บทที่ 978 เข็มทิศวิญญาณหวนกลับ
บทที่ 978 เข็มทิศวิญญาณหวนกลับ
เส้นทางหมื่นดารากำลังโกลาหลยิ่ง
เสียงร้องหวีดแหลมน่าเวทนา เลือดสีแดงฉาน กระแสปราณเซียนคลั่ง และแสงสว่างจ้ากำลังม้วนตัวรวมกันดั่งคลื่นเข้าโอบล้อมฟ้าดิน
ราวกับมีไฟชำระลงมาล้างผลาญเลยทีเดียว!
มีทหารองครักษ์วิญญาณเจียงทั้งหมดหนึ่งร้อยยี่สิบเก้านายประจำการอยู่ที่นี่ และมีแม่ทัพอยู่สามนาย ทหารองครักษ์วิญญาณเจียงแต่ละนายมีความแข็งแกร่งไม่ได้ด้อยไปกว่าขอบเขตเซียนปฐพีระดับห้า ขณะที่แม่ทัพแต่ละนายอยู่ขอบเขตเซียนปฐพีระดับแปด
หากนำกองกำลังเช่นนี้มาไว้ในแดนภวังค์ทมิฬก็คงมากพอที่จะทำให้สิบนิกายเซียนต้องรู้สึกเกรงกลัวได้ ทว่าตอนนี้ฝั่งกองทัพกลับถูกฆ่าสังหารจนแทบสิ้น!
และคนลงมือมีเพียงแค่สองคนเท่านั้น!
คนหนึ่งคือบุรุษหล่อเหลาผู้มีพลังสะท้านฟ้า อีกคนคือสตรีผู้งดงามหาที่ใดเปรียบ ซึ่งมีวิชาไม่เป็นสองรองใคร
เมื่อเห็นภาพเช่นนี้ เว่ยหลาน เว่ยเซียวเฟิง และชายชราในชุดคลุมปักก็ชะงักไป พวกเขาแทบลืมหายใจ
พลังเช่นนี้จะนับว่าสะท้านไปทั้งใต้หล้าเลยก็ยังได้!
“ราชาฉู่เจียงคงจะไม่ผนึกเส้นทางหมื่นดารา และใช้กองกำลังทั้งหมดที่มีเพื่อรับมือกับคนสองคนนี้หรอกกระมัง?” ผ่านไปชั่วอึดใจหนึ่ง เว่ยหลานก็เอ่ยเสียงประหลาดใจ นัยน์ตาระยับไปด้วยแววฉลาดเฉลียว
แท้จริงแล้วไม่จำเป็นต้องมีใครตอบคำถามนี้เลย เพราะนางรู้ดีว่าการคาดเดานี้คงไม่ห่างจากความจริงเท่าไร
…ในยมโลก แม้กระทั่งหกวิถีสังสารวัฏ โถงน้ำพุยมโลก โถงยายเฒ่าเมิ่ง และมหาอำนาจอื่นที่มีอำนาจใกล้เคียงกัน ก็ยังไม่คิดเข้าปะทะกับราชานรกองค์ที่สองหรือราชาฉู่เจียงง่าย ๆ หากไม่มีทางเลือกอื่น
กลับกันแล้ว คนทั้งสองเมื่อมาถึงเส้นทางหมื่นดาราก็ลงมือสังหารโหดในทันที ท่าทีหยิ่งยโสเช่นนี้… เห็นทีคงมีแต่ศัตรูของราชาฉู่เจียงเท่านั้นที่จะแสดงออกมาได้!
“ก็คงจะเป็นแบบนั้น มากันแค่สอง แต่กลับกล้าบุกผ่านเส้นทางหมื่นดารา ไม่แปลกที่ราชาฉู่เจียงจะเตรียมรับมือไว้เช่นนั้น” ชายชราถอนหายใจเล็กน้อย ใบหน้าเผยความตกใจอยู่บ้าง
เว่ยเซียวเฟิงรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อยเมื่อเห็นพี่หญิงกับลุงอวิ๋นมีท่าทีเช่นนั้น เขาเม้มปากก่อนจะกล่าวขึ้นว่า “หึ! สังหารลูกน้องราชาฉู่เจียงได้แล้วมันอย่างไร? ข้ารู้ดีว่าราชาฉู่เจียงเป็นเซียนทองคำ หากเขาจะลงมือจริงก็คงฆ่าทั้งสองคนได้ไม่ต่างจากการบี้มด”
เว่ยหลานกับชายชราเหลือบมองกันก่อนจะถอนหายใจอยู่ภายใน คนทั้งสองนี้ย่อมเทียบกับราชาฉู่เจียงไม่ได้ แต่ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีคนอื่น ๆ สามารถเทียบได้หรือไม่?
