สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย – บทที่ 854 ระวังไว้หน่อยย่อมดีกว่า

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

บทที่ 854 ระวังไว้หน่อยย่อมดีกว่า

บทที่ 854 ระวังไว้หน่อยย่อมดีกว่า

หลังจากหมอหลวงจากไปแล้ว ไป๋จื่อกำลังจะไปจัดยาจากเทียบยาที่ท่านหมอสั่งให้ แต่กลับถูกลู่จื่ออวิ๋นห้ามเอาไว้

“นำป้ายไม้ของข้ามา ไปที่ร้านสกุลลู่ บอกให้พวกเขาจัดหาหมอมาให้ข้า”

“ฮองเฮา ท่านหมอหลวงหลี่เคยตรวจชีพจรท่านมาก่อน หรือท่านรู้สึกว่าเขามีปัญหาอะไรเพคะ?”

ติงเซียงที่อยู่ข้าง ๆ เอ่ยขึ้น “ฮองเฮาว่าอย่างไร เจ้าก็ทำอย่างนั้น เหตุใดต้องมากเรื่องราว? ก่อนหน้านี้ก็คือก่อนหน้านี้ ตอนนี้ก็คือตอนนี้ ระมัดระวังหน่อยก็ไม่มีอะไรผิด”

“กล่าวได้มีเหตุผล” ซ่างกวนหมิงเสียเอ่ย “ก่อนหน้านี้เฉิงจิ่นยังอยู่ในเมืองหลวง ไม่มีคนกล้าทำอะไรเจ้า บัดนี้เจ้ากุมอำนาจไว้แต่เพียงผู้เดียว แบกรับภาระของอาณาจักรเฟิ่งหลินไว้บนบ่า ย่อมไม่อาจหละหลวมแม้แต่น้อย”

“เพียงแต่ร้านของสกุลลู่เปิดเพื่อการค้าขาย จะจัดหาท่านหมอที่เหมาะสมมาได้หรือ? ท้ายที่สุดแล้วท่านหมอข้างนอกก็ไม่ได้มีฝีมือเท่าหมอหลวง” อู่อันอ๋องเอ่ยถาม

“เสด็จพ่อ เสด็จแม่คงเคยได้ยินชื่อหุบเขาเทพโอสถ” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ย “เพื่อความปลอดภัยของหม่อมฉัน ทุกปีท่านแม่จะจัดเตรียมท่านหมอจากหุบเขาเทพโอสถผู้หนึ่งให้มาประจำการที่ร้านสาขาในอาณาจักรเฟิ่งหลิน ยามที่หม่อมฉันต้องการ สามารถเรียกพวกเขาเข้าวังมาได้ทุกเมื่อ”

“เช่นนั้นก็ดียิ่ง ท่านหมอจากหุบเขาเทพโอสถจะต้องเชื่อถือได้เป็นแน่” ซ่างกวนหมิงเสียกล่าว “รีบไปเรียกเขามาจากที่ร้านโดยเร็ว”

ไป๋จื่อไปที่ร้านสาขาสกุลลู่ ไม่นานนักก็พาหญิงสาวผู้หนึ่งเข้ามาในวัง

หญิงสาวผู้นั้นตรวจชีพจรของลู่จื่ออวิ๋น ขมวดคิ้วพลางกล่าวว่า “ร่างกายของฮองเฮามีบางอย่างผิดปกติ”

“ไม่ใช่ร่างกายอ่อนแอเพราะทำงานหนักใช่หรือไม่?” ซ่างกวนหมิงเสียเอ่ยถาม

“ไม่ใช่เพคะ ยังมีปัญหาอย่างอื่น” หมิงจือเหยียนเอ่ย “ขอข้าดูรายการเครื่องเสวยเมื่อไม่นานมานี้ได้หรือไม่?”

