บทที่ 808 ทองแผ่นเดียวกัน
บทที่ 808 ทองแผ่นเดียวกัน
หุบเขาเทพโอสถตอบรับการสู่ขอแต่งงานแล้ว
มู่ซืออวี่เตรียมคนให้ไปรับถงซื่อและท่านหมอจูมาทันที
โรงหมอของท่านหมอจูมีท่านหมออยู่ประจำหลายคน กล่าวกันตามหลักแล้ว หากเขาไม่อยู่ช่วงระยะเวลาหนึ่งย่อมไม่มีปัญหา ทว่าเมื่อมีข่าวว่าเขาจะไม่อยู่สักพัก คนไข้หลายคนจึงมาถามว่าเมื่อใดเขาจะกลับมา
ท่านหมอจูไม่ได้ปิดบัง บอกไปว่ามู่เจิ้งหานกำลังจะแต่งงงาน พวกเขาเป็นเจ้าภาพในงานแต่งครั้งนี้ กำหนดกลับยังไม่แน่ชัด
ยิ่งไปกว่านั้นสถานที่ที่พวกเขาไปในครั้งนี้คือเมืองถงหยาง เป็นสถานที่ที่ทุกคนใฝ่ฝัน ก่อนหน้านี้อยากจะไปเยี่ยมสักครั้ง เพียงแต่คนไข้ต้องการเขา ตอนนี้ไม่ง่ายเลยกว่าจะได้ไปสักเที่ยว อย่างไรก็ต้องเที่ยวให้หนำใจก่อนกลับมา
“เมืองถงหยางหรือ ที่นั่นเป็นที่ศักดินาของฮูหยินลู่ เครื่องกรองน้ำของพวกเขาวิเศษมาก ข้าจ่ายเงินไปมากเพื่อจะหาซื้อมันยังซื้อไม่ได้ ร้านเรือนกรุ่นฝันขายเดือนละร้อยเครื่อง แต่ก่อนที่พวกเขาจะวางขายก็ถูกลูกค้าเก่าชิงไปเสียแล้ว กฎเดิมของเรือนกรุ่นฝันที่ใช้มาเป็นเวลาหลายปีคือ หากมีสินค้าใหม่วางขายจะขายให้กับลูกค้าเก่าก่อน หากยังเหลือจึงจะวางขายหน้าร้าน เพื่อที่จะได้เจ้าเครื่องนี้ ข้าพยายามหนักมากท่านจะไปหาฮูหยิน ท่านช่วยแนะนำนางให้เพิ่มจำนวนสินค้าที่จะขายในเมืองฮู่เป่ยหน่อยได้หรือไม่?”
“ข้าได้ยินว่าซื้อได้ยากอยู่จริง ๆ ลูกค้าเก่าที่เมืองหลวงก็อาศัยจุดนี้แย่งกันซื้อ” ถงซื่อที่กำลังต้มยาอยู่ข้าง ๆ เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “แต่คำพูดของท่าน ข้าจะเอาไปบอกนางให้เอง”
“ท่านโชคดีจริง ๆ!” สตรีผู้นั้นเอ่ยต่อ “ลูกสาวกับลูกเขยมีความสามารถมากมายปานนั้น ตอนนี้แม้กระทั่งเรื่องการแต่งงานของลูกชายก็สำเร็จแล้ว จริงสิ ลูกสะใภ้ของท่านผู้นั้นเป็นคนบ้านใดหรือ?”
“ลูกสะใภ้ผู้นั้นของข้ามีความสามารถจริง ๆ” ถงซื่อเอ่ย “เจ้ารู้จักหุบเขาเทพโอสถกระมัง?”
“รู้จักสิ!”
“นางคือแม่นางอินหมอเทวดาผู้นั้น เป็นศิษย์ของเทพโอสถ ผู้สืบทอดหุบเขาเทพโอสถในอนาคต”
“เป็นท่านหมอหรือ มิหนำซ้ำยังเป็นหมอเทวดาด้วย!”
เหล่าคนไข้ล้วนตกตะลึง
คุณหนูผู้สูงศักดิ์สกุลขุนนางใหญ่ สำหรับพวกเขาแล้วอยู่ห่างไกลกันเกินไป หมอเทวดาที่ว่ายังรู้สึกใกล้ตัวพวกเขาขึ้นมาบ้าง นอกจากนี้ยังรักษาโรคช่วยชีวิตคน ยิ่งไม่ได้รับความเคารพจากผู้คนในใต้หล้ามากกว่าคุณหนูสกุลใหญ่เหล่านั้นอีกหรือ?
