บทที่ 822 ข้าไม่จำเป็นต้องรู้หรือ
บทที่ 822 ข้าไม่จำเป็นต้องรู้หรือ
ทันทีที่เซี่ยเฉิงจิ่นมาถึง เจี่ยหลิงหลงก็รู้ตัว นางรีบเว้นที่ว่างสำหรับคู่รักที่ยังไม่ได้แต่งงานกัน
คนอื่นมองเซี่ยเฉิงจิ่นเหมือนหมาป่าเห็นเนื้อก้อนโต มองด้วยความหิวกระหาย แต่ไม่มีใครกล้าแตะต้อง
พวกนางไม่สนใจว่าเซี่ยเฉิงจิ่นจะชอบตนเองหรือไม่ เพราะแม้ว่าเขาจะชอบพวกนางก็คงไม่กล้าแย่ง ‘เนื้อ’ จากปากของคุณหนูใหญ่สกุลลู่อยู่ดี ความแข็งแกร่งของสกุลลู่เป็นที่รู้กันดีและคุณหนูใหญ่แห่งสกุลลู่ก็เป็นที่โปรดปรานของทั้งครอบครัว พ่อแม่ของนางให้ความสำคัญกับนางมาก ซ้ำยังมีพี่ชายคนโตชื่อลู่ฉาวอวี่ที่โหดเหี้ยมยิ่งกว่าพ่อของนางเสียอีก
“เจ้าไม่อยากเล่นต่อแล้วหรือ?” ลู่จื่ออวิ๋นถาม
“พวกเขามาหาพวกเรา ในฐานะเจ้าบ้าน แน่นอนว่าข้าต้องรับผิดชอบเรื่องต้อนรับ แต่ตอนนี้งานเสร็จสิ้นแล้ว ข้าก็พยายามอย่างเต็มที่จึงไม่มีความอดทนที่จะติดตามพวกเขาอีกต่อไป”
“หากเป็นเช่นนั้นก็เล่าสถานการณ์ในอาณาจักรเฟิ่งหลินให้ข้าฟังหน่อยสิ”
“เจ้ากังวลหรือ?”
“ข้าไม่รู้อะไรเลย ข้าควรจะรู้เรื่องเหล่านี้ไว้บ้าง การรู้เขารู้เราเป็นเรื่องที่ดีเสมอ”
“เจ้าได้พบพ่อแม่ของข้าแล้ว พวกเขาชอบเจ้ามากและจะเข้ากับเจ้าได้ดีแน่นอน ส่วนคนอื่น ๆ ไม่สำคัญ เจ้าแค่ต้องรู้ไว้ว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ข้าจะคอยปกป้องเจ้าเสมอ”
“นี่คือสิ่งที่เจ้าพูดเอง เช่นนั้นข้าจะรอให้เจ้าปกป้องข้า”
ไม่ไกลนัก โม่ชิงเหยียนมองคนทั้งสองที่กำลังพูดคุยและหัวเราะต่อกระซิกกัน ทันใดนั้นก็ตระหนักได้ว่าความพากเพียรตลอดหลายปีที่ผ่านมาของเขาเป็นเพียงเรื่องตลก
ปรากฏว่านางไม่ได้ทำตัวเช่นนี้กับทุกคน
หากนางชอบใครสักคนจริง ๆ นางจะทำตัวออดอ้อน แต่เมื่อไม่ชอบ แทนที่จะปฏิเสธตามตรง เขามักจะรู้สึกว่านางสวมหน้ากากที่ไม่มีใครสามารถฉีกมันออกได้
“ยอมแพ้แล้วหรือ?” เจียงหว่านเฉินที่ยืนอยู่ข้างหลังถามขึ้น
“ยอมแพ้แล้ว” โม่ชิงเหยียนกล่าว “พ่อแม่ของข้าชอบผู้หญิงจากสกุลเซี่ยวและขอให้แต่งงานในเดือนหน้า สกุลเซี่ยวเองก็เห็นด้วยเช่นกัน ข้าเพียงแค่ต้องปฏิบัติตามธรรมเนียม”
“เจ้าตัดใจได้บ้างแล้วสินะ” เจียงหว่านเฉินตบไหล่โม่ชิงเหยียน “ข้าเข้าใจการตัดสินใจของเจ้า และจะอวยพรให้ในฐานะเพื่อนร่วมทุกข์ เราต่อสู้กันมาหลายปี ตอนนี้ถือว่าเราเป็นเพื่อนกันแล้ว”
“ข้าสู้คนผู้นี้ไม่ได้ ข้าจะทำอะไรได้อีกหากไม่ยอมแพ้” เจียงหว่านเฉินกล่าว “ถึงแม้ข้าจะยอมแพ้ แต่ข้าก็ยังอยากเจอคนที่ข้าชอบจริง ๆ ในโลกนี้ ดอกโบตั๋นไม่ใช่ดอกไม้ชนิดเดียวที่งดงาม กล้วยไม้ ดอกบ๊วย ดอกเบญจมาศ หรือแม้แต่ดอกไม้ป่าเล็ก ๆ ริมทาง ต่างก็มีความงามเป็นของตัวเอง”
“เช่นนั้น ข้าหวังว่าเจ้าจะพบดอกไม้ที่เจ้าชอบ”