โดยเฉพาะกับชายหนุ่มผู้หล่อเหลาคนนั้น เรียกได้ว่าเป็นผู้คุมสถานการณ์ทั้งหมดไว้ กวาดล้างศัตรูตรงหน้าได้ง่ายดายราวกับบี้มด อีกทั้งยังไม่มีใครรับมือการโจมตีของเขาได้ ในทั่วทั้งยมโลกแห่งนี้ จะสามารถหาขอบเขตเซียนปฐพีระดับยอดราชันเช่นนี้ได้ที่ไหนอีก?
“พี่หญิง ข้าคิดแผนดี ๆ ได้อย่างหนึ่ง เหตุใดเราไม่ไปช่วยทหารองครักษ์วิญญาณเจียงเล่า? เช่นนี้หากเราจับตัวทั้งสองคนนั้นได้ ก็จะสามารถเดินทางเข้าทางหมื่นดาราได้อย่างราบรื่น ทั้งยังไม่ต้องกลัวว่าจะไม่ได้เข้าเป็นศิษย์ของราชาเปี้ยนเฉิงอีกด้วย “ เว่ยเซียวเฟิงเอ่ยเสียงขึ้นด้วยความตื่นเต้น
เพียะ!
เสียงพูดยังไม่ทันสิ้น เว่ยหลานก็ยับยั้งไปโกรธในใจไว้ไม่ได้ ยกมือขึ้นตบหน้าเว่ยเซียวเฟิงแล้วตำหนิเสียงขรึมว่า “หุบปากเสีย! อยากให้คนอื่นถูกฝังไปพร้อมกับเจ้าหรือไร!?”
เว่ยเซียวเฟิงอึ้งไป ยกมือขึ้นกุมใบหน้าที่ปวดแสบปวดร้อนพลางมองพี่หญิงที่รักและตามใจเขามากที่สุดด้วยสายตาไม่อยากเชื่อ “พี่หญิง ท่าน…ตบข้าหรือ?”
อันที่จริงเว่ยหลานเองก็ปวดใจที่ตบน้องชายตนเองเช่นกัน แต่นางก็ยังเอ่ยด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นว่า “นี่ข้าช่วยเจ้าอยู่นะ! น้องเจ็ด เจ้าเองก็ไม่ใช่เด็กแล้ว หากเมื่อก่อนพูดเช่นนี้ก็ยังบอกว่าเด็กเกินจึงไม่รู้ความ แต่ตอนนี้ข้าเกรงว่าคำพูดของเจ้าจะนำภัยมาให้!”
เว่ยเซียวเฟิงส่งสายตามองเว่ยหลานพลางกัดฟัน ก่อนจะหันไปมองชายชรา “ท่านลุงอวิ๋นจู ท่านก็คิดเช่นนี้หรือ?”
ชายชราเม้มปากนิ่ง ซึ่งก็เป็นการยอมรับกลาย ๆ
ซึ่งนี่ทำให้เว่ยเซียวเฟิงยิ่งโกรธเคืองกว่าเก่า ความถือดีในคนหนุ่มวัยแรกรุ่นทำให้เขาไม่ยอมรับความผิดของตนเอง ดังนั้นจึงตะโกนขึ้นว่า “พี่หญิง พวกนั้นก็แค่ขอบเขตเซียนปฐพีสองคนเองไม่ใช่หรือไร? ตระกูลเว่ยของเราจำเป็นต้องกลัวด้วยหรือ? ท่านตบข้าเพียงเพราะคำพูดแค่ไม่กี่คำ ข้าไม่ยอมรับแน่!”
“เจ้า…” เว่ยหลานโกรธจนร่างสั่นเทิ้ม นางไม่เคยคิดเลยว่าน้องชายที่ปกติฉลาดเฉลียวจะโง่เง่าได้ถึงขนาดนี้
“คุณหนูโปรดระงับความโกรธลงก่อนเถิดขอรับ นี่เป็นครั้งแรกที่คุณชายออกมานอกตระกูล ยังไม่รู้ความเป็นไปของโลกภายนอกเท่าไรนัก” ชายชรารีบปลอบ
“ไม่รู้ความเป็นไปของโลกภายนอก?” เว่ยหลานยังไม่ทันหายโกรธ เว่ยเซียวเฟิงชูคอตะโกนเสียงดัง “พวกท่านก็เอาแต่ดูถูกข้า! ข้าทนไม่ไหวแล้วนะ!”
