สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย – บทที่ 867 ข้าไม่อาจรับปากเจ้า

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

บทที่ 867 ข้าไม่อาจรับปากเจ้า

บทที่ 867 ข้าไม่อาจรับปากเจ้า

มู่ซืออวี่ส่ายหน้าเล็กน้อย “ขออภัย ข้าไม่อาจรับปากเจ้าได้”

“เพราะเหตุใดเจ้าคะ?” ดวงตาของหลี่เยียนหรานค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีแดงเรื่อ “ข้าชอบพระชายา ชื่นชมพระชายา เคารพนับถือพระชายามากจริง ๆ นะเจ้าคะ”

“ขอบใจที่เจ้าชอบ เพียงแต่เท่าที่ข้าทราบ เจ้าเป็นคุณหนูสกุลหลี่ ในฐานะสตรีสกุลใหญ่ บิดามารดาเจ้าคงเตรียมการอื่นให้เจ้าแล้ว แทนที่จะให้ติดตามข้าซึ่งเป็นผู้ทำการค้า สตรีที่ต้องปรากฏตัวต่อหน้าธารกำนัลคนหนึ่ง”

“ขอเพียงพระชายาเต็มใจยอมรับข้าไว้ ท่านพ่อท่านแม่ข้าจะต้องยินดีอย่างแน่นอน” หลี่เยียนหรานมองมู่ซืออวี่อย่างอ้อนวอน

ลู่จื่อชิงไม่อาจทนฟังได้อีกต่อไป

หลี่เยียนหรานผู้นี้ป่วยแล้วกระมัง?

หลายปีมานี้ อีกฝ่ายเห็นนางแล้วขัดหูขัดตามาโดยตลอด ขอเพียงเป็นสิ่งที่นางชอบ หลี่เยียนหรานก็แทบรอไม่ไหวที่จะแย่งมันไป บัดนี้แม้กระทั่งมารดาก็อยากจะแย่งไปด้วยแล้ว

“แม่ข้าไม่มีทางรับปากเจ้า” ลู่จื่อชิงเดินออกมา “ถึงแม้แม่ข้าเห็นด้วย ข้าก็ไม่มีวันเห็นด้วย เจ้าคิดอะไรอยู่กันแน่? ท่านอาจารย์ชมข้า เจ้าก็จงใจดึงผมของข้า ทำให้ข้าโมโหในชั้นเรียน จากนั้นเจ้าก็มองข้าด้วยสีหน้าไร้เดียงสา อาจารย์รู้สึกว่าเป็นข้าที่สร้างปัญหา ในสายตาของผู้อาวุโส เจ้าถูก ข้าผิด บัดนี้ยังคิดจะปั้นหน้าเสแสร้งต่อหน้าแม่ข้าอีกรึ!”

“ข้าเพียงแค่อยากเป็นศิษย์พระชายา ไม่มีความหมายอื่นใด” หลี่เยียนหรานเอ่ยด้วยท่าทีกระวนกระวาย

“ท่านแม่ข้าไม่ต้องการศิษย์ที่เต็มไปด้วยเจตนาซ่อนเร้นอย่างเจ้า” ลู่จื่อชิงแค่นเสียงกล่าวอย่างเย็นชา

“เอาละ ชิงเอ๋อร์ ไม่อาจเสียมารยาทเป็นอันขาด” สิ้นคำ มู่ซืออวี่ก็หันไปเอ่ยกับหลี่เยียนหราน “วันเดินทางกลับของพวกเราในครั้งนี้ยังไม่ได้กำหนดแน่ชัด ดังนั้นจึงไม่สะดวกพาเจ้าไปด้วยจริง ๆ นอกจากนี้ ข้าเองก็ไม่คิดว่าข้าจะสอนอะไรเจ้าได้”