“ถูกแล้ว นางช่วยคนมาไม่น้อยเชียว เป็นแม่นางจิตใจดีมากผู้หนึ่ง”
“ประเสริฐ เยี่ยมไปเลย! หากแต่งงานกับคุณหนูผู้สูงศักดิ์สกุลใหญ่ ท่านที่เป็นแม่สามีผู้นี้คงไม่รู้ว่าจะเข้ากันได้อย่างไรแล้ว ยามนี้พวกท่านล้วนเป็นผู้รักษาคนไข้ช่วยชีวิตคนเหมือนกัน ย่อมมีเรื่องให้พูดคุยกันมากขึ้นแล้วกระมัง”
“ข้าก็คิดเช่นนั้น” ถงซื่อเอ่ย “ยิ่งไปกว่านั้น ข้าเชื่อในสายตาของลูกสาว ลูกสาวข้าคัดกรองด้วยตนเองแล้ว ต้องไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน”
ชายชราผมหงอกผู้หนึ่งเดินหาบตะกร้าผ่านทางเข้าโรงหมอ เมื่อได้ยินบทสนทนาของคนเหล่านั้น ฝีเท้าของเขาจึงค่อย ๆ ก้าวช้าลง สีหน้าปรากฏความลังเลใจ
หานเอ๋อร์จะแต่งงานแล้ว
ในตอนนี้เอง ถงซื่อและท่านหมอจูก็เดินออกมาพร้อมกับจูเฉิน
จูเฉินเป็นเด็กว่านอนสอนง่าย ฉลาดมีไหวพริบ ถงซื่อและท่านหมอจูจูงมือเขาคนละข้าง ผู้ใดที่เห็นภาพนี้ต่างอดยิ้มอย่างรู้กันไม่ได้
ช่างเป็นครอบครัวที่มีความสุขจริง ๆ
“ฮูหยินผู้เฒ่า นายท่านผู้เฒ่าจู รถม้าพร้อมแล้วขอรับ ตอนนี้ออกเดินทางได้แล้ว” คนงานผู้หนึ่งขับรถม้ามา “อย่างอื่นล้วนไม่ต้องเตรียม ของใช้เล็ก ๆ น้อย ๆ ระหว่างทางเตรียมไว้พร้อมแล้วขอรับ หากไปถึงเมืองถงหยาง ทางนั้นฮูหยินก็เตรียมพร้อมแล้วเช่นกัน พวกท่านเพียงแค่เก็บสัมภาระนิดหน่อยขึ้นรถไปก็พอขอรับ”
“ได้ พวกเราไปกันเถอะ! ในที่สุดหานเอ๋อร์ก็แต่งงานแล้ว ข้าอยากจัดการเรื่องนี้โดยเร็วที่สุด ทางข้างหน้าเวลายิ่งยาวนาน อุปสรรคยิ่งมาก”
“ในที่สุดหานเอ๋อร์ก็ได้พบงานแต่งที่เป็นโชคชะตาของเขาเสียที ท่านก็อย่าได้ตื่นเต้นไปเลย ขอเพียงแค่เป็นของเขา อย่างไรก็ไม่พ้นเป็นของเขา” ท่านหมอจูรู้ว่าถงซื่อกำลังกังวลสิ่งใด
ชายชราหาบของเฝ้ามองรถม้าแล่นออกไปไกลขึ้นเรื่อย ๆ
ดวงตาเหนื่อยล้ามากด้วยความชราคู่นั้นเต็มไปด้วยความไม่ยินยอมและความเจ็บปวด ทว่า…
เขาไม่ได้อยู่ในสถานะที่จะเรียกร้องสิ่งใดได้
สำหรับอีกฝ่าย เกรงว่าเขาจะไม่มีตัวตนอยู่อีกต่อไปแล้ว
“ท่านยังทำอะไรอยู่ตรงนี้อีก?” หนิวเหมยสาวเท้าเข้ามา “เร่งฝีเท้าเร็วเข้า เจ้านายทางนั้นเร่งมาแล้ว”
“อืม”
มู่ต้าซานเดินหาบตะกร้าตามหนิวเหมยไป
หนิวเหมยเหลือบมองไปทางโรงหมอ แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเสียดสี “ท่านมาทำอะไรที่นี่? คงไม่ได้ตัดใจลืมภรรยาเก่าไม่ได้กระมัง?”
