บทที่ 863 อย่าให้เขาวอกแวกเลย
บทที่ 863 อย่าให้เขาวอกแวกเลย
หลังจากที่กลับมาวังหลวง หมอหลวงก็ตรวจชีพจรของลู่จื่ออวิ๋น
“พระวรกายของฮองเฮาแข็งแรงดี รัชทายาทของฝ่าบาทในท้องพระนางก็แข็งแรงเช่นกัน”
ซ่างกวนหมิงเสียเอ่ยถาม “ต้องมีของบำรุงอะไรอีกหรือไม่? ฮองเฮาอยู่ข้างนอกนานแล้ว ไม่ได้พักผ่อนและเสวยเต็มที่เท่าใดนัก ดูใบหน้าของนางซี ผอมลงยิ่งกว่าเดิมเสียอีก ท่านเป็นถึงหมอที่เชี่ยวชาญเรื่องทางนี้ของสำนักหมอหลวง พระวรกายของฮองเฮาฝากฝังไว้กับท่านแล้ว หากทำให้ฮองเฮาประสูติสายพระโลหิตของฝ่าบาทออกมาอย่างปลอดภัย ข้าจะตกรางวัลท่านอย่างงาม แต่หากเกิดอะไรขึ้นกับฮองเฮาและองค์ชายของฝ่าบาท ท่านทานไม่หมดก็ต้องห่อกลับบ้าน”
หมอหลวงฟังคำพูดซ่างกวนหมิงเสียแล้วกลับไม่ได้หวาดกลัวแม้แต่น้อย ซ่างกวนหมิงเสียมีชื่อเสียงดีงาม ก่อนที่จะออกเรือน หมอหลวงได้พูดคุยกับนางบ่อยครั้งจึงรู้ว่านางไม่ใช่คนไร้กฎเกณฑ์เอาแต่ใจ
“องค์หญิงก็เป็นมารดาเช่นกันจึงนึกถึงตอนที่ท่านทรงพระครรภ์แล้วรู้สึกอึดอัดเป็นพิเศษใช่หรือไม่ พระนางฮองเฮาพลานามัยแข็งแรง รัชทายาทของฝ่าบาทในท้องจะต้องไม่เป็นอะไรอย่างแน่นอน เห็นได้ชัดว่าฮองเฮาทรงดูแลพระวรกายตนเองอย่างดี ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ฮองเฮาเพียงแค่ต้องทำเช่นนี้ต่อไป ไม่จำเป็นต้องเสวยของบำรุง เช่นนี้จะได้ไม่บำรุงจนเด็กในท้องโตเกินไป มิเช่นนั้นจะทำให้เจ็บปวดระหว่างคลอดบุตรได้”
“เสด็จแม่ ท่านอย่าได้กังวลมากเกินไปเลยนะเพคะ” ลู่จื่ออวิ๋นคว้ามือนางมากุม “ข้ารู้ว่าท่านเป็นห่วงข้า แต่ท่านก็ได้ยินแล้ว ถึงแม้สองสามเดือนมานี้ข้าจะอยู่ข้างนอก แต่ก็ไม่ได้รับความไม่เป็นธรรมอะไร”
“ตอนที่เจ้าอยู่ในสกุลลู่ เจ้าเป็นแก้วตาดวงใจของทั้งครอบครัว บัดนี้เจ้าแต่งงานกับเฉิงจิ่นแล้ว เจ้าไม่เพียงแต่ต้องดูแลงานราชกิจให้เขา แต่ยังต้องปลอบประโลมราษฎรด้วยตนเอง หากพ่อแม่และพี่ชายเจ้ารู้เข้า จะไม่ต่อว่าครอบครัวเราตายหรือ?” ซ่างกวนหมิงเสียยกมือลูบผมลูกสะใภ้ด้วยความรัก “ลูกสะใภ้ของข้าเป็นความภาคภูมิแห่งสวรรค์ บัดนี้นางกลับไม่ได้รับความเป็นธรรมอยู่ในบ้านเรา ข้าไม่สบายใจเอาเสียเลย!”
