บทที่ 874 ลู่จื่อชิงถูกขนานนามว่าเป็นมารร้าย
บทที่ 874 ลู่จื่อชิงถูกขนานนามว่าเป็นมารร้าย
แน่นอนว่าใน ไม่ช้าข่าวใหญ่ที่ลู่จื่ออวิ๋นให้กำเนิดพระโอรสของฝ่าบาทก็เป็นที่รู้กันทั่วหล้า เมื่อราษฎรรู้ข่าวมงคลนี้ พวกเขาต่างก็ปลาบปลื้มยินดี อย่างไรเสียราชวงศ์ก็มีรัชทายาทแล้ว นั่นหมายความว่าอาณาจักรของพวกเขามีผู้สืบทอด
เพียงแต่ ไม่ช้าก็เกิดข่าวลือที่ไม่เป็นผลดีต่อสกุลลู่แพร่สะพัดในหมู่ชาวบ้าน
“ได้ยินว่าคุณหนูรองลู่ผู้นั้นมาถึงวังหลวงก็ก่อเรื่องราวใหญ่โต นางทุบตีดุด่านางกำนัลสารพัด ไม่เห็นขันทีเหล่านั้นเป็นมนุษย์ ผู้ที่ปรนนิบัตินางต่างก็หวาดผวากันถ้วนหน้า!”
“คุณหนูรองลู่เป็นน้องสาวพระนางฮองเฮา พระนางฮองเฮาเป็นคนอ่อนโยนเพียงนั้น จะมีน้องสาวเช่นนี้ได้อย่างไรกัน? เจ้าพูดจาเหลวไหลกระมัง!”
“น้องสาวของข้าเป็นนางกำนัล ก่อนหน้านี้ไม่นานนางกลับมาเยี่ยมญาติ เรื่องนี้นางเอ่ยปากออกมาเอง จะเป็นเรื่องเหลวไหลไปได้อย่างไร?”
…
ตึก! ตึก! ฉินโม่ถงเคาะลงบนโต๊ะแล้วหันไปมองลู่จื่อชิงที่กำลังเคี้ยวน่องไก่ ส่งสายตาว่าคนทางนั้นกำลังกล่าวอะไร
ลู่จื่อชิงเงยหน้าขึ้นมองพลางเอ่ยด้วยความสงสัย “มีอะไรหรือ? ไก่ร้านนี้อร่อยยิ่ง เจ้าไม่กินรึ?”
ซ่งหานจือยื่นผ้าเช็ดหน้าให้นาง “ค่อย ๆ กิน ไม่มีผู้ใดแย่งเจ้า”
ลู่จื่อชิงใช้ผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นเช็ดลวก ๆ ด้วยท่าทีไม่ยี่หระ
ซ่งหานจือมองผ้าเช็ดหน้าผืนที่สิบที่เสียไป ก่อนจะคว้ามันไปส่งให้เด็กรับใช้ข้าง ๆ
“คนเหล่านั้นพูดเรื่องไร้สาระเรื่อยเปื่อย เจ้าไม่ต้องเก็บมาใส่ใจ” ซ่งหานจือเอ่ย
“ข้าดูเป็นคนว่างถึงเพียงนั้นหรือ?” ลู่จื่อชิงเอ่ย “ข้ากำลังนึกถึงเคล็ดวิชามัจฉาจมวารี ปักษีตกนภาที่ท่านอาจารย์ซ่งสอน นี่ก็ผ่านไปเจ็ดวันแล้ว ข้ากลับไม่เข้าใจความลับของเคล็ดวิชานี้เลย”
“ถึงแม้คำพูดของคนเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องใส่ใจ ทว่าก็ไม่อาจปล่อยให้พวกเขาพูดต่อไปได้เช่นนี้ได้ ไม่ช้าก็เร็วเจ้าก็ต้องจากไปแล้ว คำนินทาว่าร้ายเช่นนี้ไม่อาจส่งผลกระทบต่อเจ้า ทว่าพี่สาวเจ้าเป็นฮองเฮาของที่นี่ หากเจ้ามีชื่อเสียงไม่ดีจะทำให้ราษฎรกล่าวตำหนินางได้ ไม่เป็นผลดีต่อจิตใจของผู้คน”
ฉินโม่ถงพยักหน้า
“มีคนคิดจะทำลายชื่อเสียงข้า คงเป็นเพราะข้าดึงหนามเหล่านั้นในวังออกมา ทำลายแผนการของคนบางคน ปล่อยให้พวกเขาพูดไปเถอะ จะได้ดึงตะปูที่อยู่เบื้องหลังออกมา”
“เจ้าไม่เข้าใจผู้คนเกินไปแล้ว ถึงแม้ว่าชาวบ้านทั่วไปจะได้ยินข่าวลือพวกนี้ บางทีอาจเชื่อว่าเป็นความจริง ทว่าเรื่องเหล่านี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับพวกเขา พวกเขาแค่เพียงร่วมประสมโรงพูดคุยอย่างครึกครื้นเท่านั้น ผ่านไประยะหนึ่ง เมื่อมีคนเอ่ยถึงคุณหนูรองลู่ขึ้นมา พวกเขาก็แค่นึกได้ว่า ‘โอ้ นังหนูนิสัยร้ายกาจที่ชอบข่มเหงผู้อื่นเพราะพี่สาวของนางเป็นฮองเฮาผู้นั้นหรือ’ พวกเขาจะคิดร้ายอะไรต่อข้ากัน?”