กล่าวเช่นนั้นจบ มู่ซืออวี่ก็บีบจมูกลู่จื่อชิงเบา ๆ แล้วเอ่ยด้วยความโกรธ “ข้าบอกรองเจ้าสำนักแล้ว รอเจ้ากลับมาแล้วค่อยเรียนต่อ แน่นอนว่าจากไปนานเพียงนี้ เจ้าจะเกียจคร้านไม่ได้ ข้าจึงจ้างอาจารย์ไปด้วยกัน ระหว่างทางเจ้าก็ขยันหมั่นเพียรเรียนให้ดี ไม่เช่นนั้นตอนเจ้ากลับมา สหายร่วมชั้นเรียนของเจ้าอาจอยู่ในชั้นเทียนจือแล้ว แต่เจ้ากลับยังอยู่ในชั้นปิ่งจื้อ นั่นจะไม่น่าอายมากหรือ? ท่านพ่อเจ้าและข้าไม่อาจทนรับความอับอายนี้ได้”

“โธ่ ระหว่างทางข้ายังต้องเรียนอีกหรือ!” ลู่จื่อชิงคร่ำครวญ

หลี่เยียนหรานเฝ้ามองมู่ซืออวี่จูงลู่จื่อชิงจากไป

“หลี่เยียนหราน ของที่ไม่ใช่ของตนเองย่อมไม่ใช่ของตนเอง” ซ่งหานจือเดินออกมาจากข้างหลัง “เจ้าไม่ชอบเสี่ยวชิงเอ๋อร์มาตลอด อันที่จริงเป็นเพราะอิจฉานางมากกระมัง! ไม่เพียงแต่อิจฉานางที่มีภูมิหลังครอบครัวที่ดี แต่ยังอิจฉาที่พ่อแม่ผู้มีสถานะสูงศักดิ์รักใคร่ห่วงใยไม่ละเลยลู่จื่อชิง ต่างจากครอบครัวเจ้าที่เป็นสกุลขุนนางเช่นกัน แต่มองไปที่ใดล้วนเย็นชา ทว่ามีบางอย่างที่ไม่ใช่ว่าอิจฉาแล้วจะได้มา เจ้าต่อสู้เพื่อตนเองได้ ทว่าอย่าได้เหยียบไหล่หรือแม้กระทั่งหัวผู้อื่นเพื่อปีนป่ายขึ้นไป มิเช่นนั้นคงทำให้คนรำคาญยิ่งนัก”

“เช่นนั้นพวกเจ้าเล่า? พวกเจ้าตามใจนาง ประจบนาง ไม่ใช่เพราะอ๋องลู่และพระชายาหรือ?”

“แน่นอนว่าไม่ใช่ พวกเรารักนาง ตามใจนาง ประจบนาง เพราะนางคือลู่จื่อชิง” ซ่งหานจือเอ่ย “ลู่จื่อชิงปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความจริงใจ แน่นอนว่าผู้อื่นย่อมตอบแทนด้วยความจริงใจ เจ้าเล่า? เจ้ามีสิทธิ์อะไรไปทะเลาะกับนาง?”

พระชายาผู้สำเร็จราชการแทนกำลังจะไปยังอาณาจักรเฟิ่งหลิน เมื่อเหล่าฮูหยินแต่ละจวนได้ยินเรื่องนี้ ต่างส่งคำเชิญมาให้ โดยหวังว่าจะได้พบปะกันก่อนที่นางจะออกเดินทาง

มู่ซืออวี่ยุ่งเป็นอย่างยิ่งจึงผลักไสทุกสิ่งที่นางสามารถผลักไสได้ ทว่ามีบางสกุลที่นางมีความสัมพันธ์อันดีด้วย อย่างเช่นสกุลเจี่ย สกุลโม่ และสกุลเจียง

แน่นอนว่าหลายสกุลล้วนส่งของขวัญมาเพื่อให้นางนำไปให้เสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์

มู่ซืออวี่ไม่ได้ปฏิเสธ เพียงแต่ส่งของขวัญกลับคืนเป็นการตอบแทนเท่านั้น นับว่ามีมารยาทต่อทุกคนแล้ว หากมีคนนำเรื่องนี้มาโวยวายสร้างปัญหาก็มีเหตุผลที่พอยอมรับได้ หลีกเลี่ยงการสร้างความเดือดร้อนให้ตนเองโดยไม่จำเป็น

หลายวันต่อมา ท่ามกลางสายตาที่ไม่ยินยอมพร้อมใจของลู่อี้ มู่ซืออวี่และลูกทั้งสองคนก็ขึ้นรถม้าไป

“ฉาวอวี่ เจ้าเด็กคนนั้น นึกไม่ถึงว่าจะไม่มาส่งพวกข้า” มู่ซืออวี่เอ่ย “ในราชสำนักมีเรื่องมากมายรีบร้อนเพียงนั้นเชียวหรือ? เพียงแค่ส่งพวกเราออกจากเมือง เวลาน้อยนิดเพียงเท่านี้จะไม่มีเลยรึ?”

กุบกับ! กุบกับ! กุบกับ!

มีคนควบม้าบึ่งมา

ลู่ฉาวอวี่ควบม้าเข้ามา เมื่อเห็นพวกมู่ซืออวี่ยังไม่จากไปก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก

“ท่านแม่ รอประเดี๋ยว”

“ข้าคิดว่าเจ้าใจไม้ไส้ระกำ แม้กระทั่งมารดาและน้อง ๆ ของเจ้ายังไม่มาส่ง” มู่ซืออวี่เอ่ย “แค่เจ้ามาก็พอแล้ว ยังต้องรออะไรอีก?”

มีเสียงเกือกม้าดังขึ้นอีกครั้ง

ทันใดนั้น คนของลู่ฉาวอวี่ก็มาถึงพร้อมกับชายวัยกลางคนผู้หนึ่ง

“นี่คือพ่อครัวใหญ่ของร้านเป็ดย่างหลินจี้ น้องหญิงรองชอบกินเป็ดย่างที่เขาทำ เป็ดย่างที่ผู้อื่นทำล้วนรสชาติไม่ถูกปาก ท่านพาเขาไปทำของอร่อย ๆ ให้น้องหญิงด้วยเถิด”

“แต่การเดินทางครั้งนี้ต้องใช้เวลานาน เขาไม่ต้องปรึกษากับคนในครอบครัวหรือ?” มู่ซืออวี่เอ่ยถาม “ฉาวอวี่ เจ้าไม่อาจใช้อำนาจบีบบังคับผู้อื่นได้”

“พระชายาเข้าใจผิดแล้ว” พ่อครัวหลินกล่าว “ข้าทำให้ขุนนางในเมืองหลวงขุ่นเคือง เป็นใต้เท้าลู่น้อยที่ช่วยข้าเอาไว้ มิเช่นนั้นข้าคงตายไปนานแล้ว ข้าไร้ครอบครัว ดังนั้นข้าจะทำเป็ดย่างที่ใดล้วนเหมือนกัน อีกทั้งใต้เท้าลู่น้อยยังให้เงินจำนวนมากแก่ข้า ข้าย่อมยินยอมพร้อมใจไปยังอาณาจักรเฟิ่งหลิน”

“เช่นนั้นก็ดี”

ลู่ฉาวอวี่และลู่อี้เฝ้ามองแม่ลูกจากไปพร้อมกัน

ลู่ฉาวอวี่หันไปมองลู่อี้ผู้โดดเดี่ยวแล้วกล่าวว่า “ท่านพ่อ จากกันครานี้กว่าจะได้พบหน้าอีกครั้งต้องใช้เวลานาน ท่านตัดใจแยกจากได้หรือ?”

“ตัดใจไม่ได้แล้วอย่างไร? มารดาเจ้าคือนกตัวนั้น ข้าไม่อาจหักปีกนาง มิเช่นนั้นก็ไม่ใช่มารดาของเจ้าแล้ว”

“นอกจากนี้ แม่ของเจ้ายังมีคุณความดีต่อผู้อื่น หากข้าเก็บนางไว้ข้างกายผู้เดียว นั่นย่อมไม่เป็นประโยชน์ต่อคนจำนวนมาก” ลู่อี้กล่าว “ข้าคิดดีแล้ว หากราชสำนักมั่นคง ความปลอดภัยของใต้หล้าก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพวกเจ้าคนหนุ่มสาว ข้าจะพาแม่ของเจ้าติดปีกขึ้นสวรรค์ ลี้กายไปใช้ชีวิตที่สงบสุขของพวกเรา”

ภายในรถม้า ลู่จื่อชิงทำหน้าบูดบึ้งด้วยความไม่พอใจ

“เป็นอะไรไป?” มู่ซืออวี่บีบปากยับยู่เหมือนหมูของนาง

ลู่ฉาวจิ่งที่อยู่ข้าง ๆ เอ่ยขึ้น “ข้ารู้”

“เช่นนั้นเจ้าว่ามาพี่หญิงเจ้าเป็นอะไรไป?”

“พี่หานจือไม่ได้มาส่งนาง นางจึงไม่พอใจ” ลู่ฉาวจิ่งกล่าว

“ผู้อื่นก็ไม่ได้มาส่งนางนี่”

“นั่นไม่เหมือนกันขอรับ” ลู่ฉาวจิ่งเอ่ย “พี่หานจือเป็นน้องชายต่างพ่อต่างแม่ของนาง อีกทั้งเขายังอาศัยอยู่ประตูฝั่งตรงข้าม ใกล้เสียขนาดนั้น พี่หญิงต้องจากไปนานเพียงนี้ พี่หานจือกลับไม่แม้กระทั่งมาส่ง แน่นอนว่านางย่อมไม่พอใจแล้ว”

“พี่น้องต่างบิดามารดาหรือ?” มู่ซืออวี่หัวเราะร่าออกมา “พี่หญิงรองของเจ้าคิดขึ้นมาเองกระมัง?”

ลู่ฉาวจิ่งยักไหล่ สีหน้าอับจนปัญญา “ก่อนหน้านี้เคยมีคนรังแกพี่หานจือ พี่หญิงล้วนกล่าวเช่นนี้ตลอดขอรับ”

เขากระแอมสองครั้งและเอ่ยด้วยน้ำเสียงเลียนแบบบลู่จื่อชิง “ซ่งหานจือเป็นคนของข้า รังแกเขาเท่ากับรังแกข้า ข้าอยากจะรู้นักว่าผู้ใดจะกล้ารังแกข้าลู่รอง หากทำให้ข้าโกรธ ข้าจะเผาบ้านของพวกเจ้าให้วอด พวกเจ้าเชื่อหรือไม่ ถึงแม้ข้าจะเผาบ้านพวกเจ้า ตาเฒ่าบ้านพวกเจ้าก็ยังต้องมาร้องขอความเมตตาถึงหน้าประตูบ้านข้า พวกเขาไม่กล้าหาเรื่องมารดาข้าแน่นอน!”

มู่ซืออวี่ “…”

นี่เป็นแก๊งอันธพาลหรือ?

ไม่สิ อันธพาลในท้องที่ยังไม่มีความมั่นใจเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าเป็นความมั่นใจของลูกผู้ลากมากดีอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวง

ก่อนหน้านี้มู่ซืออวี่เคยทุบตีผู้มั่งมีรุ่นสองไปไม่น้อย นึกไม่ถึงว่าหัวหอกของผู้มั่งมีรุ่นสองจะเป็นบุตรสาวบ้านนาง นี่ทำให้นางปวดหัวขึ้นมาแล้วจริง ๆ

——————————————

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

Status: Ongoing
ใครกล้าทำร้ายวายร้ายตัวน้อยทั้งสอง ภรรยาตัวร้ายอย่างข้าไม่ปล่อยไว้แน่

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท