ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล – ตอนที่ 630 เชอะ คนเลว

ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล

ตอนที่ 630 เชอะ คนเลว

“สั่งให้ยมโลกนรกส่งคนมาเหรอ” โจวเจ๋อขมวดคิ้ว เพราะความสัมพันธ์ของไท่ซานฝู่จวิน ทำให้โจวเจ๋อนับตั้งแต่เป็นยมทูตเป็นต้นมา ยมโลกมีระเบียบข้อผูกมัดข้อจำกัดต่อของเขาต่อนรกน้อยมาก ตัวเขาเองก็ไม่อยากไปมาหาสู่กับยมโลกนรกมากเกินไป

และถ้าหากยมโลกนรกส่างคนมาจริงๆ อย่างนั้นเรื่องนี้กับเขาที่เป็นยมทูตต่างเมืองก็ไม่เกี่ยวข้องกัน และที่สำคัญที่สุดคือ ฐานะของตัวโจวเจ๋อเองไม่สามารถเปิดเผยได้ หลังจากผ่านประสบการณ์ที่เจ้าโง่ฆ่าคนไปทั่วนรกครั้งที่แล้ว เขาแทบไม่อยากจะติดต่อกับยมโลกอีกเลย แล้วมีเหตุผลใดที่จะเป็นฝ่ายรายงานข่าวต่อหน้าพวกเขาก่อน

ถึงแม้จะมีคำกล่าวที่ว่าสถานที่ที่อันตรายที่สุดคือสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุด แต่โจวเจ๋อไม่คิดว่าตัวเองจะเป็นอวี๋เจ๋อเฉิงในรกได้

“สามารถส่งคนคุ้นเคยมาเป็นผู้ตรวจสอบจริงๆ จังๆ ได้ ไอ้หมอนั่นน่าจะซ่อนตัวไม่อยู่”

โจวเจ๋อเม้มปาก เอ่ยว่า “คุณกับเฝิงซื่อเอ๋อร์ มาอยู่รวมกันได้ยังไง”

หมอกหนาที่ภูเขาคะฉิ่นก่อนหน้านี้ แม้แต่สวี่ชิงหล่างยังมองออก จึงไม่ต้องพูดถึงโจวเจ๋อ เมื่อมีประสบการณ์ลงไปนรกจากหมอกหนาครั้งที่แล้ว หมอกหนา ‘ที่บังเอิญ’ แบบนี้ถ้าหากไม่มีการควบคุมของทนายอันอยู่เบื้องหลัง โจวเจ๋อคือคนแรกที่ไม่เชื่อ และทนายอันไม่ว่าอย่างไรก็เป็นคนตัวเปล่า กระทั่งมีความผิดติดตัว จึงต้องมีคนให้ความร่วมมือกับเขาแน่นอน พอคิดไปคิดมา ก็มีแต่คนที่ชอบกินผักดองคนนั้น

“ทะเลาะกันที่หัวเตียงคืนดีกันที่ปลายเตียง” ทนายอันพูดความในใจออกมาโดยตรง และไม่รู้สึกอายอะไร จึงได้เพียงแต่พูดอย่างจริงจังว่า “เลื่อนขั้นมีลาภยศ เป็นปัจจัยอย่างแรก เพราะเกี่ยวกับพวกเราว่าจะมีอำนาจปกป้องตัวเองได้มากพอขณะที่่มีเกิดความโกลาหลในนรกได้ไหมหลังจากนี้ แต่ในเมื่อเจอก้อนหินนี้แล้ว ถึงแม้จะมีความเป็นไปได้เพียงหนึ่งในหนึ่งพัน พวกเราก็ต้องแย่งชิงมาให้ได้ ไม่ว่าอย่างไร พวกเรารู้ว่าคนผู้นั้นที่อยู่ในร่างของเถ้าแก่จะตื่นขึ้นมาไหมสำหรับพวกเราแล้ว มีความหมายอย่างไรกันแน่”

โจวเจ๋อเล่นไฟแช็กอยู่ในมือ เขากำลังลังเลและกำลังครุ่นคิด ทนายอันจึงนั่งลงยองๆ เป็นเพื่อนเขา รอการตัดสินใจของเถ้าแก่

ตอนนี้ ไม่ว่าอย่างไรแตกต่างจากตอนที่เป็นยมทูตเจ้าหน้าที่ระดับล่างสุดในอดีตแล้ว ถ้าอยากจะปีนขึ้นไปข้างบนอยากจะทำอะไรได้มากกว่านี้ หากไม่มีความสัมพันธ์กับเบื้องบน ไม่ได้รับการอุ้มชูจากเบื้องบน ก็จะยากลำบากเป็นอย่างมาก

ในราชสำนักหากมีคนเป็นที่พึ่งจะเติบโตได้ดีข้าราชการดี นี่คือหลักการที่ไม่แปรเปลี่ยน ก่อนหน้านี้ทนายอันพยายามครุ่นคิดหาวิธีการอย่างกหนักอยากให้โจวเจ๋อกลายเป็นผู้จับกุมที่มีคุณค่าอย่างแท้จริงมากที่สุดในประวัติศาสตร์ แต่เขาคงไม่พึงพอใจเพียงเท่านี้ ผู้จับกุมคนหนึ่ง ถึงแม้จะมีคุณค่าสูง แต่ก็เป็นแค่ผู้จับกุม

อย่างน้อยต้องเป็นผู้ตรวจสอบ กระทั่งได้เป็นถึงผู้พิพากษา ถึงจะมีสิทธิ์ปกป้องตัวเองได้ ตอนที่บนกำแพงเมืองถูกสลับสับเปลี่ยนธงสีต่างๆ คุณถึงจะมีสิทธิ์เปลี่ยนประตูและลานบ้านไม่ถูกโยนทิ้งตามอำเภอใจ

“เฝิงซื่อเอ๋อร์ ไม่มีปัญหาใช่ไหม” โจวเจ๋อมองไปที่ทนายอัน หากจะว่ากันถึงแก่นแท้แล้ว นี่คือคำถามที่สำคัญที่สุด

“เขาฉลาดมาก เป็นคนฉลาดคนหนึ่ง” ทนายอันตอบแบบนี้

โจวเจ๋อเงียบไปอีกครั้ง

ทนายอันจึงกล่าวต่อว่า “อย่างแรก เถ้าแก่ ผมอยู่กับคุณแล้ว เป็นลูกน้องของคุณ เฝิงซื่อเอ๋อร์ตอนแรกเป็นลูกน้องของผม หากนับอายุหลังจากตายแล้ว เขารู้จักผมดีกว่าแม่ของผมเสียอีก เขาจะไม่เชื่อว่าผมจะอยู่กับเถ้าแก่ที่ขี้เกียจ เห็นแก่ตัว โลภมาก ขี้งก แถมยังไม่แข็งอ้อไม่…เอ่อ อย่างที่สอง เรื่องของหยกผีครั้งที่แล้ว ถือว่าเถ้าแก่ชิงตัดหน้าเขาไปก่อน เขาจึงจำคุณได้แน่นอน ไม่แน่ยังตามสืบเรื่องของคุณเป็นพิเศษ อย่างที่สาม ได้ยินว่า ครั้งที่แล้วที่หน้าประตูวังนั่น ชุ่ยฮวาเอ๋อร์ยังเห็นเถ้าแก่ยืนต่อแถวอยู่ตรงนั้น และความปั่นป่วนของนรกก่อนหน้านี้ช่วงหนึ่ง จุดเริ่มต้นก็คือพระราชวังแห่งนั้น!”

“คุณหมายความว่า เขาเดาตัวตนของผมออกเหรอ”

ทนายอันส่ายหน้า “คนฉลาดจะชอบคิดมาก ผมแค่สัมผัสได้ถึงความสนใจของเขาที่มีต่อคุณ ถึงแม้ก่อนหน้านั้นผมจะไหว้วานเขาให้สร้างหมอกนั่นก็ตาม แต่ก็ไม่ได้สัญญาอะไรกระทั่งไม่เผลอพูดอะไรให้เขาฟังแม้แต่นิดเดียว ปล่อยให้เขาคาดเดา คือตัวเลือกที่ดีที่สุด ไม่ต้องรู้ไม่ต้องเข้าใจ ถึงจะได้ผลที่สุดและปลอดภัยที่สุด”

โจวเจ๋อลุกขึ้น ยื่นมือบิดเอว แล้วค่อยๆ พูดว่า “เหล่าอัน ถ้าหากเล่นมากเกินไป คุณรู้ไหมว่าผลเสียจะเป็นยังไง”ถ้าหากปล่อยให้ระดับสูงของนรกรู้ว่าตัวการที่ทำลายร่างธรรมของพญายมทั้งแปดยังเอ้อระเหยลอยชายได้เป็นผู้จับกุมอยู่ในโลกมนุษย์ เช่นนั้นการแก้แค้นที่ต้องเผชิญหน้าทั้งหมด แค่คิดก็รู้สึกชาหนังศีรษะแล้ว

