บทที่ 868 เจ้ามาได้อย่างไร
บทที่ 868 เจ้ามาได้อย่างไร
หลายวันต่อมา มู่ซืออวี่พาทุกคนไปยังเมืองซานหลิน
ข้าวของนั้นมากมายเสียจนต้องใช้เวลาสองวันเพื่อขนย้ายและบรรจุ
มู่ซืออวี่ไม่ได้รีบร้อน นางตรวจสอบกิจการในเมืองซานหลินและแก้ไขปัญหากิจการเรือสินค้าไปพลาง ๆ จากนั้นจึงพาลูก ๆ และผู้ใต้บังคับบัญชาขึ้นเรือไป เริ่มต้นการเดินทางสองเดือนบนท้องทะเล
เรือแล่นออกไปแล้ว
ลู่จื่อชิงยืนอยู่บนหัวเรือ มองดูเรือแล่นห่างออกมาจากฝั่งไกลขึ้นเรื่อย ๆ รู้สึกตื่นตาตื่นใจเป็นอย่างยิ่ง
“เสี่ยวชิงเอ๋อร์ นี่เป็นอาจารย์คนใหม่ของเจ้า” มู่ซืออวี่เดินมาพร้อมกับชายชราผู้หนึ่ง
ชายชราสวมเสื้อผ้าเรียบง่าย ใบหน้าประดับรอยยิ้มอ่อนโยน แตกต่างจากอาจารย์ผู้เข้มงวดที่เคยเห็นมาก่อนหน้านี้เล็กน้อย
สิ่งที่แตกต่างมากที่สุดคือเขามีไหสุราห้อยอยู่ที่เอว นี่ไม่สอดคล้องกับสถานะอาจารย์สักนิด อย่างไรเสียอาจารย์ก็คือผู้สั่งสอนอบรม อยู่ต่อหน้าลูกศิษย์ก็ควรพยายามรักษาภาพลักษณ์ที่เข้มงวด คุณหนูรองลู่ไม่เคยพบเห็นอาจารย์ที่แบกไหสุราต่อหน้าลูกศิษย์มาก่อน
“ท่านแม่ ท่านถูกหลอกแล้วหรือไม่?” ลู่จื่อชิงดึงมู่ซืออวี่ไปที่มุมข้าง ๆ “คนผู้นั้นดูไม่เหมือนอาจารย์เลยสักนิด เหมือนคนขี้เมาเสียมากกว่า”
“อย่าได้หยาบคาย” มู่ซืออวี่ตำหนิ “ถึงแม้เจ้าไม่ยินดีติดตามเล่าเรียนกับเขาก็ไม่อาจใส่ร้ายคนแปลกหน้าเป็นอันขาด จำไว้ว่าเราไม่อาจตัดสินคนจากรูปลักษณ์ภายนอกของพวกเขาได้ คนในใต้หล้ามากน้อยเพียงใดต้องทนทุกข์จากการถูกตัดสินด้วยรูปลักษณ์ภายนอก ยามเจ้ามองคนผู้หนึ่ง ไม่อาจมองเขาจากรูปลักษณ์ได้ แต่จะต้องสังเกตทุกคำพูดและการกระทำของเขา”
“เมื่อครู่นี้ลูกผิดไปแล้วจริง ๆ” ลู่จื่อชิงยอมรับความผิดพลาดของตน “ท่านแม่ฉลาดเพียงนี้ ย่อมไม่ถูกหลอกง่ายดาย เพื่อลูกแล้วท่านแม่จะต้องคัดเลือกอาจารย์มาให้อย่างถี่ถ้วนแน่นอน”
“นับว่าเจ้ามีจิตสำนึก รู้ว่าแม่พยายามเพื่อเจ้าเพียงใด” มู่ซืออวี่เอ่ย “เช่นนั้นเจ้าและอาจารย์ก็ทำความรู้จักกันก่อน อาจารย์จะจัดแผนการเรียนให้เจ้าเอง หากเจ้ามีความลำบากอะไรก็มาหาแม่”
คล้อยหลังมู่ซืออวี่ ลู่จื่อชิงก็หันไปหาอาจารย์ผู้แปลกประหลาด
“ท่านสอนอะไรข้าได้บ้าง?”
“นั่นต้องดูว่าเจ้าอยากเรียนอะไร”
“ข้าไม่ชอบตัวอักษร ชอบเพียงวรยุทธ์ แต่ท่านแม่ข้าบอกว่า มีความกล้าแต่ไร้แบบแผนคือคนโง่ มีความกล้าแต่มีแบบแผนคือวีรบุรุษที่แท้จริง ข้าไม่ได้อยากเป็นคนโง่ ทว่าในสายตาข้า คำพวกนั้นราวกับมนตร์สะกด น่าเบื่อจริง ๆ หากท่านทำให้ข้าเขียนตำราได้อย่างมีความสุข ข้าจะติดตามเรียนรู้จากท่าน”
“แน่นอน”
“คุณหนูรองเก่งกาจวรยุทธ์หรือไม่?”
