บทที่ 860 ไส้ศึกสมควรถูกประหาร
บทที่ 860 ไส้ศึกสมควรถูกประหาร
“สมควรถูกประหาร!”
“ประหารพวกเขา!”
“คิดจะสร้างความปั่นป่วนในอาณาจักรเฟิ่งหลินเรา คนชั่วร้ายพวกนี้ไม่อาจปล่อยไว้เป็นอันขาด”
…
เหล่าราษฎรต่างร้องตะโกนลั่นด้วยความโกรธ
ลู่จื่ออวิ๋นยกมือขึ้นก่อนจะสะบัดมือลง
ฉับ!
เพชฌฆาตหลายสิบคนแกว่งดาบพร้อมกัน ศีรษะของคนเหล่านั้นกลิ้งลงมาศีรษะแล้วศีรษะเล่า
“ฮองเฮา” ติงเซียงกังวลว่าฉากตรงหน้าจะทำให้ลู่จื่ออวิ๋นกลัว ทว่าฝ่ายหลังกลับไม่แม้แต่ขมวดคิ้วด้วยซ้ำ
เรื่องเกี่ยวกับแผ่นศิลาตรวจสอบเสร็จสิ้นแล้วและจบลงด้วยการแลกศีรษะ ทุกคนทั่วหล้าต่างก็รู้ว่าคำประกาศที่ว่าฮองเฮาเป็นปีศาจนั้นเหลวไหลทั้งเพ อีกทั้งยังประกาศว่าผู้ใดเอ่ยถึงเรื่องนี้อีกจะถูกลงโทษเช่นเดียวกับไส้ศึกจากอาณาจักรเหลียง
ลู่จื่ออวิ๋นอยู่ที่หนานโจวเป็นเวลาสี่เดือน
ในระยะเวลาสี่เดือนนี้ นอกจากช่วยเหลือให้ราษฎรสร้างบ้านใหม่และสร้างพื้นที่เพาะปลูกที่อุดมสมบูรณ์แล้ว นางยังแก้ไขปัญหาในท้องที่อีกมากมาย หนึ่งในนั้นคือการแก้ปัญหาเรื่องเนินเขาที่มากเกินไปจนทำให้ราษฎรไม่มีที่ดินมากพอที่จะปลูกพืชผล
ลู่จื่ออวิ๋นแนะนำให้ทุกคนเปลี่ยนเนินเขาเหล่านั้นให้เป็นนาขั้นบันได
อีกปัญหาหนึ่งคือที่นี่มีน้ำไม่เพียงพอ อีกทั้งยังมีฝนไม่มากจึงมักจะแห้งแล้งอยู่ตลอดจนพืชผลเจริญเติบโตได้ไม่ดี
นางก็เตรียมการให้ผู้คนสร้างอ่างเก็บน้ำ ผันน้ำไปปรับปรุงพื้นที่แห้งแล้ง จากนั้นจึงนำเมล็ดพันธุ์ดี ๆ จำนวนมากที่ได้มาจากอาณาจักรฮุ่ยเข้ามา อย่างเช่น มันเทศและมันฝรั่ง
เรือสินค้าของมู่ซืออวี่แล่นผ่านสถานที่ต่าง ๆ มากมาย ทั้งยังนำเมล็ดพันธุ์ต่าง ๆ มาด้วย ปีนี้เรือสินค้าสกุลลู่ได้นำเมล็ดพันธุ์ต่าง ๆ มาให้ลู่จื่ออวิ๋น บัดนี้ถึงเวลาที่จะนำมาใช้แล้ว
“ถึงแม้ฮูหยินจะไม่อยู่แต่ก็มีเรื่องเล่าขานเกี่ยวกับฮูหยินอยู่ทุกหนทุกแห่งเลยนะเพคะ” ติงเซียงเอ่ย “ฮองเฮา ท่านไม่รู้ว่าตอนนี้มีราษฎรมากเพียงใดที่ชื่นชมท่าน บางคนยังเอ่ยถึงฮูหยิน นับถือฮูหยินราวกับนางเป็นเซียนสวรรค์อย่างไรอย่างนั้นเลยนะเพคะ”