“รอดูได้เลย! แต่ข้ายังคงต้องการส่งนางออกจากเมืองหลวงด้วยตนเอง อยากเฝ้าดูนางก้าวไปสู่ชีวิตที่มีความสุข”
ฮ่องเต้มีราชโองการแต่งตั้งให้ลู่จื่ออวิ๋นได้รับการขนานนามว่า ‘องค์หญิงอันหยาง’
ในวันจัดพิธี สกุลลู่ใช้เงินจำนวนมหาศาลเพื่อเฉลิมฉลองให้กับคนทั้งอาณาจักร
วันนั้นทรัพย์สินทั้งหมดที่อยู่ในมือของมู่ซืออวี่ลดราคาถึงห้าในสิบส่วน ไม่ว่าจะเป็นเครื่องเรือน โรงต่อเรือ สวนสนุก โรงเตี๊ยม หรือกิจการทั้งหมดในเมืองถงหยางล้วนร่วมมหกรรมลดราคานี้
ทุกคนรู้ดีว่าคุณหนูใหญ่แห่งสกุลลู่กำลังจะไปแต่งงานที่อาณาจักรเฟิ่งหลินและกลายเป็นฮองเฮา
แม้ว่านางจะไม่ใช่องค์หญิงโดยสายเลือด แต่ด้วยสถานะของสกุลลู่และมู่ซืออวี่ที่อยู่ในใจของผู้คนทั่วหล้า สถานะของลู่จื่ออวิ๋นก็ไม่ได้ต่ำกว่าองค์หญิงที่แท้จริง
เซี่ยเฉิงจิ่นยืนอยู่ในฝูงชน เฝ้ามองลู่จื่ออวิ๋นเข้าพิธี
หลังจากพิธีแต่งตั้งยศก็จะมีพิธีแต่งงานตามมา
ถูกต้อง! นี่คือเรื่องที่ลู่อี้ร้องขอ
เซี่ยเฉิงจิ่นต้องการพาลู่จื่ออวิ๋นไปที่อาณาจักรเฟิ่งหลินเพื่อจัดพิธีอันยิ่งใหญ่ แต่สกุลลู่ทำได้เพียงจัดให้ลู่ฉาวอวี่ไปส่งโดยไม่มีใครติดตามไปด้วย การจัดพิธีที่นี่เท่ากับได้เข้าร่วมช่วงเวลาแต่งงานของพวกเขาด้วย ทั้งครอบครัวจึงไม่เสียใจเลย
มู่ซืออวี่แต่งตัวงดงามหรูหราในชุดฮูหยินเก้ามิ่ง สายตามองลู่จื่ออวิ๋นที่โดดเด่นดึงดูดความสนใจ
ดวงตาของนางแดงก่ำเพราะพยายามกลั้นน้ำตาอย่างหนัก
ลู่อี้จับมือภรรยาแล้วเอ่ยว่า “ลูกสาวของเราโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ดูสิ นางเปล่งประกายงดงามราวกับดวงอาทิตย์”
“ตอนนั้นนางยังเด็กมาก เช่นเดียวกับฉาวจิ่งในตอนนี้ หลังจากต้องทนลำบากกับเรามานับไม่ถ้วน ตอนนี้นางต้องติดตามชายหนุ่มไปที่อื่นและเริ่มต้นเส้นทางชีวิตของนางเองแล้ว” มู่ซืออวี่กล่าว “ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ข้าจะชินเสียที”
เซี่ยเฉิงจิ่นและลู่จื่ออวิ๋นจัดพิธีต่อหน้าขุนนางพลเรือนและขุนนางทหารของอาณาจักรฮุ่ย จากนั้นก็เดินทางไปรอบ ๆ เมืองหลวงด้วยรถม้าเพื่อเยี่ยมเยือนราษฎรในเมือง
“ช่างสมกันราวกิ่งทองใบหยก!”
“ข้าเคยบอกไปแล้วว่าซื่อจื่อแห่งจวนอู่อันโหวมีรูปโฉมหล่อเหลาไม่มีใครเทียบเทียม ตอนนี้เขาได้แต่งงานกับผู้หญิงที่สวยที่สุดในใต้หล้าซึ่งเป็นคุณหนูใหญ่ของสกุลลู่ แล้วลูก ๆ ของพวกเขาในอนาคตจะมีรูปโฉมงดงามเพียงใด!”
“เมื่อเจ้าพูดเช่นนั้นก็เป็นเรื่องที่น่าตั้งตารอจริง ๆ น่าเสียดายที่เราไม่มีโอกาสได้เห็น! แม้ว่าพวกเขาจะมีลูกก็จะต้องเลี้ยงดูในอาณาจักรเฟิ่งหลินและจะได้เป็นรัชทายาทของอาณาจักรเฟิ่งหลินในอนาคต”
…
มู่ซืออวี่ฟังบทสนทนาของผู้คนขณะเอามือจับคางพลางครุ่นคิด
“เจ้าไม่คิดจะไปอาณาจักรเฟิ่งหลินใช่หรือไม่?”
