บทที่ 851 งานเลี้ยงในพระราชวัง
บทที่ 851 งานเลี้ยงในพระราชวัง
บ่าวรับใช้ผายมือเชื้อเชิญ “แขกทั้งสองท่าน เชิญทางนี้”
พี่ชายน้องสาวทั้งสองคนตามบ่าวรับใช้ไปยังภัตตาคาร
บุรุษในอาภรณ์ขาวหันกลับมามองด้วยรอยยิ้มสง่างาม “องค์ชาย องค์หญิง เชิญนั่ง”
“ท่านรู้ตัวตนของพวกเราหรือ?” ถัวน่ามองบุรุษตรงหน้า แย้มยิ้มงดงามจับใจออกมา
“ข้าได้ยินว่ามีแขกสำคัญจากเผ่าคงเจินมาเยี่ยมเยือน เห็นท่าทีของทั้งสองท่านดูไม่ธรรมดา เดาว่าต้องเป็นแขกจากแดนไกลเป็นแน่” บุรุษผู้นั้นยิ้มน้อย ๆ
“สหายมีนามว่ากระไร?” อวิ๋นถ่าคำนับตามแบบฉบับของชนเผ่าทุ่งหญ้า
“ข้าน้อยแซ่เริ่น นามหานคุน เป็นซื่อจื่อจวนอันกั๋วกง”
หลายวันให้หลัง
ในพระราชวังจัดงานเลี้ยงขึ้นมา ขุนนางพลเรือนและขุนนางทหารล้วนเข้าร่วมงานเลี้ยงต้อนรับองค์ชายอวิ๋นถ่าและองค์หญิงถัวน่าแห่งเผ่าคงเจิน
แน่นอนว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดคือการจัดประลองหาคู่ครองที่ใกล้เข้ามา หากปัญหาได้รับการแก้ไขเร็วเท่าไหร่ เซี่ยเฉิงจิ่นก็สามารถกำจัดพี่ชายน้องสาวคู่นี้ได้เร็วเท่านั้น
ในงานเลี้ยงพระราชวัง องค์ชายอวิ๋นถ่าและถัวน่าแต่งกายงดงามหรูหราเข้าร่วมงานเลี้ยง
เมื่อทุกคนเห็นองค์หญิงถัวน่าผู้เปี่ยมเสน่ห์ สายตาพวกเขาต่างจับจ้องมาโดยพร้อมเพรียงกัน
ชุดของเผ่าคงเจินนั้นเปิดเผย ก่อนหน้านี้เพียงแค่เผยให้เห็นเอวเล็กคอดเท่านั้น คราวนี้ไม่เพียงแต่เอวบางแล้ว ทว่าเรียวขายาวและทรวดทรงองค์เอวล้วนปรากฏให้เห็นต่อหน้าทุกคน
“ฝ่าบาท น้องสาวข้าร่ายรำเก่ง วันนี้ก็ให้น้องสาวข้ามอบความสำราญให้พวกท่านเถิด” องค์ชายอวิ๋นถ่าก้าวออกมาเอ่ยกับเซี่ยเฉิงจิ่น
เซี่ยเฉิงจิ่นยิ้มบาง ๆ “เช่นนั้นทุกคนก็โชคดีแล้ว เชิญ”
นักดนตรีในวังหลวงบรรเลงเพลงที่แปลกใหม่เพลงหนึ่ง ถัวน่ายืนอยู่กลางเวทีและเริ่มร่ายรำอย่างเร่าร้อนให้ทุกคนชมด้วยเท้าที่เปลือยเปล่า
เหล่าสตรีมองการกระทำของถัวน่าด้วยความริษยาระคนรังเกียจ มือก็หยิกบุรุษข้าง ๆ ครั้งแล้วครั้งเล่า หากมีเด็กผู้ชายในสกุล มารดาก็จะปิดตาบุตรชาย ป้องกันไม่ให้จิตใจอันบริสุทธิ์ของพวกเขาแปดเปื้อน
