บทที่ 980 ผลึกทุกข์แห่งการลืมเลือน
บทที่ 980 ผลึกทุกข์แห่งการลืมเลือน
ต่อมาเฉินซีได้ค้นพบในภายหลังว่าเผ่ายักษามีอุปนิสัยเช่นนี้อยู่เสมอ และพวกเขามักจะประกาศนามตนเองก่อนการต่อสู้ทุกครั้ง เพื่อใช้ข่มขวัญศัตรู
นี่คือธรรมเนียมของเผ่ายักษา และมันประทับลึกอยู่ในสายเลือดของพวกเขาทุกคน
แต่ในสายตาของผู้เยี่ยมยุทธ์ส่วนใหญ่ นี่เป็นเรื่องน่าขบขัน และถึงขนาดที่บางคนกล่าวติดตลกว่า ถ้าใครอยากรู้ว่ายักษาตั้งใจจะต่อสู้กับใครคนหนึ่งหรือไม่ สิ่งที่ต้องทำก็คือ เพียงดูว่ายักษาจะประกาศนามของตนหรือไม่
แต่เห็นได้ชัดว่าเผ่ายักษาไม่คิดเช่นนั้น พวกเขากลับรู้สึกว่าการถูกขัดจังหวะในระหว่างที่ประกาศนามนั้น เป็นเรื่องที่เสียมารยาท และเป็นการเหยียบย่ำศักดิ์ศรีของพวกเขามากที่สุด
ดังนั้นหลังจากถูกเฉินซีขังจังหวะในระหว่างที่ประกาศนาม อากู่หลัวจึงโกรธเกรี้ยวเป็นอย่างมาก ดวงตาของเขาเบิกกว้าง ในขณะที่ใบหน้าบิดเบี้ยวเผยความป่าเถื่อน จากนั้นเจ้าตัวก็คำรามเสียงดังสนั่น ในขณะที่เหวี่ยงง้าวสีแดงเข้มในมือลงไปที่ศีรษะของเฉินซี
ขวับ!
ง้าวพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า และฟันลงมาราวกับสายฟ้าสีแดงเลือด การโจมตีของเขากวาดเป็นวงกว้าง เผยอานุภาพที่รุนแรงเสียจนทำให้ภูเขาโดยรอบพังทลายเป็นเสี่ยง ๆ ขณะที่แรงอัดอากาศพุ่งเข้าใส่เฉินซีอย่างดุเดือด
ทันใดนั้น ฟ้าดินทั้งหมดดูเหมือนจะถูกลากลงไปในทะเลสีแดงเลือด เสียงร้องโหยหวนและเสียงคร่ำครวญของดวงวิญญาณสามารถได้ยินจากทั่วทุกหนแห่ง เลือดพุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า กวาดไปทั่วบริเวณโดยรอบ
ร่างของเฉินซียังคงไม่ขยับเมื่อเผชิญหน้ากับสิ่งนี้ เขาเพียงยกแขนขวาขึ้น ก่อนนิ้วจะรวบเข้าหากันเป็นกระบี่ จากนั้นชายหนุ่มจึงสับฝ่ามือลงไป ทำให้เกิดปราณกระบี่ที่ล้ำลึกและยากหยั่งถึงตัดผ่านอากาศ
“หืม?”
ดวงตาของเป้ยหลิงหรี่ลง ก่อนความตกใจจะพุ่งออกมาจากทุกคนโดยรอบ เนื่องจากนางสัมผัสถึงพลังแห่งการเข่นฆ่าที่เกือบจะเหมือนกับการพิพากษาในการโจมตีครั้งนี้ของเฉินซีได้อย่างชัดเจน มันเหมือนกับการลงโทษประหารชีวิตต่อคนบาปที่ไม่เคารพเต๋าแห่งสวรรค์ อีกทั้งยังมีกลิ่นอายที่น่าเกรงขาม สังหาร และไร้ความปรานี
ความลึกล้ำของเต๋ารู้แจ้งแห่งการพิพากษา!
แบ่งแยกหยินหยาง!
ฟู่!