“บ่าวจะไปนำมาจากห้องเครื่องประเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ”

ติงเซียงกลับมาพร้อมกับรายการเครื่องเสวย

หมิงจือเหยียนตรวจดูแล้วกล่าวว่า “ไม่มีปัญหาเพคะ”

“นำรายการเครื่องเสวยมาให้ข้า” ลู่จื่ออวิ๋นกล่าว

ติงเซียงส่งรายการเครื่องเสวยให้ลู่จื่ออวิ๋นอีกครั้ง

ลู่จื่ออวิ๋นมองดูแวบเดียวก็กล่าวว่า “รายการนี้ถูกแก้ไข ติงเซียง เจ้าให้ห้องเครื่องส่งมอบรายการเครื่องเสวยจริงออกมา”

“ฮองเฮามองออกได้อย่างไรหรือเพคะ” ไป๋จื่อเอ่ยถาม

“ก่อนหน้านี้ไม่จำเป็นต้องจำ ทว่าหมู่นี้ทั้งสามมื้อข้าเสวยสิ่งใดไปบ้าง ข้าล้วนจดจำได้ขึ้นใจ รายการเครื่องเสวยนี้เห็นได้ชัดว่ามีสามอย่างตกหล่นไป เช่นนี้หากยังกล่าวว่าไม่มีปัญหา อย่างไรจึงจะเรียกว่ามีปัญหาเล่า?”

“บ่าวจะไปเค้นถามประเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ”

“หากพวกเขาไม่สารภาพแต่โดยดี เช่นนั้นก็จะถูกลงโทษเช่นเดียวกับมือสังหาร” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ยด้วยท่าทีสุขุม “วังหลวงแห่งนี้สงบสุขมานานเกินไปแล้ว บางทีคงมีเพียงเลือดที่จะทำให้ผู้คนมีเหตุผลขึ้นมาบ้าง”

ซ่างกวนหมิงเสียและอู่อันอ๋อง “…”

นางเกือบเห็นลูกสะใภ้คนนี้เป็นกระต่ายขาวตัวน้อยแล้ว

หลายปีมานี้นางติดตามมารดาไปทั่วหล้า แม้กระทั่งประสบการณ์ในสนามรบก็ยังเผชิญมาแล้ว ความคิดของนาง คนทั่วไปจะเข้าใจได้อย่างไร?

“ได้ยินหรือไม่? วังหลวงเกิดเรื่องแล้ว”

“เกิดเรื่องอะไรหรือ?

“มีคนต้องการสังหารฮองเฮา ทว่าฮองเฮาพบเสียก่อน พ่อครัวใหญ่สองคนในห้องเครื่องถูกตัดสินประหารชีวิตทันที ข้ารับใช้ในวังคนอื่น ๆ ที่ยกเครื่องเสวยนั้นมาถูกจับขังคุกแล้ว”

“ผู้ใดบังอาจถึงเพียงนั้น ห้องเครื่องรับผิดชอบปากท้องของผู้สูงศักดิ์ ดังคำกล่าวที่ว่าโรคภัยเข้าทางปาก เภทภัยออกทางปาก ผู้ที่จะติดสินบนห้องเครื่องได้ต้องไม่ใช่คนธรรมดา คนผู้นั้นคิดจะทำการใด?”

“จะทำอะไรได้อีกเล่า? ฝ่าบาทไม่อยู่ ในวัง เหลือสตรีเพียงคนเดียว นั่นไม่ใช่การบีบลูกพลับนิ่มหรือ! ผู้ใดจะรู้ว่าลูกพลับลูกนี้ไม่นิ่มแม้แต่น้อย กลับเป็นการขุดรากถอนโคนที่ตนเองวางไว้อย่างยากลำบาก”

“ที่แท้เป็นผู้ใดแน่? อาณาจักรเฟิ่งหลินเราไม่มีองค์ชายที่คิดจะแก่งแย่งชิงอำนาจ”

“ผู้ที่อยากเป็นฮ่องเต้ไม่ได้มีเพียงองค์ชาย เมื่อเห็นโอกาสที่ฝ่าบาทไม่อยู่ คนบางคนก็ไม่อาจยับยั้งชั่งใจได้ จึงคิดจะทำร้ายฮองเฮา”