“อย่าพูดจาเหลวไหล” มู่ต้าซานขมวดคิ้ว
“ตอนนี้ลูกสาวของท่านเก่งกาจจริง ๆ ไม่เพียงเป็นฮูหยินอัครมหาเสนาบดีเท่านั้น แต่ยังมีเมืองหนึ่งเป็นที่ศักดินา แถมยังมีกิจการที่นี่อีก แต่ละวันหาเงินได้เป็นพันเป็นหมื่นตำลึงทองเชียว นางร่ำรวยปานนี้ ยังไม่คิดจะพาท่านที่เป็นพ่อแท้ ๆ ไปเสวยสุข ผู้ใดจะคิดว่าพ่อแท้ ๆ ของฮูหยินอัครมหาเสนาบดียังหาบมูลสัตว์ให้ผู้อื่น? น่าขันจริง ๆ”
“เจ้าไม่ต้องพูดแล้ว!” มู่ต้าซานเอ่ยอย่างหมดความอดทน “ข้าไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับพวกเขา อย่าเอ่ยถึงเรื่องพวกนี้อีก”
“สีหน้านี้ของท่านอดกลั้นไม่ได้แล้วกระมัง?” หนิวเหมยขมวดคิ้ว “แต่ก็ใช่ ลูกชายลูกสาวต่างไม่ยอมรับ หากเป็นข้า ข้าก็ไม่อยากเอ่ยถึงพวกเขาแล้ว”
หลังจากถงซื่อและท่านหมอจูมาถึงเมืองถงหยาง มู่ซืออวี่ก็ช่วยจัดแจงที่ทางให้พวกเขา วันนั้นทั้งครอบครัวมาทานมื้อค่ำอย่างพร้อมหน้าพร้อมตากัน
ไม่ผิด! ทั้งครอบครัว
ลู่อี้ก็มาถึงแล้วเช่นกัน
ช่วงเวลาระหว่างนี้มู่ซืออวี่ไม่เพียงแต่ต้องตระเตรียมข้าวของสำหรับงานแต่งเท่านั้น แต่ยังต้องส่งมอบงานให้กับมู่เจิ้งหานอย่างเป็นทางการอีกด้วย งานในมือนางจำต้องส่งมอบให้กับมู่เจิ้งหานทั้งหมด รวมถึงลูกน้องที่นางให้ความสำคัญ บัดนี้ล้วนเหลือไว้ให้มู่เจิ้งหาน
มิฉะนั้นหากนางไปแล้วและพาลูกน้องไปด้วย ตำแหน่งสำคัญหลายตำแหน่งในเมืองถงหยางจะว่างลง หากคนใหม่เข้ามารับตำแหน่งก็จะใช้เวลาในการเติบโตนานขึ้น ไม่เป็นผลดีต่อการพัฒนาของเมืองถงหยาง ดังนั้นทิ้งคนเหล่านี้ให้มู่เจิ้งหานค่อย ๆ ฝึกฝน ย่อมเป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุดต่อพวกเขาทั้งสอง
ถงซื่อและท่านหมอจูในฐานะผู้อาวุโสของมู่เจิ้งหานเป็นเจ้าภาพจัดงานแต่ง
นอกจากการสู่ขอแต่งงานในขั้นตอนแรกที่มู่ซืออวี่เป็นคนออกหน้าแล้ว หลังจากตกลงเรื่องการแต่งงาน มู่ซืออวี่ก็ทำการนัดแนะหารือเรื่องการแต่งงานกับหุบเขาเทพโอสถ พิธีการอื่น ๆ ต้องรอให้ผู้อาวุโสมาถึงก่อนจึงจะดำเนินการต่อไป
ในวันที่เก้าเดือนสิบ เป็นวันมหามงคล มู่เจิ้งหานแต่งงานกับอินอิ๋งจู๋อย่างเอิกเกริก
ราษฎรทั้งเมืองถงหยางเป็นแขก งานเลี้ยงน้ำไหลจัดขึ้นเป็นเวลาสามวันสามคืนติดต่อกัน แม้เป็นผู้ที่ผ่านมาอยากเข้ามาร่วมฉลอง ขอเพียงแค่มากล่าวคำอวยพร ของขวัญนั้นเป็นเพียงเรื่องรอง หากไม่มีก็สามารถมารับประทานอาหารอันโอชะได้เช่นกัน
งานแต่งในครั้งนี้จะเป็นที่กล่าวขานไปอีกหลายทศวรรษ อย่างไรเสียงานแต่งที่ยิ่งใหญ่อลังการเช่นนี้ นอกจากสกุลลู่และสกุลมู่ก็ไม่มีสกุลใดที่จะจัดได้อีกแล้ว
หลังงานแต่งผ่านพ้นไป มู่ซืออวี่ก็ต้องกลับเมืองหลวง
มู่ซืออวี่หันไปมองฉีเซียวผู้ที่ปลดเปลื้องชุดเกราะออก สายตาแสดงความประหลาดใจ “ท่านก็ต้องกลับไปเมืองหลวงด้วยหรือ?”
ฉีเซียวเอ่ย “เมืองถงหยางมีกองกำลังถึงห้าแสนนาย หากข้าไม่กลับเมืองหลวง ผู้ที่จะถือว่าเป็นกบฏรายต่อไปคงเป็นข้าเอง”
“ขอเพียงท่านจงรักภักดี ก็ไม่จำเป็นต้องกังวลมากเกินไป” ลู่อี้ที่อยู่ข้าง ๆ เอ่ยเหน็บแนมขึ้นมา
“ข้าก็อยากจงรักภักดี ทว่าบางคราความคิดเกิดขึ้นมาได้ยากจะควบคุม แทนที่จะสะสมกองทัพของตนเอง ไม่สู้กลับไปเมืองหลวงอยู่ใต้จมูกฝ่าบาท หากเขาวางใจ ข้าก็วางใจตามไปด้วย”