บทที่ 853 พระราชทานสมรส
บทที่ 853 พระราชทานสมรส
พลั่ก!
แม่ทัพหนุ่มปลิวออกไป
เริ่นหานคุนกลายเป็นผู้ชนะคนสุดท้าย
องค์หญิงถัวน่าแย้มยิ้มกล่าว “ข้ารู้อยู่แล้วว่าเขาร้ายกาจที่สุด”
องค์ชายอวิ๋นถ่าเองก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกเช่นกัน
น้องสาวของเขาผู้นี้จัดการยากยิ่งนัก หากไม่ให้นางเลือกคนที่ถูกใจ ไม่รู้ว่าต่อไปจะก่อปัญหาเช่นไร ตอนนี้ดีแล้ว บุรุษที่นางเลือกทั้งหล่อเหลาและกล้าหาญชาญชัยตรงตามความต้องการจึงหยุดนางได้เสียที
“ซื่อจื่ออันกั๋วกง ในเมื่อเจ้าเป็นผู้ชนะคนสุดท้าย เช่นนั้นก็ต้องเป็นคู่หมั้นขององค์หญิงถัวน่า เจ้ายินดีหรือไม่?” เซี่ยเฉิงจิ่นเอ่ย
“กระหม่อมยินดีพ่ะย่ะค่ะ”
“องค์หญิงถัวน่า เจ้ายังมีข้อโต้แย้งใด ๆ อีกหรือไม่?”
“ฝ่าบาท ข้ายินดีเพคะ”
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นเราจะประทานหนึ่งร้อยตำลึงเงินเป็นของขวัญแสดงความยินดีกับการแต่งงาน”
“ขอบพระทัยฝ่าบาท”
เรื่องของเผ่าคงเจินจึงสิ้นสุดลง
พิธีแต่งงานขององค์หญิงถัวน่าและเริ่นหานคุนจัดขึ้นในอีกครึ่งเดือนต่อมา องค์ชายอวิ๋นถ่าเข้าร่วมงานแต่งของพวกเขาก่อนกลับไปยังเผ่าตนเอง
ณ พระที่นั่งอี้เจิ้ง เสนาบดีกรมกลาโหมที่รับผิดชอบป้องกันชายแดนกล่าวต่อไป “กองทัพของอาณาจักรฮุ่ยได้ข้ามด่านฉงหยางแล้ว อาณาจักรเหลียงยังคงล่าถอยอย่างต่อเนื่อง บัดนี้ฮ่องเต้อาณาจักรฮุ่ยหายตัวไป กระทั่งตอนนี้ก็ยังไม่พบร่องรอย เดิมทีมีคนกล่าวว่าฮ่องเต้อาณาจักรฮุ่ยจงใจซ่อนตัวให้ศัตรูลดความระวัง ทว่าบัดนี้เขาก็ยังไม่ปรากฏตัวออกมา คำกล่าวก่อนหน้านี้จึงใช้ไม่ได้อีกต่อไป ฝ่าบาท ขวัญกำลังใจของอาณาจักรเหลียงเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก ใกล้ตอบโต้กลับสำเร็จแล้ว ในยามนี้อาณาจักรเฟิ่งหลินเราควรทำอะไรหน่อยหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
“ส่งแผนที่มาให้ข้า”
เสนาบดีกรมกลาโหมนำแผนที่ออกมากาง
“ที่นี่เต็มไปด้วยคนชั่วคนดีปะปนกัน ง่ายแก่การหลบซ่อนตัวจริง ๆ เพียงแต่ เพราะเหตุใดเล่าพ่ะย่ะค่ะ?”