คุณหนูผู้สูงศักดิ์ทั้งหลายใบหน้าเปล่งสีแดงเรื่อขึ้นมา พวกเขาต่างหลับตาลงเพื่อหลบเลี่ยงการร่ายรำชวนหลงใหลของถัวน่า อย่างไรก็ตามบทเพลงนั้นราวกับมีพลังล่อลวงใจผู้คน คนไม่น้อยคอยลอบมองนางอย่างเงียบ ๆ
การเคลื่อนไหวของถัวน่าเย้ายวนเป็นพิเศษ สายตาของนางจับจ้องไปทางเซี่ยเฉิงจิ่น เจตนายั่วยวนนั้นชัดเจนเป็นอย่างยิ่ง หากบุรุษที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ในยามนี้เปลี่ยนเป็นคนอื่น เกรงว่าคงจะไม่อาจต้านทานเสน่ห์เย้ายวนใจของคนงามผู้นี้ได้
เซี่ยเฉิงจิ่นดึงมือของลู่จื่ออวิ๋นมากุมไว้ใต้โต๊ะ
ลู่จื่ออวิ๋นพยามดึงมือออกจากอีกฝ่าย ทว่าฝ่ายหลังกลับไม่มีความตั้งใจที่จะปล่อย
หลังจากเพลงบรรเลงสิ้นสุดลง ถัวน่าจึงเอ่ยขึ้น “ฝ่าบาท ฮองเฮางดงามเพียงนี้ จะต้องมีอะไรพิเศษเป็นแน่ ไม่สู้เชิญพระนางฮองเฮามาแสดงให้ทุกคนชมสักเพลงเถิดเพคะ”
ทั่วทั้งพระที่นั่งเงียบลงโดยพลัน
ถัวน่ายืนอยู่กลางห้องโถง ทุกคนล้วนมองมาที่นาง
ยามที่นางอยู่ในเผ่าคงเจิน นางมักจะเป็นจุดสนใจของผู้คนเสมอ ไม่ว่านางจะไปที่ใด ดวงตามากมายล้วนจับจ้อง ดังนั้นนางจึงไม่ได้แปลกใจกับการจ้องมองเช่นนี้ ทั้งยังไม่เห็นเป็นเรื่องจริงจัง
“ฮองเฮาเป็นพระมารดาแห่งแผ่นดินจะมาแสดงบนเวทีได้อย่างไร?” ขุนนางผู้หนึ่งกล่าวขึ้นมา
“เหตุใดจะไม่ได้? ข้าเป็นสตรีสูงศักดิ์แห่งเผ่าคงเจิน ยังสามารถร้องเพลงร่ายรำได้เลย” ถัวน่ากล่าว
“องค์หญิงถัวน่าช่างมากความสามารถจริง ๆ ได้ยินว่าแม้กระทั่งเด็กอายุสามขวบของเผ่าคงเจินยังสามารถร่ายรำได้ เห็นได้ชัดว่าผู้คนที่นั่นร่ายรำเพื่อความสนุกสนาน เรื่องนี้ปกติเป็นอย่างยิ่ง อย่างไรก็ตาม แต่ละที่ล้วนมีขนบธรรมเนียมประเพณีของตนเอง ในราชวงศ์ของเรา ฮองเฮามีสถานะสูงส่ง ไม่อาจปฏิบัติตนอย่างนักแสดงได้” ขุนนางอีกคนกล่าว
“พวกท่านชาวจงหยวนช่างยุ่งยากจริง ๆ ข้ามีความสุขก็ร่ายรำ ยิ่งมีความสุขมากก็ยิ่งอยากร่ายรำมาก ไม่ว่าจะอยู่ในสถานะไหน ตัวตนจะสูงส่งเพียงใดล้วนร่ายรำได้ หรือว่าฮองเฮาไม่กล้ารับคำท้า?”
ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ยอย่างใจเย็น “องค์หญิงถัวน่ากล่าวได้มีเหตุผล กฎเกณฑ์สิ้นแล้ว ผู้คนยังมีชีวิตอยู่ ในเมื่อองค์หญิงถัวน่าเอ่ยเชิญข้าอย่างมีน้ำใจเช่นนี้ ข้าย่อมละเว้นให้ได้ มอบบทเพลงหนึ่งให้กับทุกท่าน”
“ตรงไปตรงมายิ่งนัก” องค์หญิงถัวน่าเอ่ย “เช่นนั้นข้าจะตั้งตารอชมแล้ว”
“ที่นี่คับแคบเกินไป ไม่สู้พวกเราออกไปนอกพระที่นั่งเถิด!”
เซี่ยเฉิงจิ่นหันไปมองลู่จื่ออวิ๋น “เจ้าอยากแสดงจริง ๆ หรือ? อันที่จริงไม่จำเป็นต้องสนใจนางแม้แต่น้อย ที่นี่ไม่มีผู้ใดกล้าสร้างความลำบากใจให้เจ้า”
“องค์หญิงถัวน่าผู้นี้ทะนงตนเกินไปแล้ว จำต้องมีคนมาปรามนาง มิเช่นนั้น ต่อไปนางรั้งอยู่ที่นี่แต่งงาน ภายหน้ายังมีโอกาสให้พบนางอีกมาก ข้ามิต้องทนอุบายต่าง ๆ นานาจากนางอย่างไร้ที่สิ้นสุดหรือ”
ลู่จื่ออวิ๋นต้องใช้เวลาในการเตรียมตัว
ในระหว่างที่เตรียมตัวนี้ คนอื่นก็หารือเรื่องราชกิจ บ้างก็เป็นฝ่ายเริ่มสนทนากับองค์ชายอวิ๋นถ่าและองค์หญิงถัวน่า โดยเฉพาะบุรุษเหล่านั้นที่มองถัวน่าด้วยสายตามีเลศนัยเป็นพิเศษ
ถัวน่าเพลิดเพลินไปกับสายตาเร่าร้อนของเหล่าบุรุษ
แน่นอนว่านางไม่ได้ใส่ใจกับสายตาของสตรีเหล่านั้นแม้แต่น้อย
ท่ามกลางกลุ่มคน นางเห็นบุรุษในอาภรณ์ขาว หรือเริ่นหานคุนที่นางทานอาหารด้วยเมื่อไม่กี่วันก่อน
เริ่นหานคุนผู้นี้หล่อเหลาจริง ๆ ความหล่อเหลานี้ค่อนข้างคล้ายคลึงกับเซี่ยเฉิงจิ่นฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน พี่ชายน้องสาวส่งคนไปสืบหาข่าว ได้ความว่าบรรพบุรุษของเริ่นหานคุนมาจากราชวงศ์จริง ๆ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ บรรพบุรุษของเขากับราชวงศ์อาณาจักรเฟิ่งหลินคือกลุ่มเดียวกัน เพียงแต่เมื่อมาถึงรุ่นของพวกเขาก็ผ่านไปหลายชั่วอายุคนแล้ว
เริ่นหานคุนในฐานะบุตรหลานสกุลขุนนางเก่าแก่ยังไม่ได้แต่งงาน เขาเป็นคนที่สตรีทั้งเมืองหลวงใฝ่ฝันอยากจะแต่งด้วย อย่างไรก็ตาม เมื่อหลายปีก่อนเขามีคู่หมั้นแล้ว ทว่าคู่หมั้นกลับเสียชีวิตด้วยโรคภัย นับตั้งแต่นั้นมาเขาจึงยังไม่ได้หมายปองใคร
“ทุกท่าน ฮองเฮาเตรียมพร้อมแล้ว เชิญตามบ่าวออกไปข้างนอกเถิด!” วังกงกงเดินเข้ามาจากด้านนอก แล้วเอ่ยกับทุกคนในพระที่นั่ง
เหล่าสตรีกระซิบกระซาบกันเสียงเบา
“ไม่เคยได้ยินว่าพระนางฮองเฮาทรงบรรเลงฉิน เล่นหมากรุก เขียนอักษร วาดภาพเป็น นางจะทำได้หรือ?”