“ท่านอาฉีสอนวิชากระบี่ข้า รู้จักท่านอาฉีหรือไม่? วรยุทธ์ของท่านอาฉีถูกจัดอันดับให้อยู่ในชั้นยอดของยุทธภพ!”
“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ข้าน้อยจะต่อสู้กับคุณหนูรองสักสองสามกระบวนท่า หากคุณหนูรองกำราบข้าได้ภายในสามกระบวนท่า ภายหน้าเจ้าอยากเรียนรู้เช่นใดก็เรียนรู้เช่นนั้น ข้าจะโน้มน้าวพระชายาให้”
“ท่านเก่งวรยุทธ์หรือ?”
“เหตุใดเจ้าไม่ลองดูเล่า?”
ลู่จื่อชิงเริ่มสนใจขึ้นมาแล้ว
นางตั้งท่าจะจู่โจม
ชายชราเปิดไหสุรา แล้วกระดกสุราลงไปหนึ่งอึก
“ข้าจะโจมตีท่านแล้ว” ลู่จื่อชิงเอ่ยแล้วกระโดดเข้าหา
ร่างกายของชายชราราวกับไร้กระดูก เขาหลบเลี่ยงการโจมตีของนางได้
“ไม่ได้กินข้าวมาหรือ? ลองอีกรอบ!” ชายชรากล่าวยั่วยุ
เดิมทีลู่จื่อชิงยังออมมือไว้บ้าง ทว่าเมื่อรู้ว่าชายชรามีความสามารถ ความสนใจของนางยิ่งพุ่งพรวด
อย่างไรก็ตาม นางไม่อาจแม้กระทั่งแตะเสื้อผ้าของอีกฝ่ายได้
“นึกไม่ถึงว่าท่านจะเป็นยอดฝีมือ” ลู่จื่อชิงเอ่ยด้วยความตื่นเต้น “เช่นนั้นท่านช่วยสอนวรยุทธ์ให้ข้าได้หรือไม่?”
“ได้น่ะได้ เพียงแต่ข้าจะสอนวรยุทธ์ให้เจ้าก็ต่อเมื่อเจ้าทำการบ้านที่ข้ามอบหมายได้สำเร็จเท่านั้น” ชายชรากระดกสุราอีกครั้ง “ทั้งยังต้องบ่มสุราให้ข้าด้วย”
“ท่านอยากให้ข้าบ่มสุราด้วยตนเองหรือ?”
“มีปัญหารึ?”
ในมุมหนึ่ง เจ๋อหลานเอ่ยว่า “ฮูหยิน คนผู้นี้ช่างเย่อหยิ่งจริง ๆ นะเจ้าคะ ถึงขั้นขอให้คุณหนูรองบ่มสุราให้ ฮูหยินไม่ห้ามหรือเจ้าคะ?”
ขณะอยู่ด้านนอก เพื่อไม่ให้ผู้อื่นสงสัย มู่ซืออวี่จึงสั่งให้คนของนางเรียกนางว่าฮูหยินต่อไปราวกับว่านางยังไม่ได้เป็นพระชายาของผู้สำเร็จราชการแทน
“เหตุใดต้องห้ามเล่า?” มู่ซืออวี่กล่าว “เคารพอาจารย์และหลักศีลธรรมเป็นขนบธรรมเนียมของเรา ข้าไม่คิดว่าคำร้องขอของสุภาพบุรุษผู้นี้มากเกินไป”
“คนผู้นี้มาจากที่ใดหรือเจ้าคะ?”
“สกุลหวังแนะนำมา”
“สกุลหวัง…”
เจ๋อหลานเข้าใจแล้ว
มิน่าเล่า เหตุใดมู่ซืออวี่จึงเชื่อในความสามารถของอีกฝ่ายเพียงนี้ อย่างไรเสียอีกฝ่ายก็เป็นผู้ที่สกุลหวังแนะนำ อย่างน้อยก็ไม่ต้องสงสัยว่าเขาเชื่อถือได้หรือไม่ ส่วนความสามารถ ดูจากสถานการณ์ตอนนี้แล้ว เขามีพรสวรรค์ด้านวรยุทธ์อยู่บ้าง เพียงแต่ไม่รู้ว่าพรสวรรค์ในการสอนหนังสือจะเป็นอย่างไร
“ฮูหยิน ท่านดูเถิด” ซางจือดึงคนผู้หนึ่งออกมา
เมื่อมู่ซืออวี่เห็นคนผู้นี้ แววตาของนางก็เต็มไปด้วยความประหลาดใจ “หานจือ?”
ซ่งหานจือหน้าแดงยืนทำตัวไม่ถูกอยู่ที่นั่น
“ซ่งหานจือ…” ลู่จื่อชิงได้ยินชื่อซ่งหานจือจึงหันกลับมา นางเห็นซ่งหานจือยืนอยู่ตรงนั้นราวกับเด็กน้อยผู้น่าสงสาร “เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร?”
ซ่งหานจือเอ่ยว่า “ข้าไม่เคยเดินทางไกลเลย”
“เจ้าไม่เคยเดินทางไกลแล้วเกี่ยวอะไรกับการที่เจ้าปรากฏตัวที่นี่?” ลู่จื่อชิงเอ่ย “ข้าไม่เห็นเจ้ามาส่งข้า เจ้าคงไม่ได้อยู่กับคณะของพวกเรามาตลอดกระมัง?”
มู่ซืออวี่ส่งสายตาให้ซางจือที่อยู่ข้าง ๆ นายบ่าวจึงเดินหลบออกไป
ดูจากท่าทีน่าสงสารนั่นแล้ว ถึงยามนี้การตำหนิเขาย่อมไม่ช่วยอะไร มิสู้ให้เด็ก ๆ คุยกันให้ชัดเจนเสียดีกว่า
“ฮูหยิน เด็กจากสกุลซ่งติดหนึบเกินไปแล้วกระมัง! คุณหนูรองยังเล็ก แต่เหตุใดข้าถึงรู้สึกว่าเด็กคนนั้นเริ่มคิดอะไรต่อนางแล้ว?”
“ผู้ที่คิดอะไรต่อชิงเอ๋อร์มีเขาเพียงผู้เดียวหรือ? อย่างน้อยในบรรดาผู้ที่คิดอะไรกับนาง เขามีจิตใจบริสุทธิ์ที่สุด” มู่ซืออวี่กล่าว
“ความหมายของฮูหยินคือ…”
“ข้าไม่ได้หมายถึงอะไรทั้งนั้น” มู่ซืออวี่เริ่มปวดหัวตุบ ๆ “เรือแล่นออกมาไกลแล้ว ไม่อาจวกกลับได้ในตอนนี้ ซ่งหานจือจากมากับพวกเรา เกรงว่าสกุลซ่งจะวุ่นวายแล้วกระมัง อีกทั้งยามนี้เรายังติดต่อใครไม่ได้แล้ว จะส่งจดหมายกลับไปก็ไร้หนทาง”
“พระชายาวางใจเถิดขอรับ” ซ่งหานจือเอ่ยขณะเดินมาพร้อมลู่จื่อชิง “ข้าทิ้งจดหมายไว้ก่อนที่ข้าจะมาแล้ว ท่านพ่อท่านแม่รู้ว่าข้าลอบติดตามคณะของท่านมา รู้ว่าข้าติดตามท่านออกมาหาประสบการณ์”
“พ่อเจ้าหัวโบราณเพียงนั้น เขาจะไม่นึกตำหนิข้าหรือ?”
“ข้าเขียนในจดหมายไว้แล้วว่าท่านและชิงเอ๋อร์ไม่รู้ว่าข้าลอบติดตามมากับคณะของท่าน ถึงแม้ภายหน้ากลับไป ท่านพ่อก็เพียงลงโทษข้า กระนั้นพวกเขาก็ควรยินดีที่ได้เห็นข้าเติบโต ปัญหาเล็กน้อยเหล่านั้นย่อมไม่สนใจอีก” ซ่งหานจือกล่าว “ข้าขออภัย ข้ารู้ว่าการที่ข้าลอบแฝงตัวมาในคณะนั้นไม่ดี ทว่าข้าก็รู้เช่นกันว่าหากความแตกก่อนหน้า ท่านย่อมไม่ยินยอมให้ข้าตามมาด้วย”
“เอาเถอะ เจ้ามาอยู่ที่นี่แล้ว ข้าย่อมไม่โยนเจ้าลงทะเล เจ้าคอยติดตามเสี่ยวชิงเอ๋อร์ จับตาดูไม่ให้นางก่อเรื่องไปทั่วเถอะ ข้าเพิ่งหาอาจารย์คนใหม่ให้นางพอดี นางเรียนลำพังคงเบื่อไม่น้อย เจ้าก็เรียนเป็นเพื่อนนางแล้วกัน เช่นนี้ไม่แน่ว่าอาจกระตุ้นความสนใจในการเรียนของนางได้บ้าง”
“ขอรับ”
ลู่จื่อชิงมีเพื่อนอยู่ด้วยจึงรู้สึกดีขึ้นไม่น้อย
ท่านอาจารย์ผู้นั้นแซ่ซ่ง ความเป็นมาลึกลับ มีความสามารถทั้งบุ๋นบู๊
มู่ซืออวี่จัดเตรียมห้องที่มีแสงสว่างเพียงพอห้องหนึ่งให้เขาใช้เป็นห้องเรียน เริ่มลงมือสอนลู่จื่อชิงและซ่งหานจือทันที