“นานเพียงนี้แล้วยังไม่ได้ปรากฏตัวออกมา เกรงว่าอีกฝ่ายจะบาดเจ็บสาหัสจนเคลื่อนไหวไม่ได้ หรือไม่ก็ติดอยู่แถวนี้แล้วออกมาไม่ได้ กล่าวคือกำลังตกอยู่ในอันตราย”
“เช่นนั้นพวกเราควรทำอย่างไร? อาณาจักรเหลียงและอาณาจักรฮุ่ยกำลังห้ำหั่นกัน หากอาณาจักรเหลียงยึดครองได้ นั่นย่อมไม่เป็นผลดีต่ออาณาจักรเฟิ่งหลินเรา ยิ่งไปกว่านั้น…”
ยิ่งไปกว่านั้นความคิดที่ฮ่องเต้อาณาจักรเหลียงผู้นั้นมีต่อฮองเฮาของพวกเขาล้วนเป็นที่ล่วงรู้กันทั่วหล้า ขอเพียงเป็นคนกระหายเลือดย่อมไม่มีวันปล่อยศัตรูที่แย่งชิงภรรยาของตนไป
“ข้าจะมอบอำนาจสั่งการทางการทหารให้ท่าน ท่านสามารถจัดวางกองทัพและแม่ทัพได้ตามที่ท่านต้องการ นำคนไปช่วยเหลือเถิด”
“กระหม่อมน้อมรับพระบัญชา”
สองเดือนต่อมา ในที่สุดเหมันตฤดูก็สิ้นสุดลง ผู้คนต่างถอดเสื้อผ้าหนา ๆ ออก เปลี่ยนมาสวมใส่ชุดฤดูใบไม้ผลิสีอ่อน
อย่างไรก็ตามขุนนางพลเรือนและขุนนางทหารอาณาจักรเฟิ่งหลินไม่ได้รู้สึกอบอุ่นนัก ในทางกลับกัน พวกเขารู้สึกว่าอากาศเย็นเยือกยิ่งกว่าเดือนสิบสองตามปฎิทินจันทรคติเสียอีก เสียงโต้เถียงตอนว่าราชกิจช่วงเช้าในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมารุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ สาเหตุทั้งหมดล้วนมาจากสงครามชายแดน
“แม่ทัพจางนำทัพห้าหมื่นนายไปหนุนอาณาจักรฮุ่ย ผลที่ได้คือฮ่องเต้อาณาจักรเหลียงใช้ระเบิดระเบิดภูเขา ทหารห้าหมื่นนายได้รับผลกระทบอย่างร้ายแรง หลบหนีมาพร้อมควาทพ่ายแพ้ยับเยิน ไม่ต้องเอ่ยถึงว่าจะไปสู้กับพวกเขา การเคลื่อนทัพของเราครั้งนี้นับได้ว่าขบขันแล้ว ไม่รู้ว่ามีคนอีกมากน้อยเพียงใดที่กล่าวอาณาจักรเฟิ่งหลินเราไร้สมอง”
“ชนะกับพ่ายแพ้เป็นเรื่องธรรมดาในกองทัพ” แม่ทัพจงกล่าว “ทุกท่านอย่าได้พูดเกินไป พวกท่านเป็นขุนนางพลเรือน แม้กระทั่งไก่ก็ไม่เคยฆ่ากระมัง? พวกท่านรู้ว่าคมดาบไร้ตาหรือไม่? แม่ทัพจางก็ไม่ได้ต้องการโจมตีล้มเหลวเช่นกัน เพียงแต่อีกฝ่ายเจ้าเล่ห์เพทุบายเกินไป พวกเขาลอบวางกำลังคอยซุ่มโจมตีล่วงหน้า ทำให้ทหารของเราไม่ทันเตรียมพร้อม นี่เป็นความประมาทเลินเล่อของพวกเขา ยามนี้พวกเราควรร่วมแรงร่วมใจกัน เหตุใดจึงต้องมาทะเลาะกันอยู่ที่นี่เล่า?”
“พอได้แล้ว!” เซี่ยเฉิงจิ่นเอ่ยขัดการโต้แย้งระหว่างทั้งสองฝ่าย “เราตัดสินใจจะนำทัพไปด้วยตนเอง!”