“ไม่ว่ายังไงก็ไม่ได้เล่นเกินเหตุเป็นครั้งแรก” ทนายอันตอบไปเช่นนั้น

โจวเจ๋อพยักหน้า ถามว่า “ส่งข่าวยังไง”

ทนายอันหากระดาษและปากกา แล้วเขียนเรื่องราวที่เกิดขึ้นที่นี่ลงไป แต่ซ่อนสิ่งที่เป็นประเด็นสำคัญ อย่างเช่น ก้อนหินสีเขียวคือจุดประสงค์ที่ทุกคนมาที่ยูนนาน จำนวนตัวหนังสือไม่เยอะ แต่กลับเล่าเรื่องออกมาได้ทั้งหมด ประเด็นสำคัญยังอยู่ที่มีคนถูกฆ่าในโฮมสเตย์รวมไปถึงยมทูตคนนี้ถูกฆ่าปิดปาก

หลังจากเขียนเสร็จ ทนายอันจึงนำกระดาษแผ่นนั้นวางบนป้ายผู้จับกุมของโจวเจ๋อ รอยสีดำจางๆ ที่อยู่บนกระดาษเหมือนตราประทับก็ไม่ปาน จากนั้นโจวเจ๋อจึงหยิบไฟแช็กออกมา เตรียมเผากระดาษใบนี้ ผลปรากฏว่าทนายอันได้ส่งเงินกระดาษมาให้อีกสองใบ

“เผาเพิ่มไปด้วยกัน เถ้าแก่”

“ต้องมีทิปด้วยเหรอ” โจวเจ๋อพูดด้วยความสงสัยอยู่บ้าง

“ผีตัวเล็กตัวน้อยน่ารำคาญ ขี้งกขี้เหนียว…” ขณะที่พูดไปเรื่อยๆ ทนายอันรู้สึกว่าตัวเองเหมือนจะด่าเถ้าแก่เข้าไปด้วย จึงหัวเราะทันทีแล้วเอ่ยว่า “หลายปีที่ผ่านมายมโลกมักจะไม่ให้ความสำคัญกับระดับชั้นรากหญ้าอยู่แล้ว และเรื่องของพวกเราจะว่าเล็กก็ไม่เล็ก แต่จะว่าใหญ่ ก็ไม่ถือว่าใหญ่มาก ถ้าหากไอ้หมอนั่นไม่มีการเคลื่อนไหวต่อจากนี้ ไม่ฆ่าคนและยมทูตติดต่อกันอีก ด้วยทัศนคติของข้าราชการในนรกแล้ว เพิ่มหนึ่งเรื่องไม่สู้ลดหนึ่งเรื่อง

แต่นี่ไม่มีผลกระทบอะไรกับพวกเราเลย พวกเราแค่มั่นใจว่าจดหมาย ‘รายงาน’ ฉบับนี้จะเดินตามขั้นตอนจริง จากนั้นก็รอเฝิงซื่อเอ๋อร์เป็นฝ่ายไปขอเป็นคนนำทัพออกรบ มาจัดการปัญหานี้ก็พอ เงินกระดาษสองใบนี้แค่ไม่อยากถูกระบบไปรษณีย์ของยมโลกนรกกลบหายไปก็เท่านั้น”

“อย่างนั้นถ้าเผาเพิ่มอีกสองสามใบก็จะส่งถึงยมโลกนรกได้อย่างราบรื่นใช่ไหม”

“แบบนั้นมันเด่นเกินไป ถ้าหากถูกไอ้งั่งคนไหนพบว่ารายได้ของยมทูตข้างนอกสูงขนาดนี้ จึงตั้งใจเก็บจดหมายฉบับนี้ไว้ แล้วเรียกค่าน้ำชาอะไรจากคุณอีก จะไม่เพิ่มความยุ่งยากเหรอ”

“เห็นแก่ได้กินกันน่าเกลียดขนาดนี้เชียว”

“คนเป็นมักมากในทรัพย์และยังต้องพะวงถึงหน้าตา แต่ที่นรกมีแต่คนไร้ยางอายทั้งนั้น”

หลังจากเผากระดาษใบนี้รวมทั้งเงินกระดาษสองใบจนเป็นผุยผงแล้ว โจวเจ๋อจึงตบมือ “เขาอีกนานไหมกว่าเขาจะถึงมาถึง”

