บทที่ 823 โชคร้ายของอาณาจักรเหลียง
บทที่ 823 โชคร้ายของอาณาจักรเหลียง
หลังจากพิธีแต่งงานระหว่างลู่จื่ออวิ๋นและเซี่ยเฉิงจิ่น สกุลลู่ก็เริ่มซื้อสินเดิมให้กับลูกสาว
เรื่องสินเดิมนั้นมู่ซืออวี่ได้เตรียมไว้แล้ว
เพียงแต่ไม่เคยคิดเลยว่าลู่จื่ออวิ๋นจะไปแต่งงานไกลถึงเพียงนี้ ยิ่งไปกว่านั้นคือ นางจะได้เป็นฮองเฮาของอาณาจักรหนึ่ง ดังนั้นของหลายอย่างที่เตรียมไว้จึงไม่เหมาะ ตัวอย่างเช่นเครื่องเรือนที่นางซื้อไว้ ไม่เหมาะที่จะส่งไปที่นั่น
สามีของลูกสาวคือฮ่องเต้ แม้ว่าอำนาจของอาณาจักรเฟิ่งหลินจะไม่ยิ่งใหญ่เท่าอาณาจักรฮุ่ย ฮ่องเต้ก็ย่อมไม่ขาดของใช้ชั้นสูง หากฮองเฮาผู้สง่างามต้องการนำเครื่องเรือนติดตัวไปด้วย นั่นก็หมายความว่านางดูถูกอาณาจักรเฟิ่งหลิน เครื่องเรือนพวกนี้จึงไม่อาจนำไปด้วยได้ แน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้สามารถเปลี่ยนแปลงได้ กล่าวคือจะต้องแทนที่ด้วยสิ่งที่เบากว่าและเป็นตัวแทนสถานะของลู่จื่ออวิ๋น ในฐานะคุณหนูใหญ่สกุลลู่และองค์หญิงอันหยาง
ขบวนริ้วแดงสิบลี้เลยดีหรือไม่? เมื่อคุณหนูใหญ่แห่งสกุลลู่แต่งงาน ต้องยิ่งใหญ่อลังการมากจึงจะดี
แน่นอนว่ามีกฎเกณฑ์เรื่องสินเดิมหรือสินสอด แต่มู่ซืออวี่ไม่เคยเป็นคนที่ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ เซี่ยเฉิงจิ่นเองก็เช่นกัน ดังจะเห็นได้จากสินสอดที่เซี่ยเฉิงจิ่นมอบให้ที่มีความสำคัญไม่น้อย
นอกจากมู่ซืออวี่ที่เป็นห่วงลู่จื่ออวิ๋นและต้องการเพิ่มสินเดิมแล้ว ฟ่านหยวนซี พ่อบุญธรรมของนางยังกล่าวอีกว่า เขาไม่อาจให้ได้มากมายแต่ก็ยังหยิบสมบัติอันล้ำค่าสามหรือสี่ชิ้นมาให้ แม้จะมีความเสียดายอยู่บ้างก็ตาม
นอกจากนี้ยังมีเซี่ยคุน ฉีเซียว เวินเหวินซงและคนอื่น ๆ ที่เป็นเพื่อนที่ดีของลู่อี้และภรรยา ท่านลุงจากสกุลชนชั้นสูงเหล่านี้ ล้วนส่งของขวัญแสดงความยินดีมาให้ ไม่ต้องพูดถึงลู่เซวียน ท่านอารองของนางที่ได้นำสมบัติมาให้มากมาย
แม้ว่าจะต้องใช้เวลาในการเตรียมสินเดิม แต่ก็ยังพอมีเวลาเหลืออยู่ ไม่ว่าสกุลลู่จะอยากเลื่อนเวลาออกไปนานแค่ไหน พวกเขาก็ต้องส่งลูกสาวออกในไปไม่ช้าก็เร็วอยู่ดี