“ฝ่าบาทไม่ได้…”
“ฝ่าบาท ไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ…”
เวลานี้เองทั้งขุนนางพลเรือนและขุนนางทหารเป็นหนึ่งเดียวกันอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“เราตัดสินใจแล้ว”
“ฮ่องเต้อาณาจักรฮุ่ยนำทัพออกรบด้วยตนเอง เป็นตายไม่แน่ชัด อาณาจักรฮุ่ยยังมีท่านอัครมหาเสนาบดีลู่ อาณาจักรเฟิ่งหลินเรา…”
“อาณาจักรเฟิ่งหลินมีฮองเฮา” เซี่ยเฉิงจิ่นเอ่ยอย่างนิ่งขรึม “ในระหว่างที่เราไม่อยู่ เรื่องราชกิจทั้งหมดฮองเฮาจะเป็นผู้ตัดสิน ใต้เท้าหยาง ใต้เท้าเฝิง และใต้เท้าจิ้นจะคอยช่วยเหลือฮองเฮา”
“ฝ่าบาท พระองค์กำลังล้อเล่นกระมัง? ไม่มีราชวงศ์ใดให้สตรีในวังหลังเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องราชกิจ”
“ใต้เท้าหยาง ใต้เท้าเฝิง ใต้เท้าจิ้นคอยปรึกษากันเรื่องราชกิจ เรื่องสำคัญรายงานฮองเฮาและจะดำเนินการได้ก็ต่อเมื่อได้รับอนุญาตจากฮองเฮาเท่านั้น ข้าจะมอบตราราชลัญจกรหยกให้แก่ฮองเฮา มีเพียงนางเท่านั้นที่มีสิทธิ์ใช้มัน”
หลังจากฟังสิ่งที่เซี่ยเฉิงจิ่นกล่าวแล้ว ลู่จื่ออวิ๋นก็ยกน้ำแกงถ้วยหนึ่งส่งให้เขาแล้วกล่าวว่า “ฟ่านเหยี่ยนมีความสามารถในการบัญชาการอยู่บ้างจริง ๆ เกรงว่าแม่ทัพผู้อื่นจะไม่อาจรับมือเขาได้ ท่านต้องนำทัพไปด้วยตนเองเพราะไม่ต้องการให้อาณาจักรเฟิ่งหลินต้องเสียแม่ทัพอีก อีกทั้งฟ่านเหยี่ยนยังมีใจทะเยอทะยาน ไม่ช้าก็เร็วจะต้องโจมตีอาณาจักรเฟิ่งหลินเป็นแน่ ท่านจึงอยากจะใช้โอกาสนี้เผชิญหน้ากับเขาเพื่อสะสางปัญหานี้ให้หมดสิ้นใช่หรือไม่?”
“ข้าคิดว่าเจ้าจะเกลี้ยกล่อมข้าเสียอีก”
“หม่อมฉันจะไม่ทำเช่นนั้น ฝ่าบาททำถูกแล้ว แก้ไขภัยครั้งนี้โดยเร็วที่สุด ทุกอาณาจักรจะได้สงบลงจริง ๆ เสียที”
“ข้าให้เจ้าแบกภาระจัดการราชกิจบ้านเมือง เจ้ากลัวหรือไม่?”
“ตอนที่อยู่ในเมืองถงหยาง มารดาหม่อมฉันเปลี่ยนเมืองถงหยางจากเมืองที่ไม่มีสิ่งใดให้กลายเป็นหนึ่งในสามเมืองที่ดีที่สุดในอาณาณาจักรฮุ่ย หม่อมฉันติดตามท่านแม่ทำหลาย ๆ อย่าง อาจกล่าวได้ว่าเป็นรองเพียงเจ้าเมืองกระมัง! หม่อมฉันคิดว่าการปกครองแคว้นอาจยากกว่านั้นสักเล็กน้อย… อืม บางทีอาจยากกว่าที่คิดไปมาก แต่หม่อมฉันคงมีความสามารถมากพอ ฝ่าบาทจึงกล้ามอบหมายให้หม่อมฉันจัดการ เป็นเช่นนี้กระมัง? ท้ายที่สุดท่านก็ไม่อาจมอบของเช่นตราราชลัญจกรหยกให้ผู้อื่นได้ หัวใจมนุษย์ไม่อาจทนต่อการทดสอบ เพราะพวกเราผู้ใดล้วนไม่รู้ว่าหัวใจที่ซ่อนอยู่ภายใต้เนื้อหนังนั้นจะทานทนต่อการล่อลวงได้หรือไม่”
“ยังเป็นน้องหญิงที่เข้าใจพี่”
“ท่านไม่กลัวหรือว่ายามท่านกลับมา หม่อมฉันจะสถาปนาตนเองขึ้นครองบัลลังก์ไปแล้ว? อย่างไรเสียก่อนหน้านี้อาณาจักรเฟิ่งหลินก็เคยมีจักรพรรดินี”
“หากน้องหญิงขึ้นครองบัลลังก์เป็นจักรพรรดิ เจ้าให้พี่เป็นฮองเฮาได้หรือไม่” เซี่ยเฉิงจิ่นกระชับนางเข้ามากอดแล้วเอ่ยกระเซ้า “อีกอย่างข้าคนนี้ขี้หึงเป็นพิเศษ ไม่อาจปล่อยให้เจ้ามีสนมชายอื่นได้ มีได้เพียงข้าผู้เดียวเท่านั้น”
ลู่จื่ออวิ๋น “…”
คนผู้นี้ไม่คิดตามหลักเหตุผลทั่วไปจริง ๆ
ยิ่งพูดยิ่งหน้าไม่อายขึ้นเรื่อย ๆ
เซี่ยเฉิงจิ่นนำทัพออกรบไปแล้ว
ลู่จื่ออวิ๋นสังหรณ์ใจว่าการส่งกองกำลังของอาณาจักรเฟิ่งหลินออกไปอาจไม่ใช่จุดสิ้นสุด หากแต่เป็นจุดเริ่มต้น
ศึกในครั้งนี้…
เกรงว่าจะเป็นดั่งไฟที่พัดมาตามลมกระโชก ไม่เพียงไม่ดับลงเท่านั้น ทว่ายังจะทำให้เกิดไฟโหมกระพือลุกลามใหญ่หลวง
ครึ่งเดือนหลังเซี่ยเฉิงจิ่นจากไป ลู่จื่ออวิ๋นเกิดเป็นลมหมดสติไปในวังหลวง
หมอหลวงตรวจชีพจรของนาง
ซ่างกวนหมิงเสียเอ่ยอย่างกังวลใจ “หมอหลวง เป็นอย่างไรบ้าง?”
“ฮองเฮาทรงงานหนักเกินไป” หมอหลวงกล่าว “เพียงแค่ต้องทานยาสองสามชุดจากนั้นพักผ่อนให้เพียงพอ เช่นนี้ก็จะไม่เป็นอะไรแล้ว”
“ข้าบอกแล้วว่าระยะนี้เจ้าโหมงานหนักเกินไปย่อมทำให้ร่างกายเหนื่อยล้า” ซ่างกวนหมิงเสียเอ่ย “เฉิงจิ่นเจ้าเด็กคนนั้นก็จริง ๆ เลย รบทัพจับศึกเป็นเรื่องของแม่ทัพ เขาจะเลียนแบบฮ่องเต้อาณาจักรฮุ่ยนำทัพออกรบด้วยตนเองได้อย่างไร? เพียงแค่ครึ่งเดือน เสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์ก็ผ่ายผอมมากเพียงนี้แล้ว ข้าเห็นแล้วปวดใจยิ่งนัก”
“ฮูหยิน อย่าได้บ่นไปเลย เฉิงจิ่นเองก็คิดถึงสถานการณ์ภาพรวมเช่นกัน ถึงแม้ราชสำนักจะมีแม่ทัพหลายคน แต่กลับไม่มีผู้ใดจัดการกับฮ่องเต้อาณาจักรเหลียงได้ ดังจะเห็นได้จากแม่ทัพจางเป็นตัวอย่าง” อู่อันอ๋องที่อยู่ข้าง ๆ เอ่ยขึ้นมา