บทที่ 834 พบกับฟ่านซู่อีกครั้ง
บทที่ 834 พบกับฟ่านซู่อีกครั้ง
ลู่จื่อชิงพาผู้ติดตามสองคนไปยังที่พัก
เมื่อเดินผ่านทางที่ทอดยาวก็เห็นร่างที่คุ้นเคยอยู่ตรงหน้า
นางวิ่งเหยาะ ๆ ไปแตะหลังเด็กชายคนนั้น
“ฟ่านซู่!”
เด็กชายคนนั้นตกใจ เมื่อหันกลับมาเห็นลู่จื่อชิง รอยยิ้มก็ฉายอยู่ในแววตาของเขา “คุณหนูรองลู่”
“คุณหนูรองลู่ คุณหนูลู่อะไรเล่า? ข้าไม่ได้บอกให้เจ้าเรียกชื่อข้าหรอกหรือ?” ลู่จื่อชิงพูดอย่างไม่พอใจ “เจ้าไม่ได้เข้าไปในวังหลวงหรือ? เหตุใดเจ้าถึงเข้าสำนักศึกษาหลวงด้วย?”
“เสด็จลุงและเสด็จป้าอนุญาตให้ข้าเรียนที่สำนักศึกษาหลวง” ฟ่านซู่กล่าว “แต่ข้านอนที่นี่ไม่ได้ ต้องกลับไปที่วังหลวงทุกวัน”
“เช่นนั้นก็ดีมาก ต่อไปเราจะได้เล่นด้วยกัน” ลู่จื่อชิงพูด “เจ้าเพิ่งมาใช่หรือไม่? ข้าจะพาเจ้าไปเดินดูรอบ ๆ?”
ซ่งหานจือกุมท้องแล้วพูดด้วยสีหน้าเจ็บปวด “ชิงเอ๋อร์ ข้า… ข้ารู้สึกไม่ค่อยสบาย”
ลู่จื่อชิงหันไปมอง แล้วช่วยพยุงเขาอย่างรวดเร็ว “เจ้าดูแข็งแกร่งมาก เหตุใดเจ้าถึงอ่อนแอเพียงนี้เล่า?”
นางพูดกับฟ่านซู่ว่า “ฟ่านซู่ ข้าจะพาเขาไปหาท่านหมอก่อน แล้วจะพาเจ้าไปเล่นวันหลัง เอาละ ไปหาท่านหมอกันเถอะ! เจ้านี่ยุ่งจริง ๆ แม่ของข้าบอกให้เจ้าดูแลข้า แต่ข้าคิดว่าข้าคงเป็นฝ่ายดูแลเจ้ามากกว่า”
ฟ่านซู่เฝ้ามองลู่จื่อชิงและซ่งหานจือเดินจากไป สายตาเขาเต็มไปด้วยความอิจฉา
ลู่ฉาวอวี่ออกมาจากเรือนจำของกรมอาญา
อีเจี้ยนที่อยู่ข้าง ๆ ยื่นผ้าเช็ดหน้าให้
ลู่ฉาวอวี่เช็ดเลือดบนมือ แล้วโยนผ้าเช็ดหน้ากลับคืน
“ท่านใต้เท้า ไส้ศึกของอาณาจักรเหลียงเหล่านี้สืบสวนยาก ดูสิว่าพวกเขาปากแข็งกันแค่ไหน เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่กล้าทรยศต่ออาณาจักรเหลียง หากพวกเขาตกอยู่ในมือของเรา สิ่งเลวร้ายที่สุดก็คือความตาย แต่หากพวกเขาทรยศอาณาจักรเหลียง ครอบครัวของพวกเขาจะถูกฆ่า การมีชีวิตต่อไปนั้นแย่ยิ่งกว่าตายเสียอีก ข้าคิดว่าไม่ง่ายเลยที่เราจะเค้นอะไรออกจากปากของพวกเขาได้ ท่านจะทำอย่างไรต่อไป”
“ในเมื่อไม่ง่ายเลยที่จะสืบสวน เช่นนั้นก็ต้องค่อย ๆ ตรวจสอบ หากพวกเขาต้องการทำชั่วในอาณาจักรฮุ่ย ย่อมต้องเปิดเผยร่องรอยของตัวเองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้” ลู่ฉาวอวี่กล่าวว่า “เราต้องวางแผนระยะยาวโดยไม่รีบหวังผล อดทน อย่าแหวกหญ้าให้งูตื่น”
“ท่านใต้เท้าลู่น้อย โปรดช่วยตัดสินให้สาวน้อยผู้นี้ด้วย”
ณ จวนอัครมหาเสนาบดี มู่ซืออวี่ถือกระจกมองตัวเองในเงาสะท้อน
“ซางจือ เจ้าเห็นผมหงอกบนหน้าผากของข้าหรือไม่?”