ลู่จื่ออวิ๋นผ่อนคลายอย่างหาได้ยากนักจึงออกจากวังไปเดินเล่นรอบ ๆ ผลที่ได้คือนางได้ยิน ‘ทฤษฎีสมคบคิด’ มากมาย

ติงเซียงจึงกล่าวว่า “ในหมู่ชาวบ้านช่างมีผู้มีความสามารถมากมายจริง ๆ นะเพคะ เพียงแค่ช่วงเวลาสั้น ๆ ก็มีข่าวลือหลากหลายรูปแบบออกมาแล้ว”

“เช่นนี้ไม่ดีหรือ? นี่แสดงให้เห็นว่าราษฎรอาณาจักรเฟิ่งหลินฉลาดเพียงใด”

“ฮองเฮาออกจากวังมีเรื่องอะไรหรือไม่เพคะ?”

“อยู่แต่ในวัง สมองข้าไม่ปลอดโปร่ง หากอยากรู้ว่าราษฎรคิดอะไร เช่นนั้นก็ต้องเข้าไปมีส่วนร่วม ฟังความคิดเห็นของพวกเขา”

“พระวรกายของฮองเฮา…”

“นี่เป็นเพียงฤทธิ์ขัดกันของวัตถุดิบหลายอย่าง ตอนนี้ได้ปรับเปลี่ยนแล้ว”

“นี่เป็นเพียงเรื่องบังเอิญจริง ๆ หรือเพคะ?”

“หากเป็นเรื่องบังเอิญจริง ๆ พ่อครัวใหญ่สองคนนั้นคงไม่ตาย ในเมื่อข้าไม่ไว้ชีวิตพวกเขา ย่อมเป็นเพราะข้ารู้ว่าเรื่องนี้ไม่ได้เรียบง่ายเพียงนั้น ชาวบ้านเมื่อครู่นี้กล่าวได้ถูกต้อง ฝ่าบาทไม่อยู่ ในวังมีเพียงข้าคนเดียว นี่เป็นการบีบลูกพลับนิ่ม”

ในการว่าราชกิจช่วงเช้า ลู่จื่ออวิ๋นฟังเรื่องราชการอยู่หลังม่าน

ในฐานะฮองเฮา ถึงแม้เซี่ยเฉิงจิ่นจะมอบหมายเรื่องราชการให้กับนาง ทว่านางก็ไม่อาจนั่งบนบัลลังก์มังกรได้ ดังนั้นอาภรณ์ของเซี่ยเฉิงจิ่นจึงวางอยู่บนบัลลังก์มังกร ส่วนนางก็นั่งอยู่หลังม่าน ฟังการหารือเรื่องราชการของขุนนางพลเรือนและขุนนางทหาร

นางเพียงแค่รับฟังเรื่องทั่วไปในราชสำนัก หากไม่มีข้อโต้แย้งก็จะไม่แสดงความคิดเห็น อย่างไรก็ตาม เมื่อมีขุนนางหลายคนคอยรับผิดชอบ ย่อมไม่ได้เกิดปัญหาบ่อยนัก จนกระทั่ง…

“มังกรโลกพลิกกายทำให้ราษฎรชาวหนานโจวบาดเจ็บล้มตายนับไม่ถ้วน เกิดเรื่องเล่าลือในหมู่ราษฎรว่าเป็นปีศาจร้ายออกอาละวาดทำให้เกิดเภทภัย” ขุนนางคงหนึ่งก้าวออกมากล่าว

“ปีศาจออกอาละวาด?” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ยขึ้น “ใต้เท้าซ่งสามารถกล่าวตามที่ราษฎรพูดกันออกมาตามตรง อย่างเช่น ‘ฮองเฮาปีศาจเรืองอำนาจ ภัยพิบัติทางธรรมชาติต้องอุบัติ นี่เป็นคำเตือนจากสวรรค์’ ได้”

“ฮองเฮาโปรดระงับโทสะ”

“นี่มีอะไรให้โกรธเล่า? หรือว่าถ้อยคำเหล่านี้เป็นพวกท่านที่กล่าวออกไป?” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ย “หนานโจวเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติ ราษฎรมีภัย ข้าย่อมกังวลมากเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ในเมื่อมีคนคิดจะใช้เรื่องนี้โจมตีข้าและทำให้จิตใจของผู้คนระส่ำระสาย เช่นนั้นก็อย่าได้ตำหนิข้าที่ต้องตรวจสอบเรื่องนี้โดยละเอียด เซี่ยชิงโจวอยู่ที่ใด?”