มู่ซืออวี่และลู่อี้พูดคุยกันถึงวันอันเป็นมงคลและเตรียมจะส่งลู่จื่ออวิ๋นออกจากเมืองหลวง เมื่อมาถึงชายฝั่งของเมืองซานหลินก็เฝ้ามองพวกเขาขึ้นเรือก่อนจะกลับ
หนึ่งวันก่อนที่จะเดินทางจากไป ฟ่านหยวนซีได้ส่งขันทีออกจากวังหลวงเพื่อเรียกให้ลู่อี้เข้าไปในวัง ในเวลาเดียวกัน เขาก็เรียกเซี่ยเฉิงจิ่น ลูกเขยของเขาเข้าไปในวังหลวงด้วย
“อาณาจักรเหลียงตกไปอยู่ในมือของฟ่านเหยี่ยนจริง ๆ” ฟ่านหยวนซีมองคนตรงหน้า “เดิมทีข้าคิดว่าเขากำลังจะไปอาณาจักรเหลียงเพื่อยืมกองกำลังและพร้อมที่จะเป็นผู้นำทัพด้วยตัวเอง ไม่คิดมาก่อนว่าเขาจะเดินหมากที่ข้านึกไม่ถึง อำนาจของอาณาจักรเฟิ่งหลินและอาณาจักรเหลียงไม่ได้แตกต่างกันมากนัก แต่เกรงว่าอาณาจักรเฟิ่งหลินจะตกเป็นเป้าหมายที่เขาอยากจัดการก่อน ทุกคนต่างก็รู้ว่าฟ่านเหยี่ยนคิดอย่างไรกับองค์หญิงอันหยาง ความแค้นที่เกิดจากความรักนั้นถึงขั้นไม่ยอมอยู่ใต้ฟ้าเดียวกัน เจ้าต้องระวังให้ดี”
“เช่นนั้นก็ให้เขาเข้ามาได้เลย” เซี่ยเฉิงจิ่นพูด “ข้าจะรอดู”
“เจ้าต้องการร่วมมือหรือไม่?” ฟ่านหยวนซีถาม “เจ้าและข้าทำงานร่วมกันเพื่อเอาชนะอาณาจักรเหลียง จากนั้นก็แบ่งดินแดนเท่า ๆ กัน เมืองยี่สิบสามเมืองที่อยู่ใกล้กับอาณาจักรเฟิ่งหลินจะเป็นของเจ้า ส่วนเมืองอีกยี่สิบห้าเมืองที่อยู่ใกล้กับอาณาจักรฮุ่ยก็จะเป็นของข้า”
“ข้าต้องการเพียงยี่สิบเมืองเท่านั้น ส่วนอีกสามเมืองจะมอบให้อาณาจักรของท่านเพื่อเป็นสินสอดขอรับ” เซี่ยเฉิงจิ่นกล่าว
“เจ้าน่าสนใจมากทีเดียว” ฟ่านหยวนซีมองเซี่ยเฉิงจิ่นด้วยสายตาชื่นชม “เจ้ากลับอาณาจักรไปเตรียมตัวก่อนเถิด จากนั้นค่อยมาวางแผนกัน”
“อย่าชะล่าใจมากเกินไปนัก” ลู่อี้กล่าว “ทั้งสองอาณาจักรของเราเข้าใกล้กันมากขึ้นแล้ว ฟ่านเหยี่ยนจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าเราจะเป็นพันธมิตรกัน? มีหลายอาณาจักรเล็ก ๆ ตามหลังอาณาจักรเหลียง เหตุผลที่อาณาจักรเล็ก ๆ เหล่านี้อยู่รอดในโลก ไม่ใช่เพราะพวกเขาด้อยอำนาจเกินไปจนไม่มีใครสังเกตเห็น แต่เป็นเพราะพวกเขาเป็นมีกองกำลังป่าเถื่อน ทุกคนจึงกล้าหาญและเก่งเรื่องการต่อสู้ หากฟ่านเหยี่ยนยอมรับพวกเขาก็แสดงว่าพลังการต่อสู้ของคนพวกนั้นไม่ได้ด้อยไปกว่าเราทั้งสองอาณาจักรเลย”
“เช่นนั้นก็ต้องเจรจากันด้วยกำลังแล้ว” ฟ่านหยวนซีพูด “มีเพียงข้าและฟ่านเหยี่ยนคนใดคนหนึ่งเท่านั้นที่จะอยู่รอดได้ ไม่อย่างนั้นก็จะไม่มีวันสงบสุข”
มู่ซืออวี่ซบแขนของลู่อี้ รู้สึกงุนงงเล็กน้อยในขณะที่ฟังเขาพูดถึงฟ่านเหยี่ยนซึ่งกลายเป็นฮ่องเต้ของอาณาจักรเหลียง
นางคิดว่าโครงเรื่องเบี่ยงเบนไปจากเส้นหลักมานานแล้ว ทุกอย่างแตกต่างออกไปและฟ่านเหยี่ยนไม่อาจสร้างคลื่นลูกใหญ่ได้จึงไม่มีอะไรต้องกลัวอีก ทว่าตัวเอกชายที่สวรรค์เลือกไม่เป็นเช่นนั้น เขาสามารถพลิกกลับมาได้จริง ๆ
แต่มันก็ยังแตกต่างไปจากเดิม…
จ้าวอวิ๋นซวง นางเอกในต้นฉบับแค่อยากจะอยู่กับลูกชายและไม่อยากเข้าไปพัวพันกับข้อพิพาทเหล่านั้น ตอนนี้จวนอ๋องซวนยังอยู่ภายใต้การดูแลของพวกเขา จ้าวอวิ๋นซวงและลูกชายใช้ชีวิตกันอย่างสงบสุข
“หากฮ่องเต้ออกสำรวจเป็นการส่วนตัว ท่านจะไปด้วยหรือไม่?”
“ไม่ ราชสำนักต้องการใครสักคนมาดูแลเรื่องกิจการบ้านเมือง หากฮ่องเต้จะเสด็จไปด้วยตัวเอง ข้าก็ต้องอยู่ดูแลสถานการณ์โดยรวม” ลู่อี้กล่าว “อย่างไรเซี่ยคุนก็จะตามไปด้วย เหตุใดเจ้าถึงกังวลใจเพียงนี้?”
“ข้าแค่คิดว่าฟ่านเหยี่ยนเป็นคนชั่วร้าย ท่านก็เคยเห็นเขาหลบหนีมาหลายครั้งแล้ว เขาโชคดีมาก หากฮ่องเต้ต้องเผชิญหน้ากับเขาก็อาจเพลี่ยงพล้ำได้ ทางที่ดีควรเตรียมการให้รอบคอบกว่านี้”
“ข้าจะเตือนฮ่องเต้ให้ระวังมากขึ้นและจัดคนไปอารักขาเพิ่ม แต่มันยังเร็วเกินไป ตอนนี้ยังไม่มีใครบอกได้แน่ชัดว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต บางทีฟ่านเหยี่ยนอาจจะแค่อยากเป็นฮ่องเต้ และในที่สุดเขาก็ได้เป็น เขาอาจจะหยุดแล้วก็ได้”
“คนที่มีความทะเยอทะยานเช่นนั้นจะหยุดได้อย่างไร? อาณาจักรเหลียงไม่เหมือนอาณาจักรเฟิ่งหลิน ราชวงศ์ของอาณาจักรเฟิ่งหลินมีสมาชิกจำนวนไม่มากนัก แต่ราชวงศ์ของอาณาจักรเหลียงมีทายาทมากมาย เขาเป็นราชวงศ์ต่างสกุล ข้าอยากรู้นักว่าฟ่านเหยี่ยนขึ้นเป็นฮ่องเต้อาณาจักรเหลียงได้อย่างไร?”
“มีเพียงไม่กี่วิธีที่ราชวงศ์ต่างสกุลจะได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้ วิธีแรกคือเป็นคนฉลาด อีกฝ่ายจึงเป็นฝ่ายริเริ่มเปิดทางให้เอง อีกวิธีหนึ่งคือเป็นฆาตกร ปล้นบ้านเมืองอย่างรุนแรง จนกลายเป็นโจรขโมยบัลลังก์ คนอย่างเขาจะใช้วิธีแรกได้อย่างไร ฟ่านเหยี่ยนอาจใช้วิธีหลัง”
“เขาเป็นคนนอกที่เข้าไปในดินแดนของคนอื่นและขโมยของของคนอื่น พูดได้คำเดียวว่าความสามารถของเขาไม่อาจประมาทได้ เมื่อเผชิญหน้ากับศัตรูที่ทรงพลังเช่นนี้ เราไม่อาจประมาทได้เลย”
“ฮูหยิน ดูเหมือนเจ้าจะกังวลเรื่องฟ่านเหยี่ยนคนนี้เป็นพิเศษ ไม่ว่าเขาจะแข็งแกร่งเพียงใด เขาก็ยังคงต้องพ่ายแพ้ต่อคนของเรา ตอนนี้พักผ่อนเถิด เราต้องส่งเสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์ออกเดินทางในวันพรุ่งนี้แล้ว”
มู่ซืออวี่ขมวดคิ้ว แล้วหยิกเอวที่เต็มไปด้วยเนื้อของลู่อี้
“โอ๊ย…”
“กาไหนน้ำไม่เดือด หยิบกานั้น*[1]”
“เราต้องทำใจให้คุ้นชิน” ลู่อี้จุมพิตหน้าผากภรรยา “เจ้ามีข้าอยู่เคียงข้างและข้าจะอยู่กับเจ้าตลอดไป”
“พูดดีนัก ข้าไม่เห็นจะเจอหน้าท่านตลอดทั้งปีเลย คนที่ไม่รู้คงจะคิดว่าท่านคอยปกป้องข้าทุกวัน”
ลู่อี้อยากจะตีกลองร้องทุกข์จริง ๆ
เขายุ่ง แต่นางนั้นยุ่งยิ่งกว่า ธุรกิจของนางขยายไปในที่ต่าง ๆ และทรัพย์สินของนางก็มีอยู่ทุกที่ มู่ซืออวี่จึงมักจะวิ่งออกไปข้างนอกและคนที่ต้องเหงาก็คือเขา ไม่ใช่นาง…
แน่นอนว่าอัครมหาเสนาบดีลู่ไม่อาจพูดคำเหล่านี้ได้ ไม่เช่นนั้นคืนนี้อาจจะไม่ได้พักผ่อน เขาจึงไม่มีข้อตำหนิใด ๆ มู่ซืออวี่เป็นคนที่พิเศษจนเขารักและชื่นชมอย่างไม่มีข้อยกเว้น
“เอาละ มันเป็นความผิดของข้าเอง” ลู่อี้กอดนาง “ระบายความโกรธแล้วหรือ? ไม่ได้หยิกมาสักพักแล้วนี่นา”
มู่ซืออวี่กอดเอวของลู่อี้ ซุกหน้าลงบนอกของเขา หลับตาลงพร้อมฟังเสียงหัวใจของสามี
เพียงแค่รู้สึกถึงการเต้นของหัวใจและอุณหภูมิของเขา นางก็รู้สึกสงบขึ้นมาเล็กน้อย
“พรุ่งนี้พาลูก ๆ ทุกคนไปส่งอวิ๋นเอ๋อร์กันเถิด ถือว่าเป็นการไปเที่ยวกันทั้งครอบครัวด้วย”
[1] กาไหนน้ำไม่เดือด หยิบกานั้น หมายถึง พูดสิ่งที่ควรพูด และอย่าพูดสิ่งที่ไม่ควรพูด