“ฮองเฮาเกิดในสกุลลู่ สกุลลู่เดิมเป็นเพียงชาวบ้านทั่วไป เพียงแต่ผู้สำเร็จราชการแทนคนปัจจุบันรุ่งเรืองขึ้นมา ก้าวขึ้นมาสู่ตำแหน่งในตอนนี้ทีละก้าว ถึงได้ทำให้ทั้งสกุลลู่รุ่งเรืองขึ้นพร้อมกัน ชีวิตของฮองเฮาตอนเด็กไม่สู้ดีนัก สามารถอิ่มท้องได้แต่ละวันก็ไม่เลวแล้ว ยังจะหวังว่านางจะมีพรสวรรค์อะไรอีกหรือ”
“นางคงไม่ขายหน้ากระมัง? ยามนี้นางเป็นตัวแทนของทั้งอาณาจักรเฟิ่งหลินเรา ไม่อาจบุ่มบ่ามได้”
“เมื่อครู่นี้ฮูหยินหลิน ฮูหยินเจี่ยง ฮูหยินจาง และคุณหนูเจินล้วนถูกเรียกตัวไปแล้ว หรือว่าจะเกี่ยวข้องกับการแสดงของพระนางฮองเฮา?”
“ฮูหยินหลินเชี่ยวชาญคงโหว ฮูหยินเจี่ยงเชี่ยวชาญกู่ฉิน ฮูหยินจางเชี่ยวชาญขลุ่ย คุณหนูเจินเชี่ยวชาญขลุ่ยผิว หากพวกนางรวมตัวกันบรรเลงดนตรีจะต้องคว้าชัยชนะกลับมาได้อย่างแน่นอน”
ทุกคนเดินออกจากประตูพระที่นั่ง
“มืดเพียงนี้ จะเห็นอะไร?”
“ใช่แล้ว ให้พวกเราดูอะไร? ทิวทัศน์ยามราตรีหรือ?”
ถัวน่าเบ้ปาก เสียงแหลมเล็กของนางชัดเจนเป็นพิเศษในยามค่ำคืน “พระนางฮองเฮาหมายความว่าอย่างไร? หากท่านร่ายรำไม่เก่ง ท่านสามารถทำอย่างก็อื่นได้!”
ทันทีที่เสียงสิ้นสุดลง คบเพลิงก็สว่างไสวขึ้นจากทุกมุม
เห็นเพียงบุรุษสตรีจำนวนมากสวมชุดเกราะยืนอยู่เบื้องหน้าพวกเขา
ชุดเกราะที่เหล่าสตรีสวมใส่เป็นสีแดง เห็นได้ชัดเจนเป็นพิเศษ
ชุดเกราะที่บุรุษสวมใส่เป็นสีขาว ราวกับเป็นแหล่งกำเนิดแสงเดินได้
ในตอนนี้ สตรีสวมชุดเกราะผู้หนึ่งยืนอยู่หน้ากลองขนาดมหึมา กลองนั้นราวกับกลองสงครามที่ใช้ตีก่อนสังหารศัตรู
เสียงกลองดังขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า จากช้าไปเร็ว ราวกับพวกเขาตีลงกลางใจผู้ที่อยู่ ณ ที่แห่งนั้น โดยเฉพาะ เหล่าแม่ทัพที่ จู่ ๆ พวกเขาก็ฮึกเหิมขึ้นมา ประหนึ่งกำลังปรากฏตัวอยู่บนสนามรบ