เสียงแหลมที่ฟังดูราวกับผ้าถูกฉีกออกจากกันดังก้องออกมา จากนั้นเมื่อนิ้วของเฉินซีฟันลงไป ไม่ว่าจะทะเลโลหิต คลื่นโลหิต หรือว่าฟ้าดินก็ถูกผ่าออกเป็นสองส่วน มันเหมือนกับว่าเขาฟันผ่านหยินและหยาง แบ่งแยกดำขาว อีกทั้งมันยังทรงพลังยิ่ง ด้วยขณะที่ฟันลงไป… มันไม่ได้เผชิญกับการต่อต้านใดเลย!
การโจมตีเพียงครั้งเดียวก็ทำลายการโจมตีอันเกรี้ยวกราดของอากู่หลัวได้
“พลังแห่งการพิพากษา! นี่เป็นมรดกสืบทอดของกรมราชทัณฑ์ที่ไม่เคยตกทอดถึงคนนอก แล้วเจ้าบ่มเพาะมันได้อย่างไร!?” ร่างของอากู่หลัวแวบไปด้านข้าง ในขณะที่สีหน้าของเขาเผยความประหลาดใจและงุนงงเล็กน้อย
เนื่องจากตัวเขารู้ดีว่า แม้แต่ในกรมราชทัณฑ์ พลังที่แท้จริงของการพิพากษาก็ยังเป็นสิ่งที่ไม่มีใครสามารถเข้าใจและควบคุมได้
ซึ่งเมื่อเร็ว ๆ นี้ข่าวของเด็กสาวในตระกูลชุย ที่เข้าใจความลึกล้ำของการพิพากษาได้แพร่กระจายออกไป และสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งใต้หล้า ถ้าไม่ใช่เพราะเรื่องนี้ แล้วราชาฉู่เจียงผู้เป็นนายของเขาจะคืนเข็มทิศปรโลกให้กับตระกูลชุยได้อย่างไร?
ในแง่หนึ่งเขากลัวความแข็งแกร่งของบรรพบุรุษตระกูลชุย และก็เป็นเพราะพรสวรรค์ของเด็กสาวคนนั้นน่าตกใจเกินไป เมื่อนางเติบใหญ่ขึ้น บางทีนางอาจจะเป็น ‘มหาตุลาการชุย’ อีกคนที่ควบคุมยมโลกก็เป็นได้!
ภายใต้สถานการณ์ดังกล่าว ราชาฉู่เจียงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องส่งมอบเข็มทิศปรโลกคืนมา เนื่องจากเขากลัวอย่างยิ่งว่าจะทำให้ตระกูลชุยขุ่นเคือง
“อย่าได้กล่าววาจาไร้สาระ ข้าไม่สนใจที่จะตอบคำถามของเจ้า และข้าไม่สนใจที่จะรู้นามของเจ้าด้วย” รอยยิ้มเย็นชาพลันปรากฏขึ้นที่ริมฝีปากของเฉินซี เขากล่าวอย่างเฉยเมยว่า “อย่าได้เสียเวลาอีกต่อไป พวกเจ้าทุกคนเข้ามาหาข้าพร้อมกันซะ”
ทันทีที่กล่าวจบ ยักษาทุกคนที่อยู่ที่นี่ก็อดไม่ได้ที่จะเบิกตากว้าง จ้องมองราวกับว่ากำลังมองดูตัวโง่งม
“เข้ามาพร้อมกันหรือ??”
“คนผู้นี้ไม่หยิ่งผยองเกินไปหรือ? เขาคิดว่าเราทุกคนเป็นเพียง ‘ลูกพลับสุก’ ที่เขาสามารถบีบได้ตามต้องการหรือไร?”
ทันใดนั้น ความโกรธอันไร้ขอบเขตก็พลุ่งพล่านขึ้นในใจของยักษาทุกตน ทำให้กลิ่นอายของพวกมันรุนแรง เกรี้ยวกราด และแทบจะคลุ้มคลั่ง
“รนหาที่ตาย! เจ้ากำลังรนหาที่ตายอย่างแท้จริง! เจ้ามนุษย์! เจ้าจะต้องชดใช้สำหรับความเย่อหยิ่งและความโง่เขลาของเจ้า!” อากู่หลัวกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ และกลิ่นอายดุดันของเขาก็พุ่งออกมาราวกับเทพอสูร
แต่เฉินซีกลับทำท่าทางราวกับว่าไม่ได้ยินเรื่องนี้ จากนั้นเขาก็กล่าวอย่างใจเย็นว่า “เจ้าว่ากระไรนะ? การรวมกลุ่มต่อสู้เผชิญกับข้าเป็นการทำร้ายศักดิ์ศรีของพวกเจ้าหรือ? เช่นนั้นขอคำชี้แนะด้วย”
พลังสังหารที่ไร้ความปรานีได้ปรากฏขึ้นที่ปลายนิ้วของเฉินซี ทันใดนั้น ดูเหมือนร่างกายของเขาได้กลายเป็นตุลาการ ซึ่งเย็นชาและไม่แยแส ในขณะที่ตวัดปลายนิ้วออกไปเบา ๆ
ฉับ!
ศีรษะถูกปลิดสะบั้น!
ก่อนทุกคนจะทันได้ตอบสนองต่อสิ่งนี้ ร่างสูงใหญ่ของเฉินซีก็สว่างวาบและพร่ามัว จากนั้นเขาก็กลายเป็นภาพติดตามากมาย ในขณะที่กระโจนเข้าใส่กลุ่มของยักษา
ร่างเงาของชายหนุ่มสั่นไหว ดูเหมือนจะเคลื่อนผ่านห้วงมิติไปเป็นชั้น ๆ
ร่างของเขาวูบไหวไปมาและยึดติดกับสิ่งรอบข้างไว้
ขณะนี้นิ้วของเฉินซีเป็นเหมือนกระบี่ที่อาบไปด้วยอำนาจแห่งการพิพากษา ระเบิดออกท่ามกลางกลุ่มยักษา!
แบ่งแยกหยินหยาง!
พิพากษาโลกา!
ล้างบางอธรรม!
พิพากษาความดีและความชั่ว!
แยกแยะถูกผิด!
ทุกสรรพสิ่งมีกฎ!
นอกจากกระบวนท่าที่เจ็ด ‘ดาบแห่งคำบัญชา’ ซึ่งเป็นศาสตร์เต๋าสูงสุดของเจ็ดกระบวนท่าแห่งการพิพากษาที่เฉินซีสืบทอดมาจากหน้าที่สามในระเบียนแดนมรณะ กระบวนท่าอื่นต่างถูกใช้ออกมาได้อย่างราบรื่น และชายหนุ่มสามารถสังหารศัตรูโดยไม่พบกับการต่อต้านใด ๆ!
เลือดพุ่งกระฉูด ในขณะที่แขนขาขาดกระเด็น และเกิดเสียงร้องโหยหวนดังก้องออกไป ฟ้าดินที่กว้างใหญ่นี้ดูจะกลายเป็นสถานที่แห่งการพิพากษา ซึ่งเฉินซีกำลังเก็บเกี่ยวชีวิตแล้วชีวิตเล่า ทำการพิพากษาคนบาปที่ไม่เคารพเหล่านี้!
ยักษาบางตนไม่สามารถทนต่อความหวาดกลัวเช่นนี้ได้ และตั้งใจที่จะหลบหนี แต่ในพริบตาต่อมา ศีรษะของพวกมันก็ถูกฟันจนขาดกระเด็น ล้มตายกับพื้นทันที
บางตนพยายามที่จะแลกชีวิต แต่ร่างกายทั้งหมดของพวกมันถูกหั่นเป็นพัน ๆ ชิ้น ก่อนที่พวกมันจะเข้าใกล้เฉินซีได้เสียอีก ทำให้เกิดสายฝนเลือดโปรยปรายลงมา
ฉากเหล่านี้ทั้งน่าสยดสยอง ไร้ความปรานี และโหดร้ายเกินไป ทำให้ผู้อื่นทนดูไม่ได้
“ปรากฏว่าสมบัติที่ตระกูลชุยสูญเสียไปนั้นถูกเขาเอาไป…” ในระยะไกล เป้ยหลิงจ้องมองไปยังเหตุที่น่าสยดสยองอย่างยิ่ง และเบนไปมองร่างสูงที่กำลังเข่นฆ่าอย่างไร้ความปรานี ทำให้นางหวนนึกถึงเหตุการณ์ในช่องเขานอกเมืองภูษาไหมม่วงแทน
ในเวลานั้น เฉินซีบอกว่าเขาจะช่วยนางระบายความขุ่นเคือง
นางคิดว่าเขาแค่ล้อเล่นเพื่อปลอบใจนาง แต่เขากลับทำสำเร็จจริง ๆ ทำให้นางตื้นตันใจและมีความสุข
แต่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น นางไม่เคยคิดมาก่อนว่าเขาจะเอาสมบัติล้ำค่าลึกลับที่อยู่ในดินแดนเร้นลับในสุสานบรรพบุรุษของตระกูลชุย ซึ่งตกทอดมาจากบรรพบุรุษคนแรกของตระกูลชุย!
ถ้าไม่ใช่สมบัติชิ้นนั้น แล้วเฉินซีจะเข้าใจความลึกล้ำของการพิพากษาได้อย่างไร?
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ ริมฝีปากของเป้ยหลิงก็อดไม่ได้ที่จะเผยรอยยิ้ม “คนผู้นี้แสดงท่าทีราวกับว่าเขาไม่ได้เกลียดตระกูลชุย แต่เขากลับเป็นคนที่ไร้ความปรานียิ่งกว่าใครในที่ลับ แต่ข้าก็ชอบมัน!”
แม้แต่ตัวเป้ยหลิงเองก็ไม่ได้สังเกตว่ารอยยิ้มเล็ก ๆ บนใบหน้าที่เย็นชาและงดงามของนางนั้นเปล่งประกายเจิดจรัสเพียงใดในขณะนี้ ราวกับว่ามันได้ช่วงชิงความสดใสของโลกไป และทำให้ทุกสิ่งตกอยู่ในเงามืด
…
“มันคือความลึกล้ำของการพิพากษา!”
“เต๋าแห่งการคำพิพากษา? นั่นไม่ใช่ความลับต้องห้ามของกรมราชทัณฑ์ที่ไม่ถ่ายทอดให้บุคคลภายนอกมิใช่หรือ?”
“ใช่!”
“ปะ…เป็นไปได้อย่างไรกัน?”
ไกลออกไปจากสนามรบ กองเรือของตระกูลเว่ยได้ทอดสมอหยุดอยู่ที่นั่น เว่ยหลาน เว่ยเซียวเฟิง และชายชรายืนอยู่ที่หัวเรือ ขณะที่พวกเขามองไปยังสนามรบที่น่าสยดสยองราวกับนรกนองเลือด และใบหน้าของทุกคนก็เต็มไปด้วยตกใจ
คำพิพากษา!
นอกจากมหาเต๋าแห่งปารมิตา มหาเต๋าแห่งการลืมเลือน และมหาเต๋าแห่งจุดจบแล้ว นี่เป็นมหาเต๋าที่ยอดเยี่ยมที่สุดในยมโลกที่เปี่ยมล้นด้วยอานุภาพแห่งการฆ่าฟันและไร้ความปรานีมากที่สุด ซึ่งในความเป็นจริง ไม่มีใครสามารถหยั่งรู้ถึงมันได้ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
ทว่าตอนนี้ไม่เพียงเด็กสาวในตระกูลชุยเท่านั้นที่หยั่งรู้ถึงมัน แม้แต่ผู้บ่มเพาะจากภพมนุษย์คนนี้ก็หยั่งรู้ถึงมันเช่นกัน แล้วพวกเขาจะไม่ตกใจได้อย่างไร?
“คุณหนู ท่านจำเคล็ดวิชาที่เขาใช้ตอนที่ฆ่ายักษาตนแรกได้หรือไม่?” ทันใดนั้นชายชราก็กล่าวด้วยเสียงต่ำ
สิ่งนี้ทำให้เว่ยหลานตกตะลึงเล็กน้อย จากนั้นนางก็ครุ่นคิดอย่างลึกซึ้งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวด้วยความประหลาดใจและงุนงงว่า “ดูเหมือนว่าจะ…เป็น…”
“ใช่แล้ว มันคือเส้นทางที่สว่างไสวด้วยเปลวไฟ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ผู้เยี่ยมยุทธ์จากภพมนุษย์คนนี้ได้บรรลุเต๋ารู้แจ้งแห่งปารมิตาจนถ่องแท้เช่นกัน!” ดวงตาของชายชราเป็นประกาย ในขณะที่น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความประหลาดใจและความชื่นชม
“เต๋ารู้แจ้งแห่งการพิพากษา เต๋ารู้แจ้งแห่งปารมิตา… เป็นไปได้อย่างไรกัน” เว่ยหลานรู้สึกอยู่เสมอว่าสติปัญญาของนางนั้นไม่เลว แต่ในขณะนี้ นางรู้สึกว่าสติปัญญาของตนยังไม่เพียงพอ
จนนางไม่รู้ด้วยซ้ำว่าวันนี้ตนได้กล่าวคำว่า ‘เป็นไปได้อย่างไรกัน’ ซ้ำไปซ้ำมากี่ครั้งแล้ว!
เมื่อหลายปีก่อน มหาตุลาการชุยได้อาศัยความลึกล้ำของเต๋ารู้แจ้งแห่งการพิพากษา เพื่อออกอาละวาดไปทั่วใต้หล้าได้อย่างไร้สิ่งขวากหนาม ทำให้สามารถปกครองเหนือหกวิถีสังสารวัฏ และยืนหยัดอยู่ใต้จักรพรรดิยมโลกเท่านั้น!
เต๋ารู้แจ้งแห่งปารมิตาของโถงน้ำพุยมโลก เป็นหนึ่งในสามเต๋ารู้แจ้งสูงสุดของยมโลก และจนถึงตอนนี้ มีเพียงมหาจักรพรรดิน้ำพุยมโลกคนปัจจุบันเท่านั้นที่สามารถบรรลุจนถ่องแท้
แต่ ณ ตอนนี้ เต๋ารู้แจ้งสูงสุดทั้งสองกับถูกผู้เยี่ยมยุทธ์ที่มาจากภพมนุษย์หยั่งถึง และสิ่งนี้ทำลายสามัญสำนึกในอดีตทั้งหมดของเว่ยหลาน ทำให้จิตใจของนางได้รับผลกระทบอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน
“เขาน่าเกรงขามจริงหรือ?” เว่ยเซียวเฟิงถามด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง
“อย่างน้อยที่สุด ไม่มีตัวตนอื่นใดในยมโลกที่สามารถเทียบเคียงเขาได้ และมันคงไม่มากเกินไปที่จะถือว่าเขาไร้เทียมทานในโลกนี้” ชายชราถอนหายใจด้วยอารมณ์
เว่ยหลานพึมพำ “ข้าได้ยินมาว่าเมื่อจักรพรรดิยมโลกองค์ที่สามสิ้นพระชนม์เมื่อหลายปีก่อน เขาได้ทิ้งสมบัติอันล้ำค่าไว้ ซึ่งคือระเบียนแดนมรณะและพู่กันพิพากษามารไว้ในภพมนุษย์ ทำให้ทวยเทพทั้งหมดในโลกไม่สามารถค้นพบมันได้ ท่านลุงอวิ๋น ท่านคิดว่าสมบัติล้ำค่าทั้งสองชิ้นนี้ได้ตกอยู่ในมือของผู้เยี่ยมยุทธ์จากภพมนุษย์คนนี้หรือไม่?”
“ระเบียนแดนมรณะและพู่กันพิพากษามาร?” ชายชราตกตะลึง
“เป็นไปไม่ได้! ถ้าเขาเป็นผู้สืบทอดของจักรพรรดิยมโลกองค์ที่สาม เขาคงถูกเหล่าทวยเทพและพุทธองค์ของโลกไล่ล่าและสังหารไปแล้ว เช่นนั้นเขาจะมีชีวิตรอดมาจนถึงตอนนี้ได้อย่างไร” ก่อนที่ชายชราจะตอบ เว่ยหลานได้ปฏิเสธความคิดของตัวเอง เพราะนี่เป็นกฎเหล็กที่ทุกสิ่งมีชีวิตในยมโลกยอมรับกันทั่ว ไม่ว่าจะวัตถุใดหรือบุคคลที่เกี่ยวข้องกับจักรพรรดิยมโลกองค์ที่สาม จะต้องประสบกับการทำลายล้างอย่างโหดเหี้ยม!