ก่อนหน้านี้นางคิดว่าเข้าใจมารดาของตนมากพอ แต่เมื่อนางตั้งครรภ์ถึงได้เข้าใจความยากลำบากของการตั้งครรภ์และการคลอดบุตร นางจึงตระหนักว่าสิ่งที่ตนเองเข้าใจก่อนหน้านี้เป็นแค่เรื่องผิวเผินเท่านั้น ไม่ได้เข้าใจอย่างแท้จริงแม้แต่น้อย
มารดาแข็งแกร่งกว่าที่คิด
“ราษฎรข้างนอกกล่าวว่าแม้ฮองเฮาจะทรงพระครรภ์ แต่ก็มาดูแลพวกเขาด้วยตนเอง พวกเขารู้สึกซาบซึ้งใจเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งยังเป็นห่วงพระวรกายด้วยเช่นกัน ตอนที่พระนางเพิ่งมานั้นอายุครรภ์เพิ่งสองเดือนกว่าเท่านั้น บัดนี้เกือบจะเจ็ดเดือนแล้วนะเพคะ”
“ตอนนี้ใต้เท้าเซี่ยกำลังทำอะไร?”
“ดูเหมือนกำลังกำกับดูแลงานของผู้ใต้บังคับบัญชาอยู่ข้างนอกเพคะ”
“บาดแผลเขาไม่เป็นอะไรแล้วหรือ?”
“แม่นางหมิงคอยเฝ้าเขาทั้งวันจะต้องไม่เป็นอะไรแน่แล้วเพคะ หากมีอะไร แม่นางหมิงย่อมไม่ให้เขาลุกขึ้นจากเตียง”
ไป๋จื่อเอ่ยด้วยท่าทีลึกลับ “ฮองเฮา ทรงทราบเรื่องความแค้นระหว่างแม่นางหมิงกับใต้เท้าเซี่ยหรือไม่เพคะ?”
“เล่าให้ข้าฟังเถิด”
“ตอนที่นางอยู่ในเมืองหลวง แม่นางหมิงได้รู้จักกับสตรีจากหอโคมเขียวผู้หนึ่ง ทั้งสองเข้ากันได้ดีจึงคบหากันเป็นสหาย ครั้งหนึ่งแม่นางหมิงไปหาน้องสาวผู้นี้จึงถูกคุณชายบุตรหลานขุนนางหลายคนเข้าใจผิดว่าเป็นแม่นางในหอคณิกา ตอนนั้นจู่ ๆ ใต้เท้าเซี่ยก็โผล่ออกมา เขาใช้มือโอบเอวนางมากอด แล้วกล่าวว่านางเป็นแม่นางที่ตนชมชอบ ช่วยแม่นางหมิงจากเงื้อมมือของคุณชายบุตรหลานขุนนางเหล่านั้น”
ลู่จื่ออวิ๋นดื่มน้ำแกงปลา ลิ้มรสในปาก แล้วกินลูกพลัมแห้งพลางเอ่ยถามด้วยความข้องใจ “พิจารณาจากความเป็นมาในเรื่องนี้ ใต้เท้าเซี่ยทำตัวเป็นวีรบุรุษช่วยสาวงาม จือเหยียนควรซาบซึ้งต่อเขา แต่เหตุใดข้ารู้สึกว่าจือเหยียนกลับทำปั้นปึ่งใส่เขาเล่า อีกทั้งยังดูเหมือนเห็นเขาขวางหูขวางตายิ่ง”
“ปัญหาเรื่องนี้ บ่าวก็ไม่ทราบแล้วเพคะ แม่นางหมิงเล่าเพียงเรื่องนี้ให้บ่าวฟังเท่านั้น” ไป๋จื่อกล่าว
“จะต้องมีอย่างอื่นเป็นแน่” ติงเซียงกล่าว “ข้ากลับรู้สึกว่าแม่นางหมิงยิ่งโมโหกว่าเดิม เพราะดูเหมือนใต้เท้าเซี่ยจะจำนางไม่ได้ อีกทั้งยังลืมนางเสียสิ้น”
ลู่จื่ออวิ๋นหัวเราะน้อย ๆ “ใต้เท้าเซี่ยอายุรุ่นราวคราวเดียวกับฝ่าบาท ทั้งสองคนเป็นสหายกันมาหลายปีแล้ว ฝ่าบาทจะพระราชทานสมรสให้เขาหลายครั้งหลายครา เขากลับทำท่าราวกับสตรีเป็นพยัคฆ์ ไม่อาจเข้าใกล้ บัดนี้มีคนมาจัดการเขาแล้ว”
เรื่องราวในหนานโจวใกล้สิ้นสุดลงแล้ว ลู่จื่ออวิ๋นจึงเตรียมตัวจะกลับเมืองหลวง
ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา เมืองหลวงส่งข่าวมาบ่อยครั้ง ทั้งหมดล้วนเป็น ‘ทุกอย่างเรียบร้อยดี ไม่ต้องคิดมาก’ ทว่าลู่จื่ออวิ๋นทราบดี ราชสำนักจะต้องไม่สงบอย่างที่คิดแน่นอน เพียงแต่ยามนี้มีคนคอยคุ้มกันลมฝนให้เท่านั้น
“พระนางฮองเฮา…” เด็กคนหนึ่งวิ่งเข้ามา ในมือถือขนมเอาไว้ “ท่านแบมือเถิด”
ลู่จื่ออวิ๋นคิดจะยอบกายลง ทว่าติงเซียงรีบรั้งนางไว้
ตอนนี้ท้องนางใหญ่โตแล้ว ไม่อาจไม่ระมัดระวังตัวได้
ติงเซียงอุ้มเด็กคนนั้นขึ้นมาเพื่อให้ทั้งสองได้มองหน้ากัน
ลู่จื่ออวิ๋นแบมือออก แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เจ้าอยากให้อะไรข้าหรือ?”
เด็กคนนั้นวางขนมลงบนมือนาง “นี่เป็นรางวัลจากการทำความดีของกระหม่อม ท่านอาเซี่ยให้กระหม่อมมา ตอนนี้กระหม่อมมอบให้พระนางฮองเฮา ท่านแม่บอกว่าพระนางฮองเฮาต้องกลับไปแล้ว ต่อไปพวกเราจะไม่ได้พบกันอีก แต่กระหม่อมได้ยินท่านอาเซี่ยบอกว่า หากกระหม่อมสอบขุนนางได้ลาภยศก็สามารถไปยังเมืองหลวงได้ เช่นนั้นก็จะมีโอกาสได้พบฮองเฮาอีก มิหนำซ้ำหากกระหม่อมเป็นขุนนางที่มีความสามารถ ยังสามารถทานอาหารกับฮองเฮาได้ด้วย ดังนั้นกระหม่อมจะต้องพยามเล่าเรียนอย่างแน่นอน”
ขอบตาลู่จื่ออวิ๋นเปลี่ยนเป็นสีแดงเรื่อ
“ได้ ข้าจะรอเจ้าอยู่ที่เมืองหลวง ให้ข้าเรียกเจ้าว่าอย่างไร? ข้าหวังว่าหลายปีต่อจากนี้จะได้เห็นชื่อของเจ้าอยู่บนป้ายประกาศรายชื่อผู้สอบผ่าน”
“กระหม่อมชื่อเซวียจี้จง”
“ข้าจดจำไว้แล้ว”
ติงเซียงวางเด็กคนนั้นลง
เด็กน้อยวิ่งหนีไปแล้ว
“ฮองเฮา เด็กคนนี้น่ารักจริง ๆ นะเพคะ”