“สภาพจิตใจเจ้านี่…” ซ่งหานจือประกบมือคำนับ “ข้าสู้ไม่ได้จริง ๆ”
ลู่จื่อชิงเคาะโต๊ะเบา ๆ ให้ซ่งหานจือมองชายวัยกลางคนที่อยู่ตรงข้าม
ชายผู้นั้นเพิ่งนั่งลงก็ให้เสี่ยวเอ้อร์ยกอาหารมา
“มีอะไรหรือ?”
“นั่นเป็นผู้ฝึกนกที่มีชื่อเสียงที่สุดของที่นี่” ลู่จื่อชิงเอ่ย “ในวังมีคนเลี้ยงนกพิราบ ใช้ติดต่อกับคนข้างนอก นี่อันตรายยิ่งนัก! ข้าต้องช่วยพี่หญิงหาคนผู้นี้ออกมา ในเมื่อใต้เท้าเซี่ยฉลาดเพียงนั้นยังไม่พบเบาะแสใด ๆ เช่นนั้นเราก็ต้องหาหนทางอื่น นั่น คนผู้นั้นเป็นผู้ฝึกนกของที่นี่ จะต้องศึกษาเรื่องนกมามากมายเป็นแน่ หากพาเขาไปด้วย บางทีอาจได้ผลลัพธ์ที่ไม่คาดคิด”
“ชิงเอ๋อร์ พวกเขากล่าวผิดแล้ว เจ้าเป็นคนสกุลลู่” ซ่งหานจือเอ่ยด้วยสีหน้าขึงขัง
ลู่จื่อชิงใช้สายตาประหนึ่งมองคนโง่งม “ข้าไม่ใช่คนสกุลลู่ หรือว่าเจ้าใช่?”
แก้มของซ่งหานจือเปล่งสีแดงเรื่อขึ้นมา
“ไยเจ้าต้องหน้าแดง?” ลู่จื่อชิงมองเขาด้วยสายตาแปลก ๆ “คงไม่ใช่เจ้ามาเป็นสหายกับข้า เพราะต้องตาสกุลลู่กระมัง? เจ้าคงไม่ได้มีความคิดเช่นเดียวกับหลี่เยียนหรานใช่หรือไม่?”
หลี่เยียนหรานอิจฉานางเพราะชอบมารดานาง ซ่งหานจือคงไม่ได้ชอบบิดานางหรอกนะ?
ฉินโม่ถงมองทั้งสองคน บุรุษเขินอาย สตรีกลับไร้เรื่องราวกังวล ความลงตัวอย่างแปลกประหลาดเช่นนี้คืออะไรกัน?
“ไม่ใช่ ข้าหมายถึง…” ซ่งหานจือเอ่ย “เจ้าฉลาดพอ ๆ กับพ่อและพี่ชายของเจ้า”
“นั่นแน่นอนอยู่แล้ว” ลู่จื่อชิงเชิดหน้าขึ้นอย่างลำพองใจ ทว่าไม่นานก็นึกขึ้นได้อย่างรวดเร็ว หันกลับมามองเขาด้วยแววตาไร้ความปรานี “เจ้าหมายความว่า… ก่อนหน้านี้เจ้าคิดว่าข้าโง่อย่างนั้นรึ?”
“ไม่ใช่…” ซ่งหานจือปฏิเสธเป็นพัลวัน
“ซ่งหานจือ คืนนี้เจ้ามาฝึกเพลงกระบี่กับข้าเสียดี ๆ” ลู่จื่อชิงแสยะยิ้ม “ข้าจะดูแลเจ้าเอง!”
ซ่งหานจือ “…..”
หนีไปตอนนี้ยังทันหรือไม่?
เซี่ยชิงโจวกำลังปวดหัวกับ ‘คดีนกพิราบบิน’ ในพระราชวัง
“ใต้เท้า ตัวอักษรนี้สวยงามราวกับเป็นสตรีเขียน ทว่าก็มีคนเชี่ยวชาญในการเลียนแบบลายมือผู้อื่นเช่นกัน ดังนั้นไม่จำเป็นต้องเป็นสตรี…” ผู้ใต้บังคับบัญชาของเขากล่าว
“ข้าจะไม่รู้ได้อย่างไร? ในวังมีทั้งสตรี บุรุษ ผู้เฒ่า และเด็ก ยกเว้นคนรอบกายฮองเฮา คนอื่น ๆ ล้วนตรวจสอบแล้ว” เซี่ยชิงโจวเอ่ย “วันที่ฮองเฮาคลอด วันนั้นวุ่นวายสับสนอยู่บ้างจริง ๆ หมอดูแลครรภ์และหมอหลวงต่างก็ไว้วางใจได้ นางกำนัลที่ปรนนิบัติในยามนั้นก็ไม่มีปัญหา มิเช่นนั้นคงไม่กล้าให้เข้าใกล้ฮองเฮา อย่างไรก็ตาม จนกระทั่งบัดนี้เราก็ยังไม่ทราบว่าผู้ใดเป็นคนปล่อยข่าว”
“ข้าน้อยไม่เข้าใจ ฮองเฮาให้กำเนิดพระโอรสของฝ่าบาทเป็นเรื่องใหญ่ ไม่อาจปกปิดได้ ท้ายที่สุดก็ต้องประกาศต่อภายนอก ดังนั้นถึงแม้จะมีคนปล่อยข่าวออกไป นั่นก็ไม่ใช่เรื่องร้ายแรง”
“หากมีคนต้องการเอาชีวิตของฮองเฮาและพระโอรสของฝ่าบาท ฉวยโอกาสขณะที่พวกเรายังไม่รู้สถานการณ์ลงมือลอบสังหารพวกเขา นี่ยังไม่ใช่เรื่องร้ายแรงอีกหรือ? ตอนนี้สิ่งสำคัญไม่ใช่ว่ามีคนในวังใช้นกพิราบสื่อสารส่งข้อความ หากแต่เป็นฮองเฮาไม่ปลอดภัยอีกต่อไป นางและพระโอรสของฝ่าบาทตกอยู่ในอันตรายได้ทุกเมื่อ เรื่องนี้ไม่อาจทนได้ มือมืดในวังผู้นั้น เราต้องหาตัวให้พบ มิเช่นนั้นหากเกิดอะไรขึ้นผู้ใดจะรับผิดชอบ”
ขุนนางที่อยู่ในห้องล้วนไม่อาจทำอะไรกับเรื่องนี้ได้
อีกฝ่ายหลบซ่อนอยู่ในหลืบลึก ระยะนี้ได้ยินข่าวข้างนอกคงไม่เคลื่อนไหวไปสักพัก เช่นนี้ยิ่งทำให้หาตัวผู้ที่อยู่เบื้องหลังออกมาได้ยากเย็นกว่าเดิม
“ใต้เท้าเซี่ย ข้ามาแล้ว” ลู่จื่อชิงเดินเข้ามา
“คุณหนูรองลู่” เซี่ยชิงโจวเห็นลู่จื่อชิงก็ยิ้มออกมา “นี่นำอะไรมาหรือ?”
“ไก่ใบบัว กลิ่นหอมเป็นพิเศษเชียวนะ” ลู่จื่อชิงเอ่ย “หมู่นี้ทุกคนลำบากเกินไปแล้ว ข้าจึงซื้อมามากหน่อย ทุกคนนำไปแบ่งกันเถอะ!”
ทุกคนหันไปมองห่อใหญ่ห่อน้อยด้านหลังลู่จื่อชิง จากนั้นก็มองลู่จื่อชิงราวกับพวกเขาเห็นเทพเจ้าแห่งความมั่งคั่งที่ัยังมีชีวิต
นั่นคือซื้อมามากหน่อยหรือ?
หน้าร้านแทบหมดเกลี้ยงแล้ว!
ทั่งทั้งอาณาจักร ไก่ใบบัวร้านนั้นรสเลิศที่สุดจริง ๆ พวกเขาไปเข้าแถวหลายครั้งหลายคราก็เหลือไม่ถึงตนเสียที ไม่คิดว่าวันนี้จะมีบุญปาก อีกทั้งยังได้กินโดยไม่เสียแม้แต่อีแปะเดียว
คุณหนูรองสกุลลู่ผู้สูงศักดิ์ น้องสาวของพระนางฮองเฮา นึกไม่ถึงว่าจะเป็นคนที่เข้าถึงได้ง่ายเพียงนี้
เซี่ยชิงโจวให้คนของเขานำไก่ใบบัวไปแบ่งกัน
“ใต้เท้าเซี่ย ข้ายังพาคนผู้หนึ่งมาให้ท่านด้วย” ลู่จื่อชิงเอ่ย “ข้าสอบถามได้ความว่าในเมืองหลวงมีผู้เชี่ยวชาญด้านการฝึกนกจึงพาเขากลับมาหาท่าน”
เซี่ยชิงโจวมองนางด้วยความประหลาดใจ “คุณหนูรองลู่ ท่านเพิ่งมาถึงเพียงยี่สิบวันเท่านั้นนะ!”
“ใต้เท้าเซี่ยอยู่ในราชสำนักมานานเพียงนี้ แทบไม่ได้ออกไปข้างนอกใช่หรือไม่? บางครั้งแทนที่จะทำงานอยู่ด้านหลังประตู ท่านควรออกไปฟังเรื่องในหมู่ชาวบ้านบ้าง” ลู่จื่อชิงเอ่ย “ไม่จำเป็นต้องขอบคุณข้า!”