“พี่หญิง ดูนั่นสิ เร็วเข้า! การต่อสู้ได้สิ้นสุดลงแล้ว!” เว่ยเซียวเฟิงร้องออกมา
เว่ยหลานกับชายชรากลับมารู้สึกตัวจากความคิดที่ไม่เป็นระเบียบในทันที
…
“รูปลักษณ์ของเจ้าก่อนหน้านี้ช่างน่าสะพรึงกลัวเสียจริง” เป้ยหลิงกล่าวขณะจ้องมองเฉินซีซึ่งเดินมาเข้าพร้อมกับเสื้อผ้าอาบชุ่มไปด้วยเลือด ก่อนจะถอนหายใจด้วยความโล่งอก เพราะนางไม่ชอบเฉินซีที่กลายเป็นคนเย็นชาและไร้อารมณ์จากความล้ำลึกของคำพิพากษาเอาเสียเลย
เฉินซียิ้มและกล่าวว่า “ข้าไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องไร้ความปรานี เมื่อต้องรับมือกับศัตรูของข้า”
ในขณะที่กล่าว ชายหนุ่มก็พลิกมือเพื่อหยิบวัตถุบางอย่างออกมา มันดูเหมือนหยกแต่ก็ไม่ใช่หยก ดูเหมือนเหล็กแต่ก็ไม่ใช่เหล็ก และพื้นผิวของมันถูกปกคลุมด้วยอักขระอย่างหนาแน่น มีขนาดเท่าหัวแม่มือ เป็นผลึกสมบูรณ์และโปร่งแสง ซึ่งถูกปกคลุมไปด้วยแสงที่ขุ่นมัว
“เจ้ารู้จักสิ่งนี้หรือไม่” เฉินซีเอ่ยถาม เพราะนี่คือวัตถุที่เขาได้มาจากแม่ทัพยักษาอากู่หลัว และเหตุผลที่มันดึงดูดความสนใจของชายหนุ่ม ก็เพราะมันมีเศษเสี้ยวของกลิ่นอายเต๋ารู้แจ้งแห่งการลืมเลือน ซึ่งกลิ่นอายนี้ถูกกักเก็บไว้ภายในตัวมัน และเป็นไปไม่ได้เลยที่จะสังเกตเห็นมันจากรูปลักษณ์ภายนอกเช่นนี้
ถ้าไม่ใช่เพราะเขาได้หยั่งรู้ถึงเต๋ารู้แจ้งแห่งการลืมเลือนเมื่อนานมาแล้ว ชายหนุ่มคงเกือบจะโยนวัตถุนี้ทิ้งไป
“นี่ดูเหมือนจะเป็น…” คิ้วของเป้ยหลิงขมวดเข้าหากัน ขณะที่นางค่อย ๆ ตรวจสอบมันเป็นเวลานาน จากนั้นหญิงสาวพลันแสดงอาการตกใจออกมา ขณะที่กล่าวว่า “มีเศษเสี้ยวความลึกล้ำแห่งการลืมเลือนอยู่ในนั้นหรือ?”
เฉินซีพยักหน้าและกล่าวว่า “เจ้าพอจะรู้จักวัตถุนี้หรือไม่?”
เป้ยหลิงมีสีหน้าตื่นเต้นขณะที่นางกล่าวว่า “นี่คือผลึกทุกข์แห่งการลืมเลือนที่มีชื่อเสียงในยมโลก! แม้ว่าข้าจะไม่เคยเห็นมาก่อน แต่ข้าเคยได้ยินเรื่องของมันมานักต่อนัก!”
“ผลึกทุกข์เข็ญแห่งการลืมเลือนหรือ?”
ดวงตาของเฉินซีทอประกายวาบ ในขณะที่เขาครุ่นคิดในใจว่า ‘นี่คงไม่ใช่สมบัติล้ำค่าที่คล้ายกับผลปารมิตาหรอกใช่หรือไม่?’