ว่าแล้วเขาก็หันไปตะโกนเสียงขรึม “องครักษ์ข้าอยู่ไหน? มากับข้าแล้วไปช่วยทหารองครักษ์วิญญาณเจียงสังหารไอ้สารเลวสองตัวนั่นซะ! ให้มันได้รู้ซึ้งถึงอำนาจตระกูลเว่ยของเรา!”
น้ำเสียงเขายังไม่ทันแตกหนุ่มจึงมีโทนสูงพอสมควร เผยให้เห็นถึงความโกรธสะท้อนไปทั่ว
แต่น่าประหลาดที่ไม่มีใครตอบกลับมาเลย!
เช่นนี้ยิ่งทำให้เว่ยเซียวเฟิงโกรธเกรี้ยวยิ่งกว่าเก่า รู้สึกว่าถูกท้าทายอำนาจยิ่งนัก เขาโกรธจนตัวสั่นแล้วคำรามเสียงดังลั่น “คนอื่นไปไหนกันหมด? ตายไปกันหมดแล้วหรือไร?!”
“พอได้แล้ว!” เว่ยหลานเงื้อมือจะตบเขาอีกครั้ง แต่เมื่อเห็นว่าน้องชายโกรธเกรี้ยวและไม่ยอมใครเช่นนั้น นางก็อดรู้สึกลังเลไม่ได้จึงตบเขาไม่ลง
“บัดซบ! พวกเจ้าทุกคนมันบัดซบ!” เว่ยเซียวเฟิงอกตัญญูยิ่งนัก ใบหน้าเขาบิดเบี้ยวไปหมดแล้วในเวลานี้
“สหายน้อย ไม่คิดว่าเจ้ามันไร้ประโยชน์เพราะต้องยืมมือคนอื่นสังหารคนบ้างหรือ?” พร้อมกันนั้นก็มีน้ำเสียงแผ่วเบาลอยมาเข้าหูเขา
“ใครกัน? เป็นไอ้บัดซบตัวไหนกัน!? ข้าคือคุณชายเจ็ดผู้สูงส่งแห่งตระกูลเว่ย! จะสั่งสอนข้าสักหน่อยไหมเล่า? ไอ้…” เว่ยเซียวเฟิงหันกลับไป แต่ก็ต้องตกใจสุดขีดเมื่อเห็นเจ้าของน้ำเสียงชัดเจน จึงไม่อาจเอ่ยคำที่กำลังจะพูดออกมาได้อีก
บนดาดฟ้าเรือ เฉินซีส่งสายตาเรียบเรื่อยมองเด็กหนุ่ม เขาตัวสูงโปร่ง มีใบหน้าหล่อเหลา นัยน์ตาล้ำลึกดั่งประตูนำทางสู่นรก อีกทั้งยังมีท่าทางไม่ธรรมดา เผยกลิ่นอายดุดันออกมาจนทำให้ไม่กล้าขยับ
“เจ้า…เจ้า…” เว่ยเซียวเฟิงสั่นเทิ้มไปทั่วทั้งร่างเมื่อเห็นสายตานั้น ตัวคนรู้สึกราวกับตกลงไปในบ่อน้ำเย็น ความโกรธเกรี้ยวทั้งหลายในใจสลายหายไปสิ้น มีเพียงความหวาดกลัวที่เข้ามาแทนที่
คนผู้นี้ไม่ใช่คนชั่ว แต่กลับมีกลิ่นอายที่น่าสะพรึงกลัวเสียยิ่งกว่าปีศาจ เป็นความรู้สึกที่ทำให้เข่าอ่อนแทบทรุดลงกับพื้น
หลังจากเว่ยหลานชะงักไปครู่หนึ่ง นางก็รีบก้าวเข้ามาปกป้องน้องชายไว้ด้านหลัง จากนั้นจ้องเฉินซีด้วยใบหน้าเคร่งเครียด เพราะเกรงว่าอีกฝ่ายจะโจมตีอย่างไม่ปรานี
เพราะอย่างไรการกระทำของเว่ยเซียวเฟิงเมื่อครู่ก็นับว่ามากเกินควร หากผู้เยี่ยมยุทธ์ผู้นี้เป็นคนอารมณ์ร้อนสักหน่อยคงสังหารเขาทิ้งอย่างไร้ความลังเลไปแล้ว
ในสายตานาง เฉินซีย่อมเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ผู้มีวิชาน่าเกรงขาม ส่วนเรื่องอารมณ์ร้อนหรือไม่นางไม่ทราบ เพราะใจนางในตอนนี้เต็มไปด้วยความกระวนกระวายและความหวาดกลัวยิ่ง
แต่ทันใดนั้น เว่ยหลานก็นึกอะไรขึ้นมาได้ เมื่อครู่เขาต่อสู้อยู่ไม่ใช่หรือ เหตุใดจึงมาอยู่ตรงนี้ได้? หรือว่า… ถ้าเห็นข้อความนี้จากที่อื่นโปรดกลับมาเยี่ยมเราบ้างนะ ขอบคุนจ้า
เมื่อคิดถึงตรงนี้ นางก็ลากสายตาไปมองเส้นทางหมื่นดาราที่อยู่ไกล ๆ ใจพลันหล่นวูบ เพราะทะเลตรงนั้นถูกย้อมไปด้วยสีแดงเลือด แต่กลับไม่เห็นทหารองครักษ์วิญญาณเจียงสักนาย!
หรือก็คือภายในเวลาไม่ถึงเค่อหนึ่ง ทหารองครักษ์วิญญาณเจียงทั้งหนึ่งร้อยยี่สิบเก้านาย และแม่ทัพทั้งสามซึ่งอยู่ขอบเขตเซียนปฐพีระดับแปดได้ถูกกำจัดไปสิ้นแล้ว!
ร่างนางแข็งทื่อ ใบหน้าซีดขาว สายตาที่จับจ้องมองทางเฉินซีเต็มไปด้วยความหวาดกลัวสุดขีด
“สหายเต๋า คุณชายตระกูลข้ายังเด็กนัก ยังขลาดเขลาไม่รู้ความ หวังว่าท่านจะระงับความโกรธได้” ชายชราเองก็มีสีหน้าประหลาดใจเช่นกัน รีบสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วก้าวเข้ามาเอ่ยด้วยน้ำเสียงขอโทษขอโพยโดยเร็ว
“เขายังเด็กมากจริง ๆ ข้าก็นึกว่าจะมีผู้มีความสามารถไม่ธรรมดาปรากฏขึ้นในตระกูลเว่ยแห่งวิถีมนุษย์เสียอีก แต่ดูท่าจะเป็นแค่สหายน้อยที่ยังขาดประสบการณ์และยังเด็กมากคนหนึ่งเท่านั้น” เฉินซีส่ายหัวแล้วเก็บสายตากลับไป
เว่ยหลานกับเว่ยเซียวเฟิงพากันถอนหายใจโล่งอก เพราะแค่ถูกเฉินซีจ้องมองก็น่ากลัวมากพอแล้ว เหมือนเป็นนักโทษที่กำลังรอคำตัดสินอย่างไรอย่างนั้น
“จะปล่อยไปเช่นนั้นหรือ?” เป้ยหลิงถามจากทางด้านข้าง พูดไปนางก็กวาดสายตาเย็นชาไปทางเว่ยเซียวเฟิง ทำเอาเด็กหนุ่มกลัวจนปากสั่น วิญญาณแทบหลุดออกจากร่าง
นางพูดจบ ทุกคนก็รู้สึกประหม่าขึ้นมาทันที เพราะไม่คิดว่าหญิงสาวเย็นชานางนี้จะรับมือยากกว่าชายหนุ่มเสียอีก
“ช่างมันเถอะ ก็แค่สหายน้อยไม่รู้ความคนหนึ่งเท่านั้น เราไปเถอะ” เฉินซีส่ายหน้าแล้วหันหลังเดินจากไป
“เดี๋ยวก่อน!” เว่ยหลานร้องขึ้น
เฉินซีขมวดคิ้วก่อนถามกลับโดยไม่หันกลับมา “มีอะไรอีก?”
เว่ยหลานสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วโค้งคำนับขอโทษ “ก่อนหน้านี้น้องชายข้าปากพล่อย เอ่ยวาจายโสโอหัง ขอบคุณผู้อาวุโสที่มีความเมตตาและไว้ชีวิตพวกเรา”
“ไม่จำเป็นต้องขอบคุณหรอก แค่สอนน้องชายเจ้าให้ดีก็พอ” เฉินซีโบกมือ
“ขอถามผู้อาวุโสว่าท่านมาจากภพมนุษย์หรือ?” เว่ยหลานพลันถามขึ้น
คำถามนี้ทำให้เฉินซีที่คิดจะเดินจากไปหยุดกะทันหัน ต้องหันกลับมามองหญิงสาวผู้มีความงดงามและความสง่างามคนนั้นอีกครั้ง “อ้อ เจ้ารู้ได้อย่างไรกัน?”