“มีมารดาที่ใดกล่าวเกินจริงเช่นนั้นบ้างเพคะ? หากเป็นอย่างที่เสด็จแม่กล่าว เช่นนั้นมารดาหม่อมฉันหลายปีนี้ก็คงไม่ได้มีชีวิตที่ดีอะไรนัก ท่านก็เห็นนางดูแลกิจการมากมาย ทั้งยังต้องดูแลเมืองฮู่เป่ย จากนั้นก็ยังมีเมืองถงหยาง มารดาหม่อมฉันช่วยชีวิตผู้คนมามากมายเพียงนั้น ภาระบนบ่านางไม่ได้น้อยไปกว่าบิดาหม่อมฉัน ชีวิตเช่นนี้ของมารดาไม่ได้ลำบากมากหรอกหรือ?”
ลู่จื่ออวิ๋นกล่าวต่อไปโดยไม่รอคำตอบจากซ่างกวนหมิงเสีย “ทว่าหม่อมฉันไม่คิดว่ามารดาเป็นทุกข์ ท่านแม่ของหม่อมฉันก็ไม่คิด เมื่อเราเห็นคนอับจนหนทาง พวกเรามีเพียงความคิดเดียวในสมอง นั่นคือต้องช่วยเหลือพวกเขา ชีวิตของพวกเขายากลำบากมามาก หม่อมฉันเพียงแค่ต้องยื่นมือออกไปช่วยเหลือ พวกเขาจะได้ผ่านความยากลำบากนี้ไปได้ ครานี้หม่อมฉันอยู่ที่หนานโจว เฝ้ามองพวกเขาปีนกลับมาจากความตาย เฝ้ามองพวกเขาเริ่มจากความสิ้นหวังกระทั่งออกมาจากความสิ้นหวัง ลุกขึ้นเผชิญหน้ากับอนาคต หม่อมฉันราวกับรู้แล้วว่าหลายปีมานี้เหตุใดมารดาจึงยืนหยัด หากมารดาหม่อมฉันเพียงค้าขาย เงินที่นางหาได้คงพอให้ชนรุ่นหลังดื่มด่ำกับความรุ่งโรจน์มั่งคั่งแล้ว เพียงแต่นางไม่ได้ทำเช่นนั้น”
“เจ้าเหมือนกับมารดาเจ้ายิ่งนัก” ซ่างกวนหมิงเสียเอ่ย “เจ้าเด็กเฉิงจิ่นคนนั้นได้แต่งงานกับเจ้า นับว่าเป็นวาสนาไปแปดชั่วอายุคนแล้ว”
“ดูเจ้ากล่าวเข้าสิ” อู่อันอ๋องที่อยู่ด้านข้างเอ่ยขึ้น “เฉิงจิ่นของเราก็ไม่เลวเช่นกัน!”
“เขาไม่เลวหรือ? เขาไม่เลวแต่กลับโยนภาระหนักอึ้งนี้ให้ภรรยา ส่วนตนเองวิ่งหนีไปออกรบแล้ว ออกรบครั้งหนึ่งยังกินเวลานานถึงเพียงนี้ ไม่รู้ว่าเป็นอย่างไรบ้าง” ซ่างกวนหมิงเสียฉวยโอกาสนี้หันไปตอบโต้กับอู่อันอ๋อง
อันที่จริงนางรู้ว่าการออกรบครั้งนี้เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ทว่าเมื่อเห็นลูกสะใภ้ของตนต้องแบกท้องหนักอึ้งเพื่อว่าราชกิจ นางก็รู้สึกทุกข์ใจ ไม่อาจทนได้อีก!
