมันจะไม่ดีหากปฏิเสธความตั้งใจของทุกคน จึงได้แต่รับปากอย่างฝืนๆ ว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ค่าเรียนก็ไม่เอาแล้วกัน พวกคุณสามารถมาได้ทุกเมื่อ แต่ผมขอออกตัวก่อนว่า หากเรียนไม่ได้อะไร อย่ามาหาว่าผมไม่ได้เตือนก่อนแล้วกัน”
“เยี่ยมไปเลย จะเป็นไปได้ยังไงกัน อาจารย์พาเข้าสำนัก บำเพ็ญเพียรอยู่ที่ตัวคน ในเมื่อเถ้าแก่เซี่ยใจกว้างขนาดนี้ พวกเราก็ไม่เกรงใจแล้ว ผมตัดสินใจแล้ว จากนี้ไปจะรั้งอยู่คอยช่วยที่นี่ เรียนรู้เทคนิคเพาะปลูกแบบสมัยใหม่จากเถ้าแก่เซี่ย” เกาหมิงเป็นหัวหอกปลุกระดมขึ้นมา
“อย่างนั้นพวกเราก็จะรั้งอยู่คอยช่วยเหมือนกัน อย่างไรที่ดินเหล่านี้ก็ต้องการคนจัดการ เถ้าแก่เซี่ยคุณมีความเห็นอะไรไหม?” คนอื่นๆ มองเซี่ยหยางอย่างเต็มไปด้วยความคาดหวัง
“เอาตามนี้ ตามใจทุกคน” เซี่ยหยางหัวเราะ มีแรงงานเช่นนี้ ย่อมจะรับปาก อย่างไรพวกเขาก็หาเคล็ดลับอะไรไม่เจอ อีกทั้งแต่ละคนก็เป็นมือดีในการเพาะปลูก เก่งกว่าชาวบ้านธรรมดาอยู่มาก
เวลานี้ลู่เฟยพ่อลูกที่อยู่ด้านข้างก็ตกตะลึงไปแล้ว ทำเสียงฮึดฮัด หน้าตาถมึงทึง พวกเขากลับยังคิดวิธีการโง่ๆ บางอย่างออกมาจะก่อกวนอีก น่าเสียดายที่ความกระตือรือร้นของทุกคนกำลังพุ่งขึ้นสูง จึงแทรกคำพูดไม่ได้โดยสิ้นเชิ
“ผู้ใหญ่บ้านลู่ พวกคุณไม่มาเรียนด้วยหรือ?” ด้วยความหวังดี เกาหมิงจึงเอ่ยปากถามออกมา แต่นี้กลับเป็นการดึงดูดความสนใจของตัวแทนสมาชิกหมู่บ้านคนอื่นๆ
“คือวา ระยะนี้หมู่บ้านเกาตี้ของเรายุ่งมาก หากมีเวลาว่าง ฉันจะมา” ลู่ต้าฝูเต็มไปด้วยความกระอักกระอ่วน ได้แต่พูดผ่านๆ ไปสองสามประโยค
“นั่นสิ พวกเรายังมีธุระ คงต้องขอตัวก่อน ลาก่อนทุกท่าน” ลู่เฟยเห็นว่าก่อกวนไม่สำเร็จ จึงได้แต่ตีกลองถอยทัพ ตอนที่กำลังจะจากไปยังถลึงตาใส่เซี่ยหยาง ท่าทางไม่ยอมแพ้อย่างมาก
เซี่ยหยางคร้านจะสนใจ ได้แต่เฝ้าภาวนาให้พวกเขาไสหัวไปโดยเร็ว จะได้ไม่ต้องขบคิดอุบายมาสู้กัน
“เจ้าลูกชาย เซี่ยหยางคนนี้ไม่ธรรมดาจริงๆ ดูท่าทางหมู่บ้านเกาตี้ของเราจะอันตรายแล้ว หากเป็นอย่างนี้ต่อไป สินค้าเกษตรเหล่านั้นของหมู่บ้านเราเกรงว่าคงจะขายไม่ได้แล้ว อีกทั้งฐานะและชื่อเสียงในอนาคตก็คงจะได้รับผลกระทบไปด้วย แบบนี้จะทำยังไงกันดี?” ระหว่างทางที่กลับไป ลู่ต้าฝูกังวลใจมาก ก่อนที่เซี่ยหยางยังไม่ปรากฏตัว หมู่บ้านเกาตี้เป็นหมู่บ้านที่ร่ำรวยชื่อเสียงขจรไกล คนส่วนใหญ่ต่างมาชื่นชมศึกษาดูงาน และรับซื้อสิ้นค้า
เพียงช่วงเวลาไม่กี่ปี ลู่ต้าฝูก็ได้กำไรเป็นกอบเป็นกำ พูดได้ว่าร่ำรวยก็ไม่เกินไปนัก และเพราะแบบนี้ ถึงมีเงินลงทุนออกทุนเปิดบริษัทให้ลูกชาย เดิมทีหมู่บ้านเกาตี้กำลังเฟื่องฟู ทุกปีล้วนได้รับเลือกเป็นหมู่บ้านตัวอย่าง แต่ปีนี้เกรงว่าคงจะชวดเสียแล้ว
