บทที่ 818 นางต้องการทำข้อตกลง
บทที่ 818 นางต้องการทำข้อตกลง
ฟ่านหยวนซีไม่ไปพบแม้กระทั่งแม่ทัพที่ขอเข้าเฝ้า เพียงแต่ตรงไปที่ตำหนักจิ่นซิ่วทันที
เมื่อเขามาถึงตำหนักจิ่นซิ่วก็เห็นเพียงข้ารับใช้วังหลวงเฝ้าประตู เสียงของสตรีผู้หนึ่งแว่วออกมาจากข้างใน เสียงนั้นไม่ได้เป็นของซ่างกวนจิ่นซิ่ว คิดว่าคงเป็นเสียงของเซวียนหวางเฟยซูฟางหวา
เขายกมือห้ามข้ารับใช้ไม่ให้ทำความเคารพ
ข้ารับใช้เพิ่งคุกเข่าลง เมื่อเห็นท่าทางเช่นนี้แล้วก็ไม่กล้าแม้กระทั่งส่งเสียงออกมา
ฟ่านหยวนซียืนอยู่ที่ประตู ฟังบทสนทนาข้างใน
ไม่สิ ควรกล่าวว่าเป็นเสียงของซูฟางหวาที่เล่นละครอยู่เพียงผู้เดียวมากกว่า
“ข้ารู้ว่าตนเป็นเพียงบุปผาช้ำต้นหลิวร่วงโรย*[1] ฝ่าบาทย่อมรังเกียจ ข้าไม่ขอสิ่งอื่นใด แค่เพียงอยากขอที่อยู่อาศัยไปทั้งชีวิต ท่านและข้าเป็นเพียงองค์หญิงต่างแดนที่แต่งงานมาเชื่อมสัมพันธ์ หากจะกล่าวว่าผู้ใดเข้าใจข้าดีที่สุดในใต้หล้านี้ก็ควรจะเป็นท่าน คนอย่างเรา ๆ ที่เดินทางไกลมาพันลี้เพื่อแต่งงานเพราะผลประโยชน์ พอหมดประโยชน์ก็จะโดนเขี่ยทิ้ง ไม่มีผู้ใดสนใจความเป็นความตายของเรา ขอเพียงฝ่าบาทแต่งตั้งข้าเป็นสนม ข้ายินดีติดต่อกับอาณาจักรเหลียง ไม่ให้พวกเขามอบกองทัพให้เซวียนอ๋องหยิบยืม นี่เป็นเรื่องที่ดีงามสำหรับทั้งราชสำนัก อีกทั้งยังเป็นเรื่องดีต่อใต้หล้า ข้าจะไม่แก่งแย่งชิงความโปรดปรานกับท่าน อย่างไรเสียฝ่าบาทก็ไม่มีทางพึงใจสตรีที่ไม่บริสุทธิ์ผู้หนึ่งเช่นข้า”
ฟ่านหยวนซีไม่ได้รีบร้อนรุดเข้าไป หากแต่รอคอยคำตอบของซ่างกวนจิ่นซิ่ว
“หากเจ้าอยากร่วมมือกับฝ่าบาทก็สามารถไปหาฝ่าบาทได้โดยตรง ไยต้องมาหาข้า? คำพูดของสตรีเพียงผู้เดียวอย่างข้าไร้ประโยชน์ เจ้ามาหาข้าก็เปล่าประโยชน์” ซ่างกวนจิ่นซิ่วเอ่ย
“คำพูดของสตรีอย่างเราจึงจะมีน้ำหนัก นอกจากนี้ท่านและข้าล้วนเป็นคนเส้นทางเดียวกัน ท่านเข้าใจความยากลำบากของข้าดีที่สุด แน่นอนว่าข้าย่อมอยากขอให้ท่านช่วย บัดนี้ท่านมีครรภ์แล้ว สถานะยิ่งมั่นคงกว่าเดิม ยังกลัวข้าแย่งชิงความโปรดปรานไปจากท่านอีกหรือ?”
“ข้าไม่อยากให้สามีตนเองแต่งงานกับสตรีอื่น ถึงแม้จะเป็นเพียงสนมก็ไม่ได้ เจ้าอย่าได้มาเสียเวลากับข้าเลย ข้าไม่มีท่างช่วยเจ้า”
ปัง! ฟ่านหยวนซีเปิดประตูเดินเข้าไป
ซูฟางหวาเห็นฟ่านหยวนซีเดินเข้ามา หน้าของนางพลันเปลี่ยนสี
ฟ่านหยวนซีตะโกนออกไปข้างนอก “นำตัวนางออกไป!”
“ฝ่าบาท…” ซูฟางหวาคุกเข่าลงต่อหน้าฟ่านหยวนซี “ข้าก็เป็นองค์หญิงแห่งอาณาจักรเหลียงเช่นกัน เซวียนอ๋องทำสิ่งใดข้าไม่รู้ไม่เห็นทั้งนั้น ท่านจะทำอย่างนี้กับข้าไม่ได้นะเพคะ”
“หากอาณาจักรเหลียงของเจ้าคิดจะรบก็ปล่อยให้ม้าเข้ามาเถิด” ฟ่านหยวนซีเอ่ยเสียงราบเรียบ “หากราชสำนักของข้าไม่มีแม่ทัพใช้ได้แม้เพียงผู้เดียว เช่นนั้นข้าจะนำทัพเอง จะได้สะสางความแค้นทั้งบัญชีเก่าและบัญชีใหม่กับอาณาจักรเหลียง!”
ซูฟางหวาถูกกักบริเวณมานานจนนางแทบเป็นบ้า ครั้งนี้หลังจากตัดสินใจอย่างถี่ถ้วนแล้ว จึงอยากจะวางเดิมพันกับซ่างกวนจิ่นซิ่วดูสักครั้ง หากทำสำเร็จก็เป็นความโชคดีในความโชคร้าย ทว่าสุดท้ายกลับเป็นนางที่ไร้เดียงสาเกินไป ฟ่านหยวนซีเดิมทีก็ไม่เห็นองค์หญิงที่ไม่เป็นที่โปรดปรานผู้หนึ่งอยู่ในสายตาแม้แต่น้อย เขาไม่ได้ฆ่านาง ไม่ใช่เพราะนางเป็นองค์หญิงของอาณาจักรเหลียง ไม่ใช่เพราะเขาเกรงว่าจะทำให้อาณาจักรเหลียงโกรธ เพียงแต่เป็นเพราะเขาไม่แม้แต่จะสนใจที่จะจัดการนางแม้แต่น้อยต่างหาก
ซ่างกวนจิ่นซิ่วเห็นว่าฟ่านหยวนซีกำลังโกรธจึงดึงชายอาภรณ์เขาด้วยความระมัดระวัง “ข้าไม่ได้พบนางเพียงลำพังนะเพคะ ท่านก็เห็นว่าข้าอยู่ไกลเพียงนี้ ไม่แม้แต่จะใกล้นางเสียด้วยซ้ำ อีกทั้งข้างกายยังมีคนคอยคุ้มกัน”
“ข้ายอมให้เพียงครั้งนี้ครั้งเดียวเท่านั้น อย่าให้เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นอีกเป็นอันขาด”
สตรีบ้าบอผู้นี้มีความจำเป็นอะไรให้ต้องพบกัน?