“ต้องเดินตามขั้นตอน เร็วสุดก็ต้องหนึ่งวัน”

“อย่างนั้นผมไปพักผ่อนแล้ว”

“ได้เลย เถ้าแก่ ผมจะช่วยดูให้”

อิงอิงกับสวี่ชิงหล่างตั้งเต็้นท์เสร็จแล้ว คนที่มาตั้งแคมป์ที่นี่เดิมทีมีไม่น้อยอยู่แล้ว แต่ฤดูหนาวเดือนสิบสองนี้คนที่มาตั้งแคมป์กลับมีน้อยจริงๆ เมื่อเข้าไปนอนในเต็นท์ อิงอิงก็ตามเข้ามาโดยเร็ว วางศีรษะของโจวเจ๋อไว้บนตักของตัวเอง จากนั้นเธอจึงนวดให้โจวเจ๋อเบาๆ

“ลำบากหน่อยนะ” โจวเจ๋อเอ่ย

“ไม่ลำบากเจ้าค่ะเถ้าแก่ ช่วงนี้เถ้าแก่ต่างหากที่ลำบากมากกว่า”

โจวเจ๋อหลับตา เขาเหนื่อยมากจริงๆ

‘ติ๋งๆ…ติ๋งๆ…’ เสียงหยดน้ำ โจวเจ๋อพบว่าตัวเองกำลังนั่งอยู่ในริมแม่น้ำ เงยหน้าขึ้น ทั้งๆ ที่มีดวงอาทิตย์อยู่บนท้องฟ้า แต่กลับให้ความรู้สึกขมุกขมัวเหมือนเดิม พอก้มหน้า โจวเจ๋อมองไปที่ผิวน้ำ เห็นเงาของตัวเองสะท้อนอยู่บนผิวน้ำ แต่เงาอันนี้กลับไม่ชัดเจน นี่คือความฝัน

‘ปุดๆ…ปุดๆ…ปุดๆ…’ ใต้น้ำเกิดฟองอากาศออกมาอย่างต่อเนื่อง แม่น้ำทั้งสายเริ่มมีกลิ่นเหม็นเน่าคละคลุ้ง แขนแต่ละข้างอัน ขาแต่ละข้างอัน พลิกลอยออกมาจากใต้น้ำ ทั่วทั้งแม่น้ำเต็มไปด้วยแขนขาที่ถูกตัดเป็นชิ้น

‘ซ่า!’ ตรงกลางของแม่น้ำ เหมือนมีเงาสีดำเงาหนึ่งลอยขึ้นมาเหนือผิวน้ำ เนื่องจากมีชิ้นส่วนแขนขาเบียดแน่นกันไปหมด จึงมองเห็นไม่ถนัด ทว่ารู้สึกเหมือนมีดวงตาคู่หนึ่งกำลังจ้องมองตัวเองอยู่

ถ้าหากคนทั่วไปฝันแบบนี้น่าจะตกใจกลัวไปนานแล้ว หากไม่มึนงงอยู่ในฝันร้ายต่อไป เช่นนั้นก็คงสะดุ้งตื่นเหงื่อเย็นท่วมตัว

โจวเจ๋อกลับยืนอยู่ที่เดิม สบตากับดวงตาของเงาดำนั่น เงาดำสงบนิ่งเป็นอย่างมาก โจวเจ๋อก็เช่นกัน ทุกคนต่างสงบและใจเย็น รอบๆ มีเพียงเสียงน้ำไหลรวมถึงแขนขาที่ถูกตัดลอยกระทบและเสียดสีกันเบาๆ

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร โจวเจ๋อรู้สึกเบื่อแล้ว เขาจึงหาวหวอด โบกมือลาเงาดำนั่นแล้วหลับตา ตอนที่ลืมตาอีกครั้ง โจวเจ๋อได้ตื่นแล้ว เวลานี้เขากำลังนอนอยู่บนเตียงในเต็นท์ อิงอิงกำลังนั่งเล่นโทรศัพท์อยู่ข้างๆ เขา

เธอช่วงนี้เธอไม่ค่อยชอบเล่นเกมเท่าไร แต่กลับชอบอ่านนิยายมากกว่า ก่อนหน้านั้นในร้านหนังสือโจวเจ๋อมีครั้งหนึ่งโจวเจ๋อเป็นห่วงแนวคิดในการใช้ชีวิตของอิงอิง และด้วยความบังเอิญแบบไม่ได้ตั้งใจจริงๆ ไม่ระวังไปหยิบโทรศัพท์ของอิงอิงที่อยู่บนหัวเตียง พบว่าในบรรดานิยายที่อิงอิงอ่านนั้น เน้นอ่านนิยายวายเป็นหลัก