นับตั้งแต่ที่ผักผลไม้สดของเซี่ยหยางออกมา การค้าขายในหมู่บ้านก็แย่ลงอย่างเห็นได้ชัด เมื่อก่อนพ่อค้ารับซื้อมากน้อยก็ยังมากันบ้าง พึงรู้ไว้ว่าที่ดินมากกว่าครึ่งในหมู่บ้านเกาตี้ล้วนเป็นลู่ต้าฝูอาศัยตำแหน่งผู้ใหญ่บ้านกับอุบายเช่ามาปลูก หากสินค้าเกษตรเหล่านั้นขายไม่ออก คงจะขาดทุนย่อยยับแน่
อีกทั้งสิ่งที่ลู่ต้าฝูกังวลใจยิ่งกว่าคือ ระยะนี้ยังมีชาวบ้านมาถามเรื่องเซี่ยหยางกับเขาที่นี่ ถึงขั้นถามเรื่องถอนสัญญาเช่าคืนได้ไหมอีกด้วย
ลู่ต้าฝูรู้สึกถึงความอันตราย หากให้เกิดเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าชาวบ้านคงจะไม่พอใจแล้ว หากเกิดเอาที่ดินกลับคืน ต่อไปตนเองก็คงไม่มีจะกินแล้ว
“พ่อ พ่อไม่ต้องกังวล พวกเรายังมีไพ่ตายอยู่ไม่ใช่เหรอ? อย่ามองว่าที่เซี่ยหยาบทำคือการเฟื่องฟู ถึงเวลายังไม่ใช่พูดแค่ประโยคเดียวก็ทำให้เขาไสหัวไปได้เหรอ พวกเราไปหาหยางอู่เจิ้งกันเดี๋ยวนี้เลย ให้เขาลองคิดหาวิธีบางอย่าง ร่างแผนการกับประกาศลงมา พวกเราค่อยคิดวิธี ว่าจะกดดันให้เซี่ยหยางล้มยังไง ให้เขาทำต่อไปไม่ได้ และถอนตัวออกจากอาชีพนี้ ขอเพียงเขาไม่ทำแล้ว เรื่องของเรายังไม่ใช่สำเร็จได้อย่างง่ายดายอีกเหรอ” ลู่เฟยกัดฟันกรอด เอ่ยขึ้นอย่างเย็นเยียบ
“แต่ต้องใช้วิธีใดกันถึงจะสามารถบีบให้เซี่ยหยางถอนตัวได้? ตอนนี้เขากำลังเฟื่องฟู เรื่องคงจะไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้น” ลู่ต้าฝูยังคงอดกังวลไม่ได้
“วางใจเถอะครับ ผมคิดวิธีที่ดีเยี่ยมวิธีหนึ่งออกแล้ว สรุปว่าหากเซี่ยหยางไม่ถอนตัวออกไป ผมก็จะไม่เลิกราง่ายๆ แน่ คอยดูแล้วกัน” ลู่เฟยหันหลังกลับไปมองเซี่ยหยางกับหมู่บ้านตงเจียว จากนั้นก็ถลึงตาใส่อย่างดุร้ายอยู่หลางครั้ง
เซี่ยหยางย่อมไม่รู้ว่าลู่เฟยพ่อลูกคิดจะจัดการตัวเองเช่นไร หลังจากที่เขาดูแลตัวแทนสมาชิกหมู่บ้านเหล่านั้นเรียบร้อยแล้วก็กลับไป
เวลานี้เห็นเหอเสี่ยวหย่านั่งยองๆ อยู่ในลานบ้าน ค้อมเอวกำลังพิจารณาอะไรบางอย่างอยู่
เหอเสี่ยวหย่าอยู่ในชุดเดรสสั้นเย็นสบายตัวหนึ่ง ขาสวยเพรียวยาว ขับเน้นสะโพกงอนให้เด่นชัด ทำให้เซี่ยหยางรู้สึกมึนงงตาลายอยู่บ้าง หลีกเลี่ยงให้คิดดีไม่ได้เลย โดยเฉพาะคอเสื้อที่เปิดกว้างนั่นของเธอ ช่างดูอวบอัดและขาวผ่อง ทำให้คนเลือดลมพลุ่งพล่าน
เซี่ยหยางแข็งใจรบกวนเธอไม่ลง แต่มักรู้สึกว่าแบบนี้ดูไม่ค่อยจะดีนัก ดังนั้นจึงทำเสียงกระแอมเบาๆ ก่อนจะถามว่า “คุณกำลังทำอะไรอยู่น่ะ?”