“มีรายงานทางการทหารเร่งด่วนแปดร้อยลี้กลับมาจากชายแดนพ่ะย่ะค่ะ”
“ให้เขาเข้ามา”
ประตูเปิดออก ทหารที่เนื้อตัวเต็มไปด้วยฝุ่นผู้หนึ่งคุกเข่าลงตรงหน้า
“ติงเซียง เตรียมอาหารและน้ำอุ่นให้ทหารท่านนี้ ให้เขาได้พักผ่อนอย่างเต็มที่” ลู่จื่ออวิ๋นกล่าว
“ขอบพระทัยฮองเฮา”
รายงานทางการทหารถูกทิ้งไว้ ส่วนนายทหารถอยออกไปพักผ่อนแล้ว
ไป๋จื่อหยิบรายงานทางการทหารมาตรวจดู ก่อนมอบให้ซ่างกวนหมิงเสียอ่าน
“สาวใช้ผู้นี้เฉลียวฉลาดยิ่ง” ซ่างกวนหมิงเสียเอ่ยชม “ภายหน้าระมัดระวังต่อไปเช่นนี้เล่า”
“เพคะ”
ซ่างกวนหมิงเสียอ่านรายงานทางการทหารแล้วอดไม่ได้ที่จะดีใจ “นี่เป็นข่าวดี พวกเราร่วมมือกับอาณาจักรฮุ่ยบุกโจมตีอาณาจักรเหลียง อาณาจักรเหลียงร่นถอยไปอย่างต่อเนื่อง เช่นนี้ อาณาจักรเหลียงจึงขอเจรจาสงบศึก”
“สงบศึก?” อู่อันอ๋องประหลาดใจ “ผู้ที่โจมตีคือพวกเขา ผู้ที่ต้องการสงบศึกก็เป็นพวกเขา ใต้หล้าจะมีเรื่องดี ๆ เช่นนี้ได้อย่างไร ถึงแม้อาณาจักรของเราจะไม่ได้ร่ำรวย ทว่าอาณาจักรฮุ่ยอุดมสมบูรณ์มีทุกอย่าง คงไม่รับปากเจรจาสงบศึกกับอีกฝ่ายแน่”
“ฟ่านเหยี่ยนเปรียบเสมือนตะปูตัวหนึ่งของอาณาจักรฮุ่ย เขาอาจกลับคำเมื่อใดก็ได้ ดังนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้ที่ท่านพ่อบุญธรรมจะยอมรับการเจรจาสงบศึกกับเขา สงครามนี้จะยังดำเนินต่อไป” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ย
“ข้าก็คิดเช่นนั้น” อู่อันอ๋องกล่าว “สงครามนี้จะต้องดำเนินต่อไปอย่างแน่นอน เฉิงจิ่นของพวกเราไม่รู้ว่าจะได้กลับมาเมื่อใด หากกลับมาก่อนลูกเกิดได้คงดีไม่น้อย”
“ความสามารถในการบัญชาการของฟ่านเหยี่ยนไม่อาจมองข้าม ท่านพ่อบุญธรรมและเฉิงจิ่นคิดจะกลืนกินทั้งอาณาจักรเหลียงคงไม่ง่ายดาย ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีแคว้นเล็ก ๆ อีกหลายแห่งอยู่ข้างเคียง หากแคว้นเล็ก ๆ เหล่านั้นรวมตัวกันย่อมลำบากแล้ว”
“อวิ๋นเอ๋อร์ ไม่เช่นนั้นเจ้าเขียนจดหมายให้เฉิงจิ่น แจ้งข่าวดีเรื่องการตั้งครรภ์ของเจ้าให้เขาฟังดีหรือไม่ เช่นนี้เขาจะได้มีเรื่องให้ตั้งตารอ” ซ่างกวนหมิงเสียแนะนำ