เว่ยหลานถอนหายใจโล่งอก จากนั้นสีหน้าสงบก็กลับคืนมา “ได้ยินมาว่าผู้อาวุโสตั้งใจท้าทายราชาฉู่เจียงเพื่อช่วยหญิงสาวคนหนึ่งจากภพมนุษย์ ข้าจึงเดาว่าผู้อาวุโสเองก็คงมาจากภพมนุษย์เช่นกัน”
นางหยุดไปเล็กน้อยก่อนจะหยิบถ้วยกลมสีดำเมื่อม ซึ่งเต็มไปด้วยอักขระยันต์นับไม่ถ้วนสลักขดไปมา นางยกมันขึ้นด้วยสองมือแล้วกล่าวว่า “หลังจากผู้อาวุโสช่วยเหลือสหายได้แล้ว ข้าเดาว่าท่านคงคิดจะกลับภพมนุษย์ ของสิ่งนี้เป็นสิ่งที่วิถีมนุษย์ของข้าคิดค้นขึ้น เรียกว่าเข็มทิศวิญญาณหวนกลับ สามารถเปิดเส้นทางสู่ภพมนุษย์ได้ หวังว่าผู้อาวุโสจะรับไว้เพื่อตอบแทนความเมตตา”
เฉินซีอึ้งไป ไม่คิดว่าจะบังเอิญได้รับสมบัติล้ำค่าเช่นนี้ได้
ว่ากันตามตรงแล้ว เขายังกังวลอยู่ว่าตนเองจะกลับภพมนุษย์อย่างไรดี หากเขามีเข็มทิศวิญญาณหวนกลับนี่อยู่ก็คงช่วยแก้ปัญหาในมือเขาได้พอดี
วิถีมนุษย์เป็นวิถีหนึ่งในหกวิถีสังสารวัฏ ซึ่งรับหน้าที่ดูแลการเวียนว่ายตายเกิดไปสู่ภพมนุษย์ ดังนั้นจึงไม่แปลกที่วิถีมนุษย์จะมีเครื่องมือมหัศจรรย์อย่างเข็มทิศวิญญาณหวนกลับ
“ขอบใจมาก สมบัตินี่ย่อมเป็นประโยชน์ต่อข้าอย่างยิ่ง อืม ข้าได้ยินว่าพวกเจ้าต้องการไปอีกฝั่งของทะเลทุกข์ หากไม่ติดใจอะไรก็สามารถติดตามข้ามาได้” เฉินซีคิดไม่นานก่อนจะรับเข็มทิศวิญญาณหวนกลับมา จากนั้นก็เอ่ยขึ้นเสียงสบายอารมณ์แล้วหันหลังเดินจากไปพร้อมกับเป้ยหลิง
ทันทีที่พวกเขาเดินจากไปแล้ว เว่ยหลานและคนอื่น ๆ ก็ถอนหายใจโล่งอกออกมาเฮือกใหญ่ ถึงตอนนี้จึงได้สังเกตว่าเสื้อผ้าอาภรณ์บนร่างชุ่มไปด้วยเหงื่อเย็น
“พี่หญิง เราจะตามพวกนั้นไปหรือ?” เว่ยเซียวเฟิงถามเสียงอ่อนด้วยใบหน้าซีดขาว บนใบหน้าไม่หลงเหลือความยโสโอหังอยู่อีก เห็นได้ชัดว่าเหตุการณ์เมื่อครู่ทำเอาเขาตกใจกลัวยิ่ง
“ใช่แล้ว” เว่ยหลานนัยน์ตาเป็นประกายฉลาดเฉลียว “หากไม่อยากพลาดโอกาสขอราชาเปี้ยนเฉิงเป็นอาจารย์ละก็ เช่นนั้นก็ติดตามผู้อาวุโสไปย่อมเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด”
แต่มีอีกอย่างหนึ่งที่นางไม่อาจพูดออกมาได้ เหตุผลที่นางส่งเข็มทิศวิญญาณหวนกลับซึ่งเป็นของหายากกระทั่งในวิถีมนุษย์เองให้อีกฝ่ายไป ก็เป็นเพราะนางต้องการโอกาสนี้นั่นเอง!
นางเชื่อว่าผู้อาวุโสท่านนั้นย่อมหยั่งรู้เจตนาตนได้ ดังนั้นจึงเอ่ยคำพูดเหล่านั้นออกไป
‘อีกทั้งนางยังสงสัยยิ่งนักว่าเขาจะสามารถช่วยเหลือหญิงสาวมาได้หรือไม่ อย่างไรราชาฉู่เจียงก็เป็นเซียนทองคำเชียวนะ…’ เว่ยหลานคิดคำนึงอยู่ภายในใจ