“คุณกลับมาแล้ว ไม่ได้ทำอะไรค่ะ” เหอเสี่ยวหย่าพบว่าดวงตาของเซี่ยหยางร้อนแรง จึงตระหนักได้ว่าท่าทางของตนเองล่อตาล่อใจและไม่สำรวมอยู่บ้าง จึงรีบยกมือมาดึงคอเสื้อไว้ทันที จากนั้นก็ดึงกระโปรงลง ใบหน้าขับสีแดงระเรื่อสายหนึ่งออกมา
เซี่ยหยางมองไปยังสิ่งที่เหอเสี่ยวหย่าพิจารณาอยู่เมื่อกี้ จากนั้นก็เกาศรีษะนิ่งคิด นี่มันพืชต้นหนึ่งที่ก่อนหน้านี้ตนเองดึงออกมาจากโลกแผ่นหยกไม่ใช่เหรอ มันงอกอยู่ระหว่างต้นโสมกับเห็ดหลินจือ คล้ายกับวัชพืช แต่หน้าตาแปลกประหลาด ตนเองก็ยังไม่เคยพบเห็นมาก่อน
ระยะนี้เขาเองก็ไม่ได้สนใจมันเท่าไหร่นัก ดูท่าทางเหมือนจะเติบโตมากขึ้นกว่าเดิม สภาพราวกับว่ายังจะมีดอกไม้บานอีก
“คุณกำลังดูเจ้านี่? คุณรู้ไหมว่ามันคืออะไร?” เซี่ยหยางถามอย่างสงสัย
“ไม่รู้ค่ะ ฉันเองก็ไม่เคยเห็นเหมือนกัน ก็เลยแปลกใจ” เหอเสี่ยวหย่ากัดริมฝีปากแดง สายตากลับไม่ละไปจากเจ้าพืชต้นนั้น
“ผมรู้สึกว่ามันน่าจะเป็นวัชพืช ถ้าอย่างนั้นถอนทิ้งเถอะ” เซี่ยหยางจงใจพูดเช่นนี้ เพราะเขาพบว่าอากัปกิริยาของเหอเสี่ยวหย่าดูไม่เป็นธรรมชาติ ราวกับรู้อะไรบางอย่าง ดังนั้นจึงยื่นมือไปดึงเจ้าต้นนั่น
เหอเสี่ยวหย่ารีบวิ่งเข้ามากอดเซี่ยหยางไว้ ไม่เคยมีความตื่นเต้นเช่นนี้มาก่อน แถมยังรีบตะโกนว่า “คุณอย่าแตะต้องมั่วซั่ว ไม่ได้นะคะ”
เซี่ยหยางชะงักไป ชั่วขณะนั้นรู้สึกถึงกลิ่นหอมโชยเข้าจมูก ทั้งยังอบอุ่นอ่อนโยน จึงกล่าวอย่างใจลอยว่า “ก็แค่วัชพืชต้นหนึ่งไม่ใช่เหรอ มีอะไรน่าแปลกประหลาดกัน มันกำลังยึดครองพื้นที่ตรงนี้อยู่”
“ไม่ใช่หรอก คุณอย่าดึงเชียว” เหอเสี่ยวหย่ารีบห้าม ยังคงกอดเซี่ยหยางไว้ไม่ยอมปล่อย
เซี่ยหยางเริ่มไม่สบายใจแล้ว ด้วยนิสัยของเหอเสี่ยวหย่า ผู้เป็นเจ้าของนิสัยอ่อนโยนเฉกเช่นหญิงสาวจิตใจดีคนหนึ่ง จู่ๆ จะเป็นฝ่ายเริ่มก่อนเช่นนี้ได้อย่างไร เขาจึงแสยะยิ้ม แล้วพูดว่า “ผมไม่ดึงแล้ว คุณปล่อยมือก่อนนะ”