“ไม่ได้เพคะ เช่นนี้จะทำให้เขาวอกแวก” ลู่จื่ออวิ๋นปฏิเสธ “เสด็จแม่ พวกเราเพียงแค่บอกเขาว่าทุกอย่างที่นี่เรียบร้อยดี ให้เขาได้นำทัพอย่างเต็มที่ ไม่ปล่อยให้เขาต้องมีเรื่องรบกวนจิตใจก็พอแล้ว”
หลังจากลู่จื่ออวิ๋นกลับเข้าวังหลวง แม้ซ่างกวนหมิงเสียจะไม่ได้กล่าวอะไรเรื่องหาของมาบำรุงนาง ทว่าก็ยังคงอยู่ข้าง ๆ คอยดูแลนางอย่างดี อีกทั้งยังจัดเตรียมอาหารให้ตามที่หมอหลวงกล่าว เรื่องต่าง ๆ ในราชสำนักยังมีแม่และพ่อสามีคอยจัดการ นางเพียงแค่ต้องชมบุปผาและหมู่ไม้ อ่านฎีกาเรื่องสำคัญเป็นครั้งคราวแก้เบื่อหน่าย หากพวกเขาตัดสินใจอะไรไม่ได้ก็ร่วมปรึกษาหารือ ในยามอื่นก็เป็นเพียงแค่มารดาที่ตั้งครรภ์ผู้หนึ่ง
“ฎีกานี้ใต้เท้าเซี่ยเป็นผู้เขียน” ซ่างกวนหมิงเสียเอ่ย “ความหมายของใต้เท้าเซี่ยคือถึงแม้ซื่อจื่ออันกั๋วกงจะทำภารกิจครั้งนี้ไม่สำเร็จ ทว่าเขาก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสเนื่องจากภารกิจ อีกทั้งยังใช้เวลาพักฟื้นนานยิ่งจึงเสนอให้เลื่อนตำแหน่งให้ดีขึ้นเพื่อปลอบประโลมจิตใจเขา”
“ใต้เท้าเซี่ยต้องการให้ซื่อจื่ออันกั๋วกงรับตำแหน่งใดหรือเพคะ?”
“รองเสนาบดีกรมพระคลัง”
“กรมพระคลัง?” ลู่จื่ออวิ๋นประหลาดใจ “กรมนี้สำคัญเป็นอย่างยิ่งนะเพคะ”
“นั่นน่ะสิ! เขาเพิ่งทำทรัพย์สินจำนวนมากสูญหายไป ไม่เหมาะที่จะปล่อยให้เขาดูแลกรมพระคลังในยามนี้เป็นอย่างยิ่ง” ซ่างกวนหมิงเสียเอ่ย “ในความคิดของข้า ซื่อจื่ออันกั๋วกงแต่งงงานกับองค์หญิงถัวน่า เขาเพียงแค่ต้องการปลอบใจสตรีนางนั้น นั่นก็นับว่าช่วยเราไว้ได้มากแล้ว ระหว่างที่เจ้าไม่อยู่ องค์หญิงถัวน่าผู้นั้นมีความสามารถในการสร้างปัญหาจริง ๆ สตรีสูงศักดิ์เกือบทั้งเมืองหลวงล้วนขุ่นเคืองใจนาง”
“อันที่จริงแล้วก็ไม่ใช่ว่าไม่ได้” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ย “ใต้เท้าเซี่ยทำเช่นนี้คงมีเหตุผลของตนเอง เพียงแค่เชิญเขามาทานอาหารอย่างเรียบง่ายสักมื้อ ขณะเดียวกันก็พูดคุยเรื่องนี้เถิดเพคะ”
เซี่ยชิงโจวถูกเรียกตัวเข้าวัง
ทันทีที่เขาเข้าวังมาก็เห็นหมิงจือเหยียนเดินถือล่วมยาผ่านไป เขาจึงรีบไปซ่อนตัวหลังต้นไม้ รอให้แน่ใจว่าไม่มีเสียงฝีเท้าแล้วจึงย่องออกไป
ทันทีที่เขาออกไป หมิงจือเหยียนผู้ที่ในมือถือล่วมยายืนอยู่ฝั่งตรงข้ามก็มองกันด้วยสายตาขุ่นเคือง
——————————————