“เหตุใดจะไม่ไปเล่า?” มู่ซืออวี่กล่าว “ในเวลาไม่ถึงห้าปี ฉาวอวี่จะสามารถดูแลตัวเองได้ เมื่อถึงตอนนั้น ท่านก็จะได้เกษียณและกลับบ้านเกิด แล้วการไปเยี่ยมเสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์กับข้าจะมีปัญหาอะไร?”
“แม้ว่าข้าจะยังไม่เกษียณกลับมาอยู่บ้านในอีกห้าปี แต่หากอยากออกไปจริง ๆ ก็ทำได้ ห่วงก็แต่เจ้านั่นแหละ ฮ่องเต้จะปล่อยให้เจ้าออกจากอาณาจักรฮุ่ยได้อย่างไร?” ลู่อี้กล่าว
“เช่นนั้นก็ทำให้เขาปล่อยข้าไปสิ” มู่ซืออวี่กล่าว “อย่าได้ประมาทผู้ทำการค้า หากไม่มีผู้ทำการค้า โลกนี้ก็คงวุ่นวายแล้ว”
“เป็นเพราะเขาไม่กล้าดูถูกเจ้าน่ะสิจึงไม่ปล่อยให้เจ้าออกจากอาณาจักรฮุ่ย แต่นี่เป็นเรื่องของอนาคต เราค่อยพูดถึงอนาคตในภายหลังเถิด สิ่งที่เราต้องทำตอนนี้คือไปพร้อมกับเสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์ ไม่เช่นนั้นเราจะไม่รู้ว่าจะได้พบกันอีกเมื่อใด”
“ฟ่านเหยี่ยนยังไม่ถูกจับเลย”
“ข้าเข้าใจ”
ฟ่านเหยี่ยนยังไม่ถูกจับ และด้วยความฝังใจของเขาที่มีต่อลู่จื่ออวิ๋น การเดินทางครั้งนี้อาจจะไม่สงบสุข
ลู่ฉาวอวี่มีหน้าที่ส่งเจ้าสาวออกไป ประการแรก เขาลังเลที่จะทิ้งลู่จื่ออวิ๋น ประการที่สอง เนื่องจากเป็นการแต่งงานขององค์หญิง แน่นอนว่าจะต้องมีคนส่งเจ้าสาวออกไป ซึ่งคนที่เหมาะสมที่สุดก็คือพี่ชายของนาง ประการที่สาม คือเพื่อป้องกันอันตรายระหว่างทาง
เซี่ยเฉิงจิ่นจับมือของลู่จื่ออวิ๋นแล้วมองนางอย่างเสน่หา
เขายกมือของนางขึ้นมาจุมพิต
แก้มของลู่จื่ออวิ๋นเปลี่ยนเป็นสีแดงเรื่อขณะมองชายหนุ่ม
เซี่ยเฉิงจิ่นหัวเราะเบา ๆ “พวกเขามาที่นี่เพื่อดูพวกเราเป็นพิเศษ เราไม่อาจทำให้พวกเขาผิดหวังได้”
ลู่จื่ออวิ๋นฟังเสียงผู้คนที่กำลังตื่นเต้นมากขึ้นเรื่อย ๆ และเลิกกังวลเรื่องเหล่านี้
หลังจากเสร็จสิ้นพิธีก็มีการจัดงานเลี้ยงใหญ่ในวังหลวง
“เสด็จพ่อบุญธรรม เสด็จแม่บุญธรรม ลูกเคารพพวกท่านเจ้าค่ะ” ลู่จื่ออวิ๋นถือแก้วสุรา แล้วพูดกับฟ่านหยวนซีและซ่างกวนจิ่นซิ่ว
ซ่างกวนจิ่นซิ่วกล่าวว่า “อันหยาง เมื่อเจ้าไปที่อาณาจักรเฟิ่งหลิน อย่าลืมส่งข่าวบอกพ่อแม่บ้างนะ”
“ไม่ต้องห่วงนะเพคะ ลูกจะดูแลตนเองอย่างดี”
หลังจากฟังคำพูดของลู่จื่ออวิ๋น ซ่างกวนจิ่นซิ่วก็ยกยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ข้าเชื่อเจ้า หากเจ้าแต่งงานที่อาณาจักรเฟิ่งหลิน ย่อมเป็นบุญของผู้คนในอาณาจักรนั้น”
ฟ่านหยวนซียืนขึ้น ยกแก้วให้ทุกคนแล้วเอ่ยว่า “ทุกคนร่วมดื่มอวยพรเพื่อเป็นเกียรติแก่องค์หญิงอันหยางที่กำลังจะอภิเษกสมรสในแดนไกล”