“อ้อ คุณพูดจริงนะคะ” เหอเสี่ยวหย่าเหมือนจะยังไม่วางใจ จึงถามดูอีกครั้ง ถึงค่อยๆ ปล่อยเซี่ยหยางออกอย่างช้าๆ จู่ๆ ใบหน้าก็แดงแปร๊ดขึ้นมา หัวใจเต้นรัว ตระหนักได้ว่าตนเองบุ่มบ่ามเกินไป เมื่อกี้ถึงกับเป็นฝ่ายกอดเซี่ยหยางก่อน น่าอายชะมัดเลย
“ขอผมดูหน่อย มันเป็นอะไรกันแน่” เซี่ยหยางพูดพลางยื่นมือไปหา
ใครจะรู้ว่าเหอเสี่ยวหย่าจะวิ่งมาถึงเขาไว้อีกครั้ง ราวกับเกิดกลัวว่าเซี่ยหยางจะไปทำลายมัน จึงกระทืบเท้าอย่างร้อนใจ ก่อนจะพูดว่า “คุณอย่าไปแตะมัน ระวังหน่อยค่ะ”
เวลานี้หากเซี่ยหยางยังไม่รู้อีกว่าของสิ่งนี้หายาก นั่นก็เท่ากับโง่แล้ว ถ้าไม่อย่างนั้นเหอเสี่ยวหย่าก็คงไม่เคร่งเครียดถึงขนาดนั้นหรอก กระทั่งไม่สนใจภาพลักษณ์ของตัวเองด้วยซ้ำ นักวิชาการสาวสวยอย่างเธอจะต้องรู้อะไรแน่
“ผมไม่แตะแล้ว ยกเว้นคุณจะบอกผมว่ามันคืออะไร ถ้าไม่อย่างนั้นผมก็จะถอนทิ้ง” เซี่ยหยางจงใจขู่ให้เหอเสี่ยวหย่ากลัว เขาก็รู้สึกเช่นกันว่าก่อนหน้านี้ตนเองประมาทไป ของสิ่งนี้อยู่ในโลกแผ่นหยก ต่อให้เป็นหญ้าธรรมดาต้นเดียว ก็เป็นความมหัศจรรย์แล้ว
“ฉัน ฉันบอกแล้ว แต่คุณห้ามบุ่มบ่าม” เหอเสี่ยวหย่าพูดพลางขวางอยู่ด้านหน้าเซี่ยหยาง หยิบกิ่งไม้มาล้อมต้นพืชต้นนี้ไว้อย่างระมัดระวัง จากนั้นจึงพูดว่า “อันที่จริง ฉันเองก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร อย่างน้อยก็ยังไม่รู้ตอนนี้”
“แล้วคุณเคร่งเครียดขนาดนั้นทำไม?” เซี่ยหยางรู้สึกผิดหวังอยู่บ้าง
เหอเสี่ยวหย่าดวงตาเป็นประกาย แล้วกระซิบว่า “แม้ว่าจะไม่รู้ แต่มันจะต้องล้ำค่ามากแน่ คุณดูให้ดีๆ สิคะ มันมีใบแค่สองใบ แถมยังไม่มีกิ่งด้วย คุณดูสีมันสิคะ คุณรู้สึกว่าสีเหมือนพืชต้นไหนบ้าง?”
เซี่ยหยางพินิจดูอย่างละเอียด ก่อนหน้านี้ไม่ทันได้สังเกต พอเหอเสี่ยวหย่าเตือนเช่นนี้ ยิ่งดูก็ยิ่งแปลกอย่างที่ว่าจริงๆ พืชต้นนี้เหมือนมีหน่ออ่อนงอกออกมาหน่อหนึ่งจริงอยู่ แต่กลับมีความสูงเพียงครึ่งเมตร ดูจากลักษณะของใบ มีความคล้ายกับโสมอยู่บ้าง แต่เป็นลำต้น อีกทั้งสีก็ยังคล้ายคลึงกับสีของเห็ดหลินจือด้วย