จริงอยู่ที่นางเป็นองค์หญิงจากอาณาจักรเหลียง แต่ถึงแม้ว่านางจะตายอยู่ที่นี่ก็ไม่มีทางที่อาณาจักรเหลียงจะทำเพื่อองค์หญิงผู้ไม่เป็นที่โปรดปรานคนหนึ่ง เขาเก็บนางไว้เพียงเพื่อประกาศสงครามกับเซวียนอ๋องฟ่านเหยี่ยน เพื่อให้อีกฝ่ายได้จดจำว่าตนเองเป็นเพียงคนต่ำช้าที่หลบหนีไป ไม่มีแม้กระทั่งความสามารถที่จะปกป้องสตรีของตน
ต้นวสันตฤดู หิมะเหมันต์ละลายไป สรรพสิ่งในโลกตื่นขึ้นจากความฝัน ค่อย ๆ บิดกายอย่างเกียจคร้าน เผยความงามของตนออกมา
ในช่วงเวลาแห่งความรุ่งเรืองนี้ ทูตจากอาณาจักรเฟิ่งหลินได้มาเยือนอาณาจักรฮุ่ย
พระโอรสคนโตของฮ่องเต้ฮุ่ยและฮองเฮาได้ประสูติแล้ว ทุกคนในแผ่นดินอยู่ในอารมณ์ชื่นบาน เวลานี้เองทูตจากอาณาจักรเฟิ่งหลินก็ได้มาถึงเมืองหลวง ทั้งยังมอบของขวัญชิ้นใหญ่ให้ กล่าวแสดงความยินดีกับฮ่องเต้ฮุ่ยเรื่องการประสูติของพระโอรสองค์โต
“การตอบสนองของอาณาจักรท่านช่างรวดเร็วยิ่งนัก ฮองเฮาของพวกเราเพิ่งประสูติ ของขวัญแสดงความยินดีก็มาถึงเมืองหลวงเสียแล้ว” เสนาบดีกรมพิธีการกล่าวกับราชทูตจากอาณาจักรเฟิ่งหลิน
ราชทูตของอาณาจักรเฟิ่งหลินเป็นชายชราผู้หนึ่ง เขายิ้มแย้มอย่างมีเมตตาและมีอัธยาศัยดี ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่คนร้ายกาจอะไร อย่างไรก็ตาม คนผู้นี้มีตำแหน่งสำคัญเป็นอย่างยิ่งในอาณาจักรเฟิ่งหลิน ผู้คนที่นั่นรู้จักเขาในฐานะผู้ที่มีปัญญารอบรู้ที่สุดในใต้หล้า
“ฮองเฮาแห่งอาณาจักรท่านเป็นธิดาในราชวงศ์อาณาจักรเรา สองอาณาจักรเชื่อมสัมพันธ์กันด้วยการสมรส เรื่องน่ายินดีในอาณาจักรท่านก็คือเรื่องน่ายินดีในอาณาจักรเรา นี่ย่อมเป็นเรื่องน่ายินดีเท่าทวีคูณ แน่นอนว่ายิ่งมาถึงเร็วที่สุดยิ่งดี เช่นนี้จึงจะแสดงความจริงใจของเราได้”
“ได้ ใต้เท้ากง เชิญทางนี้”
“ไม่รีบร้อน ไม่รีบร้อน ข้าอยากจะขอพบท่านอัครมหาเสนาบดีลู่ ไม่ทราบว่าได้หรือไม่?”
“ท่านอัครมหาเสนาบดียุ่งอยู่กับงานราชการ เกรงว่าจนกว่าจะถึงงานเลี้ยงต้อนรับใต้เท้ากงจะไม่อาจปรากฏตัวได้”
“เช่นนั้นก็น่าเสียดายยิ่งนัก”
ณ จวนลู่ ลู่จื่ออวิ๋นเพิ่งจัดการกับหญิงรับใช้ที่ทำผิดสองสามคนพลันรู้สึกหงุดหงิดใจกับเรื่องยุ่งเหยิงเหล่านั้น นางจึงไปที่ศาลาข้างทะเลสาบ ดื่มด่ำกับชาและอ่านบันทึกการเดินทางอยู่ที่นั่น
เสียงฝีเท้าดังใกล้เข้ามา
นางพูดโดยไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้น “ข้าบอกแล้วอย่างไรว่าอย่ารบกวน ข้าอยากอยู่เพียงลำพังสักพัก”
“สหายเก่ามาจากแดนไกล ในฐานะเจ้าบ้าน ไม่ยินดียกเว้นให้สหายเก่าหน่อยหรือ?” เสียงหัวเราะเสียงหนึ่งดังขึ้น
ลู่จื่ออวิ๋นเงยหน้าขึ้นจึงเห็นชายหนุ่มหล่อเหลาสง่างามผู้หนึ่งยืนอยู่ตรงหน้า
อีกฝ่ายสวมใส่เสื้อคลุมที่ตัดเย็บอย่างประณีตหรูหรา ใบหน้าหล่อเหลาของเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบกับรูปโฉมครั้งเยาว์วัยของเขา บัดนี้เมื่อมองไปแล้วกลับเหมือนดาบคมเล่มหนึ่ง มีกลิ่นอายทรงอำนาจ
“ท่านมาได้อย่างไร?!” ลู่จื่ออวิ๋นวางหนังสือในมือลง “อีกอย่าง ท่านเข้ามาในบ้านข้าได้อย่างไร?”