ซางจือมองแล้วพูดว่า “ไม่มีเจ้าค่ะ ฮูหยินอาจตาฝาดไป”
“จะตาฝาดได้อย่างไร?” มู่ซืออวี่ดึงผมหงอกออกมา “ดูสิ ผมหงอกจริง ๆ ด้วย ข้าไม่อาจปฏิเสธความแก่ชราได้!”
ฉานอีเดินเข้ามาจากด้านนอกแล้วพูดว่า “บัญชีของวันนี้ได้รับการตรวจสอบแล้ว ฮูหยิน คุณชายหลี่เก่งขึ้นเรื่อย ๆ จริง ๆ บัญชีที่เขาจัดการไม่เคยมีข้อผิดพลาดเลย”
“ตั้งแต่ข้ารับเขามาเป็นศิษย์ ข้าก็เริ่มสบายมากขึ้น แต่แม้ว่าจะไม่เต็มใจแยกจาก ข้าก็ไม่สามารถพึ่งพาเขามากเกินไปได้ ข้ายังคงต้องปล่อยให้เขาไปคนเดียว” มู่ซืออวี่กล่าว
“ฮูหยินขอให้เขาดูแลกิจการการขนส่งในเมืองซานหลิน แม้แต่ทรัพย์สินในเมืองฮู่เป่ยก็มอบให้เขาเพื่อติดต่อกับผู้ดูแลเจิ้ง นี่คือเหตุผลว่าทำไมเขาถึงได้รับความไว้วางใจให้ทำงานสำคัญเช่นนี้ คุณชายหลี่ต้องเข้าใจความปรารถนาดีของฮูหยิน”
“ให้เขามาทานอาหารด้วยกันเย็นนี้ นี่เป็นการฝึกฝนเขา ออกไปข้างนอกคราวนี้ คงกลับมาไม่ได้อีกสองสามปี เขาต้องดูแลกิจการเหล่านั้นคนเดียวซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย”
ชิงไต้เดินเข้ามา โน้มตัวไปกระซิบสองสามคำข้างหูมู่ซืออวี่
“บ้านน้อยหรือ?”
“นี่คือสิ่งที่คนข้างนอกพูดกันเจ้าค่ะ” ชิงไต้กล่าว “คุณชายใหญ่ของเราไม่ใช่คนแบบนั้น แต่บางคนเห็นว่าคุณชายใหญ่ให้ผู้หญิงไปอยู่ที่บ้านน้อย แล้วไปหาผู้หญิงคนนั้นทุกวันเจ้าค่ะ”
“ใครบังอาจใส่ร้ายคุณชายใหญ่?!” เจ๋อหลานกล่าว
“ปล่อยให้เขาจัดการเรื่องเหล่านี้ด้วยตัวเอง เราไม่จำเป็นต้องสนใจ หากใครกล้าพูดเรื่องไร้สาระต่อหน้าสกุลลู่ พวกเขาจะถูกจัดการ” มู่ซืออวี่กล่าว
เมื่อลู่ฉาวอวี่กลับจวนก็เป็นเวลาดึกดื่นแล้ว
แสงจันทร์ทำให้เงาร่างของเขาสูงขึ้น
จวนทั้งหลังเงียบมาก นอกจากเสียงฝีเท้าของเขาและผู้ติดตามก็ไม่มีเสียงอื่นใดอีก
“ใครอยู่ในนั้น?”
มีแสงเทียนอยู่ในห้องของเขาจริง ๆ
“หลังจากที่คุณหนูใหญ่แต่งงานไปก็ไม่มีใครมาที่ห้องของท่านเพื่อรอท่านอีก”
“มีอีกคนหนึ่ง” ลู่ฉาวอวี่กล่าว “ไปดูกันเถอะ”
เมื่อเปิดประตูก็เห็นร่างน้อย ๆ ซุกตัวอยู่บนเตียง เผยให้เห็นเพียงใบหน้าเล็ก ๆ สีแดงเท่านั้น
ลู่ฉาวอวี่ยืนอยู่ข้างเตียง มองเด็กหญิงตัวน้อยที่กำลังนอนหลับสบาย
“โอ๊ย…” ลู่จื่อชิงตื่นขึ้นมาด้วยความเจ็บปวด
นางลุกขึ้นนั่งแล้วชกคนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามทันที
แต่ชกไม่โดนคู่ต่อสู้เพราะอีกฝ่ายคว้าหมัดของนางไว้ได้
“พี่ชาย ท่านหยิกข้า!” ลู่จื่อชิงจ้องมองเขาด้วยสายตาขุ่นเคือง แล้วดุเขาด้วยความโกรธ
“เจ้าไม่ควรอยู่ในสำนักศึกษาหลวงหรือ?”
“ข้าอยู่…” ลู่จื่อชิงรู้สึกผิด “แต่ข้าคิดถึงท่าน!”
“โยนนางออกไป” ลู่ฉาวอวี่บอกผู้ติดตามของเขา
“พี่ใหญ่!” ลู่จื่อชิงกอดแขนลู่ฉาวอวี่ “พี่ใหญ่ที่รักของข้า พี่ใหญ่แสนเก่งกาจของข้า…”
“เหตุใดเจ้าถึงกลับมา?” ลู่ฉาวอวี่ไม่ได้สลัดนางออกไป
“ข้าคิดถึงบ้าน คิดถึงท่านพ่อท่านแม่ คิดถึงท่านด้วย” ลู่จื่อชิงพูดอย่างเสียใจ “คิดถึงมากจนหน้าซูบผอมแล้ว”
“เจ้าไม่ได้หลบหนีมาใช่หรือไม่?”
“จะเป็นไปได้อย่างไร? ข้า คุณหนูรองของสกุลลู่ น้องสาวแท้ ๆ ของใต้เท้าลู่น้อย ทั้งยังมีศักดิ์เป็นน้องสาวแท้ ๆ ของฮองเฮาอาณาจักรเฟิ่งหลิน ข้าจะหลบหนีมาได้อย่างไร?” ลู่จื่อชิงโกรธมาก “แต่ในหอพักกำหนดเวลาดับเทียน ข้าไม่สามารถอ่านหนังสือเพิ่มเติมได้ ข้าก็เลยกลับมาอ่านหนังสือที่นี่เท่านั้น!”
ลู่ฉาวอวี่มองนางด้วยรอยยิ้มบาง ท่าทางแบบนั้นเหมือนกำลังจะบอกว่า พูดไป พูดต่อไปสิ หากเชื่อคำพูดของเจ้า ข้าก็บ้าแล้ว!
“ข้า… ข้าไม่เข้าใจบางอย่าง เลยอยากกลับมาขอคำแนะนำจากพี่ชาย” ลู่จื่อชิงทำหน้ามุ่ย รู้สึกผิดเป็นอย่างมาก
ลู่ฉาวอวี่ลูบผมของลู่จื่อชิง “น้องชายอยู่ที่ไหน?”
“เขา… เขายังอยู่ในสำนักศึกษาหลวง ซ่งหานจือดูแลเขาอยู่” ดวงตาของลู่จื่อชิงเปลี่ยนเป็นสีแดง “พี่ชาย ข้าโง่มากเลยหรือ? หลี่เยียนหรานสามารถเรียนรู้มันได้ ซ่งหานจือก็สามารถเรียนรู้มันได้ แม้กระทั่งน้องชายก็ยังเรียนได้ แต่ข้าเอง ข้าเรียนไม่ได้ ข้าเขียนคำเหล่านั้นไม่เก่ง ในชั้นเรียนมีทั้งหมดยี่สิบคนและข้าก็อยู่อันดับล่างสุด”
ดวงตาของลู่ฉาวอวี่เปลี่ยนเป็นสีแดง เมื่อเขาเห็นท่าทางเศร้าโศกของนางก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ
“ท่านหัวเราะเยาะ!”
“หากถูกใครจี้จุดอ่อนได้ง่าย คนผู้นั้นจะไม่สามารถกลายเป็นคนที่แข็งแกร่งได้ เพราะคนที่แข็งแกร่งจะไม่ยอมให้ผู้อื่นมีโอกาสจับข้อบกพร่องของตัวเอง” ลู่ฉาวอวี่กล่าว “เจ้าไม่ได้โง่ เพียงแต่วิธีการที่ใช้ยังไม่ถูกต้อง หากยังเขียนไม่เก่งก็คิดเสียว่าเส้นแนวนอนและแนวตั้งเป็นลูกน้องของเจ้า เจ้าให้ลูกน้องคนนี้อยู่ตำแหน่งนี้และลูกน้องคนนั้นอยู่ในตำแหน่งนั้น นี่จะช่วยให้เข้าใจง่ายขึ้นหรือไม่?”
“น่าจะใช่…”
“หากเจ้าอ่านหนังสือไม่ออกก็ให้ถือว่าความรู้ในหนังสือเป็นเหมือนลูกน้องของเจ้า หนึ่งประโยคแทนลูกน้องคนหนึ่ง และการท่องจำแต่ละประโยคก็เท่ากับปราบปรามลูกน้องไปได้หนึ่งคน นี่ไม่น่าสนใจขึ้นหรือ?”
ลู่จื่อชิงพยักหน้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า “ใช่!”
“ตอนนี้ดึกเกินไปแล้ว กลับไปนอนที่ห้องแล้วกลับไปที่สำนักศึกษาหลวงเช้าวันพรุ่งนี้เถิด” เขากล่าว