“เถ้าแก่ ตื่นแล้วเหรอเจ้าคะ” อิงอิงวางโทรศัพท์แล้วขยับเข้ามาใกล้ “เถ้าแก่ ครั้งนี้ท่านนอนหลับนานมาก น่าจะเหนื่อยจัดนะเจ้าคะ”

“ผมหลับไปนานแค่ไหน”

“หนึ่งวันหนึ่งคืน ประมาณสามสิบชั่วโมงได้เจ้าค่ะ”

โจวเจ๋อพยักหน้า ไม่ได้รู้สึกแปลกใจอะไร และไม่ต้องพูดถึงการจ้องหน้ากันในความฝันอันยาวนานที่น่าเบื่อนั่น แต่ช่วงนี้ตัวเขาเองยุ่งมาก สูญเสียพลังกายและจิตใจค่อนข้างเยอะจริงๆ

หลังนอนหลับหนึ่งตื่นรู้สึกมีพลังสดชื่นขึ้น พอลุกนั่ง โจวเจ๋อที่กำลังจะเพิ่งสั่งให้อิงอิงเตรียมหาของกินให้ตัวเอง ปลายจมูกกลับได้กลิ่นฉุนของผักดอง

“พวกเขามาแล้วเหรอ” โจวเจ๋อถาม

“เจ้าค่ะ พวกเขามาแล้ว”

โจวเจ๋อลุกขึ้น โน้มตัวเดินออกมาจากเต็้นท์

“ฮ่าๆๆๆๆ! มาๆ ชนแก้ว!” เสียงของทนายอันดังเข้ามา แสดงให้เห็นถึงความดีใจเป็นอย่างยิ่ง

โจวเจ๋อมองไปทางนั้น แล้วจึงเห็นทนายอันกับผู้หญิงอายุราวสี่สิบปีนั่งอยู่บนพื้นข้างๆ ทนายอันพยายามดึงเธอให้คล้องแขนกันดื่มแลกแก้วสุราัน แต่ข้างๆ นั้่นยังมีหญิงชราคนหนึ่งกำลังนั่งยองๆ คอยเฝ้ากำลังไฟที่อยู่ตรงหน้าเตาเล็ก ซึ่งกำลังต้มผักดองอยู่ในหม้อต้มขนาดเล็ก

เมื่อเห็นโจวเจ๋อเดินเข้ามา ทนายอันลุกขึ้นทันที ผู้หญิงก็ลุกขึ้นเช่นกัน แต่มีความเรียบร้อยอย่างเห็นได้ชัด ให้ความรู้สึกเหมือนเศรษฐีแม่ม่าย

“เถ้าแก่ ฮ่าๆๆๆๆ!!!!!” ทนายอันหัวเราะจนหายใจแทบไม่ทัน พลางชี้ไปที่ผู้หญิงที่อยู่ข้างๆ และเอ่ยว่า “เถ้าแก่ เฝิงซื่อเอ๋อร์มาแล้ว”

เอ่อ นี่…

ผู้หญิงเดินมาข้างหน้าสองสามก้าว พยักหน้าให้โจวเจ๋อเบาๆ ไม่มีการประจบแสดงท่าทีเย้ายวน และไม่มีการวางมาด นอกจากพูดด้วยความสงบว่า “รีบมาไปหน่อย ในหอฌาปนกิจที่ลี่เจียงก็ไม่มีศพผู้ชายที่เหมาะสม จึงเลือกมาพอถูๆ ไถๆ ไปก่อน”

หญิงชราที่คอยเฝ้ากำลังไฟอยู่ข้างๆ เงยหน้าถลึงตาใส่โจวเจ๋อหนึ่งที แล้วใช้น้ำเสียงที่แหบพร่าของคนชราเอ่ยเหมือนคุณพ่อว่า “เชอะ คนเลว!”

……………………………………………………………………….

ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล

ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล

Status: Ongoing
หลังจากการตายที่ไม่คาดคิด สิ่งที่เขาได้รับคือ ตัวตนใหม่ ร้านหนังสือใกล้เจ๊ง และตำแหน่งยมทูตจำเป็น

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท