บทที่ 998 เจ้าศักดามหามรรค
หลังจากหานเจวี๋ยเลือกดำเนินการต่อ จิตรับรู้ก็เข้าสู่ภาพลวงตาวิวัฒนาการ
เขาลืมตามองออกไป ด้านหน้าคือหน้าผาแห่งหนึ่ง ฝั่งตรงข้ามของหน้าผาคือความว่างเปล่าขาวโพลนไร้สิ้นสุด ราวกับเป็นสุดปลายขอบโลก
เขาหันหลังกลับไป พบว่าด้านหลังคือทุ่งหญ้ากว้างไกลไร้ขอบเขต ผู้แสวงมรรคนับไม่ถ้วนคุกเข่าค้อมคำนับหน้าผากจรดพื้น แผ่ลามไปจนสุดปลายพื้นแผ่นดินกว้าง ถูกปราณอนธการปกคลุม
เมื่อทอดสายตามองออกไป มีผู้บำเพ็ญอย่างน้อยๆ สิบล้านราย ไม่ว่าเผ่าพันธุ์ใดล้วนมีทั้งสิ้น ทั้งหมดคุกเข่าคำนับไปยังทิศทางหนึ่ง นั่นก็คืออาณาเขตขาวโพลน
นี่กำลังทำอะไรกัน
รอเข้าพบเต้าจื้อจุนในอนาคตหรือ
หานเจวี๋ยแปลกใจ
เวลานี้เอง ผู้บำเพ็ญคนหนึ่งที่อยู่ใกล้ริมหน้าผาที่สุดเงยหน้าขึ้นมา หานเจวี๋ยเคยพบเขามาก่อน
ครั้งก่อนตอนที่อริยะมหามรรคนับล้านเข้าปิดล้อมโจมตีหานเจวี๋ย คนผู้นี้ก็อยู่ในบรรดานั้นด้วย ดูเหมือนจะเป็นดวงจิตมหามรรคคนหนึ่ง ตอนนั้นตบะอยู่ห่างจากระดับยอดมหามรรคไม่ไกลแล้ว
“เจ้าศักดามหามรรคแห่งยุคโบราณ หากท่านยังอยู่ ขอให้ท่านแสดงตนด้วยเถิด ฟ้าบุพกาลเผชิญวิกฤตการณ์ล่มสลายอีกคราแล้ว พวกเราเหล่าอริยะมหามรรคละอายใจนักที่ยากจะเอาชนะศัตรูได้ เจ้าศักดามหามรรคได้โปรดยื่นมือเข้าช่วยเหลือด้วยเถิด…”
ดวงจิตมหามรรคคนนี้คุกเข่าคำนับพลางคร่ำครวญไปด้วย
หานเจวี๋ยมีสีหน้าแปลกพิกล เหตุใดดวงจิตมหามรรคถึงมีท่าทีเช่นนี้กัน
ฟ้าบุพกาลล่มสลาย…
หรือว่านี่คืออนาคตที่ฟ้าบุพกาลถูกโค่นล้มลงแล้ว
แล้วเหตุใดเต้าจื้อจุนถึงกลายเป็นผู้พิทักษ์ฟ้าบุพกาลเล่า
ในเวลานี้เอง มีกลิ่นอายเลิศล้ำทรงพลังสองกระแสแผ่ออกมาจากส่วนลึกของอาณาเขตขาวโพลน เหนือกว่ายอดมหามรรคไปแล้ว
หานเจวี๋ยหันไปมอง เห็นเพียงว่ามีเงาร่างน่าเกรงขามร่างหนึ่งลอยขึ้นมาจากหุบเหว ร่างนี้ส่องแสงเจิดจ้าแยงตา หานเจวี๋ยรวมถึงผู้บำเพ็ญเพียรนับสิบล้านที่อยู่ต่อหน้าเขาดูเล็กจิ๋วลงไปอย่างเห็นได้ชัด ยิ่งกว่าละอองฝุ่นเสียอีก
หานเจวี๋ยมองไม่เห็นว่าอีกฝ่ายหน้าเป็นอย่างไร เห็นเพียงว่าดวงตาคู่หนึ่งที่อยู่เหนือเงาร่างน่าเกรงขามดูเย็นชาอย่างยิ่ง มีเปลวเพลิงลุกโชติช่วงอยู่ตรงขอบตา มีระยะห่างระหว่างดวงตาทั้งสองข้าง
ไม่ทราบว่าเป็นเพราะเหตุใด หานเจวี๋ยมักจะรู้สึกว่าพวกเขาดูคล้ายเจียงอี้และจ้าวเซวียนหยวน
เมื่อดวงจิตมหามรรคเห็นพวกเขาปรากฏตัวขึ้นก็เอ่ยด้วยความตื่นเต้น “ผู้ศักดิ์สิทธิ์ทั้งสอง เจ้าศักดามหามรรคจะช่วยอนุเคราะห์พวกเราหรือไม่”
น้ำเสียงเย็นชาก้องผันผวนแว่วขึ้นมา “เจ้าศักดากำลังสดับมรรคแห่งท่านเทพอยู่ เรื่องฟ้าบุพกาลยกให้เป็นหน้าที่พวกเรา”
ท่านเทพ
เทพผู้สร้างหรือ
หานเจวี๋ยประหลาดใจ หรือว่ายุคนี้ตนพิสูจน์เทพผู้สร้างแล้ว
มีเพียงความเป็นไปได้เพียงเท่านี้
เป็นไม่ได้ที่เขาจะอยู่ในระดับเดียวกับเต้าจื้อจุน!
“แต่อีกฝ่ายเป็นถึงผู้ปกครองโลกมหามรรคแห่งหนึ่ง ตบะก้าวข้ามยอดมหามรรคไปแล้ว ประกาศว่าต้องการท้าทายเจ้าศักดามหามรรค หากไม่ยอมเผยตัวจะทำลายล้างฟ้าบุพกาล!”
ดวงจิตมหามรรคเอ่ยด้วยความหวาดหวั่น น้ำเสียงเปี่ยมความเว้าวอน
พอเห็นดวงจิตมหามรรควางตัวต่ำต้อยเช่นนี้ หานเจวี๋ยพลันรู้สึกกระอักกระอ่วนอย่างบอกไม่ถูก
ในยุคสมัยที่เขาอยู่ ดวงจิตมหามรรคยังคงวางมาดยิ่งนัก
ผู้ปกครองโลกมหามรรคอย่างนั้นหรือ ดูเหมือนว่าหลังจากฟ้าบุพกาลถูกล้มล้างจะมีโลกมหามรรคปรากฏขึ้นไม่น้อยเลย
จุ๊ๆ ข้าช่างร้ายกาจนัก ลงมือเล็กน้อยก็พลิกฟ้าบุพกาลได้แล้ว
หากสามารถโค่นล้มฟ้าบุพกาลได้ ก็แปลว่ามีพลังเหนือกว่าเจ้านวฟ้าบุพกาลแล้ว
ทอดสายตามองไปทั่วฟ้าบุพกาล หานเจวี๋ยรู้สึกว่ามีเพียงตนที่มีคุณสมบัติพอ ดังนั้นคุณงามความดีที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้านี้ล้วนเป็นผลงานของเขา
น้ำเสียงเย็นชาผันผวนแว่วดังขึ้น “ข้าบอกไปแล้ว เรื่องนี้ยกให้เป็นหน้าที่ของพวกเรา ผู้ปกครองโลกมหามรรคคนนั้นแข็งแกร่งจริงๆ แต่ในอดีตก็นับว่าอยู่รุ่นเดียวกับพวกเรา พวกเราย่อมสามารถปราบปรามเขาได้!”
ภาพลวงตาวิวัฒนาการสิ้นสุดลงตรงนี้
หานเจวี๋ยลืมตาขึ้น ขมวดคิ้วเล็กน้อย
นี่มันอะไรกัน
เต้าจื้อจุนยังไม่โผล่มาด้วยซ้ำ จะนับว่าเป็นสภาวะแข็งแกร่งที่สุดของเขาได้หรือ
หานเจวี๋ยรู้สึกว่าตนถูกเอาเปรียบแล้ว
ในเวลานี้เอง!
ข้อความแถวหนึ่งพลันเด้งขึ้นมาตรงหน้า
[เต้าจื้อจุน: ผู้สร้างมรรคาระยะกลาง ผู้ครอบครองอำนาจศักดิ์สิทธิ์ชะตามหามรรค ศิษย์สืบทอดแห่งเทพผู้สร้าง เจ้าศักดามหามรรค เนื่องจากมีความดีความชอบในการช่วยผลักดันยุคสมัยอันไร้สิ้นสุด เทพผู้สร้างจึงแต่งตั้งให้เป็นเจ้าศักดามหามรรค คอยดูแลควบคุมโลกมหามรรคทั้งปวง]
ร้ายกาจมาก!
นี่คือเต้าจื้อจุนในอนาคตหรือ
ดูเหมือนจะทรงอำนาจจริงๆ!
หานเจวี๋ยถามในใจ ‘เทพผู้สร้างในที่นี้ใช่ข้าหรือไม่’
[ผลกรรมเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ไม่สามารถกำหนดถึงตัวท่านได้ ท่านทำได้เพียงคาดเดาด้วยตัวเอง]
ฮ่าๆ
ช่างเล่นลูกไม้เสียจริง
“ท่านพ่อ ท่านไม่พอใจที่ศิษย์พี่เจียงพ่ายแพ้หรือเจ้าคะ” หานหลิงพลันเอ่ยถาม
หานเจวี๋ยคลายหัวคิ้ว เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ไม่เลย พ่อแค่คิดเรื่องฝึกบำเพ็ญอยู่”
เมื่อหานหลิงได้ยินก็ไม่สงสัยอีก
เวลานี้ภายในห้องโถงยังพูดคุยเรื่องเต้าจื้อจุนอยู่
เต้าจื้อจุนเป็นม้ามืดที่เหนือความคาดหมายที่สุดในงานชุมนุมฟ้าบุพกาล ผู้ทรงพลังส่วนใหญ่คิดว่าเขามีโอกาสได้ครองตำแหน่งเลิศล้ำหมื่นยุค
ฉากในมิติต่อสู้ที่ฉายอยู่มีบุตรแห่งสวรรค์คู่อื่นมาประลองกันแล้ว หนึ่งในนั้นคือเทพมารฟ้าบุพกาลแห่งสำนักซ่อนเร้น
บทสนทนาภายในเมืองทศพิธจึงวนเวียนอยู่กับสำนักซ่อนเร้นมากขึ้นกว่าเดิม
“จุ๊ๆ เต้าจื้อจุนแห่งสำนักซ่อนเร้นเอาชนะเจียงเจวี๋ยซื่อจากสำนักซ่อนเร้นได้ สำนักซ่อนเร้นมีบุตรแห่งสวรรค์ที่เลิศล้ำมากมายเสียจริง”
“คงมิใช่ว่าจะเหมาตำแหน่งสิบยอดฟ้าไปหมดเลยกระมัง”
“คงไม่ถึงขั้นนั้น อู๋เซียงเทียนเซี่ยน่าจะชิงมาได้ตำแหน่งหนึ่ง ถึงขั้นที่อาจชิงตำแหน่งเลิศล้ำหมื่นยุคมาได้ ขอเพียงเขาทำเสร็จแล้วเก้าตำแหน่งที่เหลือล้วนเป็นของสำนักซ่อนเร้น กลับจะยิ่งขับเน้นให้เขาดูแข็งแกร่งกว่าเดิม”
“สำนักซ่อนเร้นร้ายกาจจริงๆ เหตุใดถึงมีเทพมารฟ้าบุพกาลมากมายขนาดนี้กันเล่า”
“ชนรุ่นหลัง เจ้าไม่รู้หรือ ในอดีตเมื่อนานมาแล้วผู้นำดวงจิตมหามรรครุ่นก่อนควบคุมขุนพลศักดิ์สิทธิ์ออกกวาดล้างเทพมารฟ้าบุพกาล เป็นอริยะสวรรค์เกรียงไกรที่ออกโรงตอบโต้ ช่วยเหลือเหล่าเทพมารฟ้าบุพกาลเอาไว้ ตอนนี้มีเทพมารฟ้าบุพกาลมากมายเช่นนี้มาเข้าสังกัดของเขาก็เป็นเรื่องปกติยิ่ง”
“พอข้านึกถึงว่าก่อนหน้านี้ทั้งเจียงเจวี๋ยซื่อและเต้าจื้อจุนถูกอริยะสวรรค์เกรียงไกรโจมตีกระบวนท่าเดียวก็ล้วนตั้งรับไม่ไหวทั้งคู่ ทำให้ข้ารู้สึกเคารพนับถืออริยะสวรรค์เกรียงไกรอย่างยิ่ง”
….
ศึกนี้ดูน่าเบื่อไปเสียแล้ว แม้ว่าฉากที่ปรากฏจะยังคงตระการตาน่าตะลึง แต่เมื่อเทียบกับพวกเต้าจื้อจุนก่อนหน้านี้แล้วดูด้อยกว่าไม่น้อยเลย โดยเฉพาะหลังจากที่ดำเนินอยู่เนิ่นนานก็ยังไม่สามารถตัดสินได้ว่าผู้ใดแข็งแกร่งกว่ากัน
ภายในคฤหาสน์
เต้าจื้อจุนยืดอกภาคภูมิใจ รายล้อมด้วยเหล่าศิษย์ร่วมสำนัก
เจียงเจวี๋ยซื่อก็มิได้เซื่องซึมคอตกเลย เพียงมองไปทางเต้าจื้อจุนอย่างใจลอยเล็กน้อย
หานฮวงเดินเข้ามาหา ตบไหล่เขาแล้วกล่าวว่า “ไม่เป็นไร ข้าจะเอาชนะเขาแทนท่านเอง!”
เจียงเจวี๋ยซื่อส่ายหน้าพร้อมเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ข้าไม่เป็นไร เพียงแค่นึกถึงคำพูดประโยคหนึ่งของอาจารย์ขึ้นมา”
“คำพูดใด”
หานฮวงอดสงสัยไม่ได้ ไฉนเจียงเจวี๋ยซื่อยังยิ้มออกเล่า
เจียงเจวี๋ยซื่อกล่าวว่า “ในอดีตนานมาแล้วอาจารย์เคยกล่าวว่า เกรงว่าข้าคงยากจะติดสิบลำดับแรกในสังกัดของเขาได้ ตอนนี้ข้าเชื่อแล้ว ศิษย์น้องฮวง ละทิ้งความดูแคลนในใจเสียเถิด ลองมองศิษย์ร่วมสำนักเหล่านี้ดู เพียงเพราะพวกเราใกล้ชิดกับพวกเขาถึงทำให้พวกเราไม่อาจมองเห็นพลังที่แท้จริงของพวกเขาได้”
หานฮวงเงียบไป
ไก่คุกรัตติกาลเดินเข้ามา เอ่ยด้วยรอยยิ้มจองหอง “ถูกต้อง ที่จริงข้าก็จงใจแพ้เช่นกัน ถึงอย่างไรข้ามีลำดับอาวุโสกว่า เอาชนะพวกเจ้าไปคงไม่ดี ดังนั้นจึงตั้งใจแพ้ก่อนที่จะไปเผชิญหน้ากับพวกเจ้า”
สุนัขสวรรค์ฮุ่นตุ้นเดินตามหลังมาพลางเอ่ยว่า “พี่ไก่ไร้พ่าย”
เจียงเจวี๋ยอดขำไม่ได้ ส่วนหานฮวงพูดไม่ออกยิ่งนัก
หานชิงเอ๋อร์เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ศิษย์พี่เจียงแข็งแกร่งมากแล้ว ถึงอย่างศิษย์พี่เต้าก็กราบเข้าสังกัดท่านพ่อข้ามาเนิ่นนาน รอจนถึงงานชุมนุมฟ้าบุพกาลครั้งหน้า ศิษย์พี่เจียงต้องผงาดรุ่งโรจน์ขึ้นมาแน่นอน”
สิบยอดฟ้าน่าจะไม่เข้าร่วมงานชุมนุมฟ้าบุพกาลครั้งหน้าอีก เพราะพวกเขาได้พิสูจน์ตัวเองให้เห็นแล้ว
ส่วนเลิศล้ำหมื่นยุคถูกสั่งห้ามไว้อย่างเด็ดขาด ไม่ให้เข้าร่วมอีก
“ขอบใจสำหรับคำปลอบโยนของศิษย์น้องหญิง” เจียงเจวี๋ยซื่อเอ่ยด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน
ฉากต่อสู้ที่ฉายอยู่บนนภาดำเนินมาหลายชั่วยามแล้ว สุดท้ายเทพมารฟ้าบุพกาลจากสำนักซ่อนเร้นก็พ่ายแพ้ แต่การที่ไม่มีศิษย์สำนักซ่อนเร้นพ่ายแพ้ในรอบร้อยศักดาเลยก็เป็นตำนานได้แล้ว
หานเจวี๋ยรู้สึกว่าปกติยิ่ง มาถึงขั้นนี้ได้ก็นับว่าเป็นบุตรแห่งสวรรค์ชั้นเลิศแล้ว
เขาได้แต่ภาวนาให้ศิษย์สำนักซ่อนเร้นปะทะกันเองให้น้อยที่สุด
ทว่า สถานการณ์กลับไม่เป็นเช่นนั้น!
จ้าวเซวียนหยวนปะทะฉู่ซื่อเหริน!