กลไกในบ้านนางควรได้รับการปรับปรุงอีกครั้งแล้ว
ขอเพียงไม่ใช่คนในครอบครัวพวกนาง หากไม่มีบ่าวรับใช้นำทางมา อาจไปแตะกลไกต่าง ๆ ของจวนเข้าโดยบังเอิญ
“แน่นอนว่าเข้ามาผ่านทางประตูหน้า” เซี่ยเฉิงจิ่นเอ่ย “ข้างนอกมีคำเล่าลือที่ว่าเสี่ยงชีวิตบุกเข้าไปในวังหลวงย่อมดีกว่าบุกเข้าไปในจวนสกุลลู่ หากบุกเข้าไปในวังยังมีโอกาสรอดกลับมาอย่างมีชีวิต แต่หากบุกเข้ามาในจวนสกุลลู่ เช่นนั้นโอกาสที่จะรอดชีวิตมีไม่ถึงหนึ่งส่วนด้วยซ้ำ”
ไม่ว่าเขาจะกล้าหาญเพียงใดก็ไม่กล้าฝ่าฝืนข้อห้ามของสกุลลู่ นอกจากนั้น ด้วยสิ่งที่เขาต้องการในตอนนี้เซี่ยเฉิงจิ่นยิ่งไม่กล้าทำให้สกุลลู่ขุ่นเคือง ไม่ต้องเอ่ยถึงอัครมหาเสนาบดีลู่เลย แม้กระทั่งเด็กน้อยอายุเพียงไม่กี่ขวบเขาก็ไม่กล้าล่วงเกิน
“ท่านมาตั้งแต่เมื่อใด? ไม่ใช่สิ ต้องถามว่าเหตุใดท่านจึงมาที่บ้านข้ามากกว่า?” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ยถาม
เซี่ยเฉิงจิ่นมองนาง
ลู่จื่ออวิ๋นถูกเขามองจนรู้สึกร้อนรนขึ้นมา
เขามาที่บ้านนางเพราะเหตุใด ไม่ต้องรอคำตอบ ดวงตาคู่นั้นก็บอกทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว
สิ่งที่เขากล่าวในตอนนั้น นางยังจดจำได้เสมอ
เพียงแต่ผ่านไปนานหลายปีเพียงนี้แล้ว ผู้ใดจะรู้ว่าตอนนั้นเป็นเพียงอารมณ์ชั่ววูบหรือไม่ แน่นอนว่านางย่อมไม่ถือเป็นจริงเป็นจัง
“เสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์ เจ้ายินดีแต่งให้ข้าหรือไม่?” เซี่ยเฉิงจิ่นเอ่ยถาม “ข้ามาในครั้งนี้เพื่อมาสู่ขอ ทว่าก่อนที่จะสู่ขอแต่งงาน ข้าอยากพบเจ้าเสียก่อนเพื่อถามว่าเจ้าคิดอย่างไร ข้าอยากแต่งภรรยาที่มีใจตรงกัน ไม่อยากให้เจ้ารู้สึกไม่เต็มใจแม้แต่น้อย”
[1] บุปผาช้ำต้นหลิวร่วงโรย หมายถึง สตรีที่ถูกบุรุษเหยียบย่ำแล้วทิ้งไป