“เจ้าคิดว่าเขาเพียงพูดจาอย่างเด็ก ๆ เท่านั้น ทว่าข้าเห็นความจริงจังในสายตาของเขา อย่างคำกล่าวที่ว่า หากรอดพ้นจากภัยพิบัติมาได้ ภายหน้าจะโชคดี ข้าเชื่อว่าหลังจากหนานโจวประสบเคราะห์ในครั้งนี้แล้วจะมีคนเก่งผุดขึ้นมามากมาย” ลู่จื่ออวิ๋นยื่นขนมให้ติงเซียง “ขนมนี้แปรรูปง่าย เจ้าช่วยข้าหาวิธีเก็บรักษามันเอาไว้เถิด วันหนึ่งหากได้พบเด็กคนนี้ ถึงตอนนั้นข้าจะมอบขนมนี้ให้เขา”
“ฮองเฮาซาบซึ้งใจเพียงนี้ อีกนิดบ่าวจะร้องไห้แล้วนะเพคะ” ติงเซียงเอ่ย
เซี่ยชิงโจวเดินเข้าไปในจวนผู้ตรวจการ จิบชาสองสามอึก จากนั้นก็เอนตัวลงบนเก้าอี้อย่างเหนื่อยล้า
“เครื่องมือการเกษตรที่ฮองเฮาวาดนำไปทำขึ้นมาแล้ว ใช้งานง่ายดังว่า ชาวไร่ชาวนายังกล่าวว่าต่อไปคงประหยัดแรงได้มาก” เซี่ยชิงโจวเอ่ย “นั่นก็เป็นสิ่งที่ฮูหยินลู่ทำหรือพ่ะย่ะค่ะ? ก่อนหน้านี้ไม่เคยเห็น”
“ไม่ใช่ ที่ดินในอาณาจักรเฟิ่งหลินเราแตกต่างจากที่ดินในอาณาจักรฮุ่ยเล็กน้อย ท่านไม่ได้สังเกตหรือ? ที่อื่นไม่ต้องกล่าวถึง พื้นที่หนานโจวนั้นมีกรวดมากเกินไป สภาพดินก็ไม่สู้ดีนัก ข้าจำได้ว่าท่านแม่เคยสอนชาวไร่ชาวนาว่าจะต้องปรับปรุงคุณภาพดินอย่างไร ข้าเลยให้พวกเขาลองทำ ส่วนเครื่องมือการเกษตรเหล่านั้น ไม่ได้ใช้ในอาณาจักรฮุ่ย เครื่องมือการเกษตรเหล่านั้นข้าทำขึ้นมาใหม่ตามสภาพพื้นที่ในอาณาจักรเฟิ่งหลิน ตอนนี้ดูเหมือนผลลัพธ์ที่ได้จะไม่เลว”
“สมองของพวกท่านสกุลลู่โตมาอย่างไร? สร้างอ่างเก็บน้ำ ทำนาขั้นบันได แล้วยังผันน้ำจากข้างบนลงมาข้างล่างเพื่อที่ดินบนเนินเขาจะได้รับการบำรุงด้วย”
“บางทีอาจเป็นเพราะข้ามีบิดามารดาที่ดีกระมัง? หากข้าโง่เกินไป นั่นจะไม่ทำให้พี่ชายฝาแฝดข้าได้รับความไม่เป็นธรรมหรือ ข้าอาจจะฉุดปัญญาของเขาลงมาก็เป็นได้” ลู่จื่ออวิ๋นยิ้มบาง ๆ “พวกเราเตรียมกลับเมืองหลวงแล้ว ทางท่านยังมีเรื่องที่ไม่ได้จัดการอีกมากน้อยเพียงใด?”
“พวกท่านกลับไปก่อนเถิด กระหม่อมจะค่อย ๆ จัดการแล้วกลับไป” เซี่ยชิงโจวเอ่ย “ทางเมืองหลวงไม่รู้ว่าท่านมาที่นี่พร้อมกับท้องโต ๆ นี่กระมัง? หากพวกเขารู้ องค์หญิงใหญ่ย่อมไม่ปล่อยให้ท่านมาอย่างแน่นอน เด็กในท้องท่านเริ่มโตขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว ท่านไม่อาจรั้งอยู่ข้างนอกนานเกินไปได้ มิเช่นนั้น หากสหายคนดีของกระหม่อมกลับมา กระหม่อมจะอธิบายให้เขาฟังอย่างไร?”