“ข้าน้อยอยู่นี่พ่ะย่ะค่ะ” เซี่ยชิงโจวก้าวออกมา

“เรื่องนี้มอบให้ท่านจัดการ”

“พ่ะย่ะค่ะ”

“หากมีคนคิดจะใช้ถ้อยคำชั่วร้ายชักนำผู้คนในทางที่ผิด ข้าให้สิทธิ์ท่านฆ่าก่อนค่อยรายงานภายหลัง”

“กระหม่อมน้อมรับพระบัญชาพ่ะย่ะค่ะ”

มังกรโลกพลิกกาย นั่นเป็นเรื่องใหญ่เทียมฟ้า

สำหรับคนยุคนี้แล้ว เรื่องนี้ใช้ปลุกปั่นความโกรธของผู้คนได้อย่างง่ายดายจริง ๆ

อย่างไรก็ตาม สองปีที่ลู่จื่ออวิ๋นเป็นฮองเฮามาไม่ได้ไร้ประโยชน์เสียทีเดียว นางคิดอย่างไรต่อราษฏรอาณาจักรเฟิ่งหลิน ทุกคนล้วนมีตา

หากเป็นผู้อื่นก็แล้วไปเถิด แต่หากคิดจะสาดน้ำโคลนถังนี้ใส่นาง ผลลัพธ์ที่ได้ย่อมไม่ดีเท่าที่ควร

หากใช้รถม้าจากเมืองหลวงไปยังหนานโจวจะใช้เวลาสิบวัน หากเร่งเดินทางแล้วเปลี่ยนไปใช้เส้นทางน้ำจะใช้เวลาเพียงห้าวันเท่านั้น อย่างไรเสียเส้นทางก็สั้นลง ไม่จำเป็นต้องใช้เส้นทางคดเคี้ยว เช่นนี้ย่อมไปถึงได้เร็วขึ้น

เซี่ยชิงโจวเร่งรุดไปยังหนานโจวพร้อมกับคนของเขา

“พระนางกำลังทรงพระครรภ์นะเพคะ” หมิงจือเหยียนกล่าว

“ท่านว่าอย่างไรนะ?” ติงเซียงตื่นเต้นดีใจ “จริงหรือ?”

ลู่จื่ออวิ๋นเหลือบมองติงเซียงแวบหนึ่ง

ใบหน้าของติงเซียงเผยรอยยิ้มออกมา “บ่าวดีใจนี่เพคะ!”

“ก่อนหน้านี้ไม่ได้ยินท่านเอ่ยถึง” ลู่จื่ออวิ๋นกล่าว “เป็นเพราะเดือนสั้นเกิน ท่านจึงไม่ทันสังเกตเห็นหรือ?”

“อันที่จริงตอนนั้นข้าก็เริ่มสงสัยแล้วเพคะ เพียงแต่อย่างที่ฮองเฮากล่าว อายุครรภ์น้อยเกินไปจึงยังมองไม่ออก ยิ่งไปกว่านั้น ฮองเฮายังเสวยของที่มีฤทธิ์ขัดกันมาระยะหนึ่ง ข้าจึงไม่แน่ใจว่าเป็นผลกระทบต่อพระวรกายหรือไม่ จึงอยากค่อย ๆ สังเกตดูสักระยะแล้วค่อยตรวจดูอีกทีเพคะ”

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

Status: Ongoing
ใครกล้าทำร้ายวายร้ายตัวน้อยทั้งสอง ภรรยาตัวร้ายอย่างข้าไม่ปล่อยไว้แน่

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท