บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน – บทที่ 983 จิตวิญญาณการต่อสู้อันลุกโชน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 983 จิตวิญญาณการต่อสู้อันลุกโชน

บทที่ 983 จิตวิญญาณการต่อสู้อันลุกโชน

ณ น่านน้ำไร้ผ่าน

หลังจากข้ามผ่านทะเลอันกว้างใหญ่นี้แล้ว จะต้องเดินทางต่ออีกสามชั่วยามเพื่อไปยังอีกฟากหนึ่งของทะเลทุกข์

“ดูเหมือนว่านี่จะเป็นแนวป้องกันสุดท้ายที่ราชาฉู่เจียงสร้างขึ้น…” ภายในห้องโดยสารของเรือเหาะสมบัติ เฉินซีกำลังใช้ความคิดตรึกตรองก่อนเอ่ยขึ้น “ข้ามีความรู้สึกว่าราชายักษาเหยียนถูอาจจะปรากฏตัวที่แนวป้องกันสุดท้าย และพวกเราคงได้เผชิญกับการต่อสู้ที่ดุเดือดแน่”

“ตามตำนานเล่าขานกันว่า น่านน้ำแห่งนี้เป็นบริเวณที่มีการสู้รบกันอย่างรุนแรงระหว่างจักรพรรดิยมโลกที่สาม เทพเซียน และบรรดาพุทธองค์ทั้งหลายเมื่อนานปีมาแล้ว มันเป็นสถานที่ซึ่งคล้ายเหวลึกไร้ก้นบึ้ง อันเต็มไปด้วยข้อจำกัดบรรพกาลมากมาย บางครั้ง มันก็ถูกขนานนามว่าสุสานแห่งเทพเซียน” เป้ยหลิงพูดขึ้นด้วยสีหน้าเรียบเฉยขณะที่รินชาลงในจอก “มันมีทั้งสนามแม่เหล็กและกระแสน้ำวนที่รุนแรง เรียกได้ว่าอันตรายไม่น้อย หากเจ้าอยากจะผ่านมันไปก็ต้องระมัดระวังไว้เป็นพิเศษ” นางพูดอย่างใจเย็น

“ข้าเข้าใจแล้ว” เฉินซีพยักหน้า เขาเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองเป้ยหลิงและพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ที่จริงแล้ว ตอนนี้ข้ากังวลเพียงเรื่องเดียว”

เป้ยหลิงร่างแข็งทื่อพลางตีหน้าขรึม “เจ้ากังวลสิ่งใด?”

เฉินซียิ้มให้กับท่าทางของนาง จากนั้นจึงกล่าวว่า “ข้ากังวลว่าเจ้าจะไม่สนใจสิ่งใดเลยและเอาชีวิตไปเสี่ยง”

“เอ่อ…” หญิงสาวจ้องไปยังชายหนุ่มอย่างไม่ทันตั้งตัวด้วยสายตาที่ว่างเปล่าและปากที่ไร้คำพูดใด ๆ

เพราะนางคิดจะทำอย่างที่เขาพูดจริง ๆ ตอนที่พวกเขาเข้ามาในทะเลทุกข์ก่อนหน้านี้ นางก็รู้สึกว่าตนเองไม่สามารถช่วยเหลืออะไรได้มากนัก ตลอดทางที่ติดตามเฉินซี คล้ายตัวนางจะเป็นภาระเสียมากกว่า

และยิ่งพวกเขาเดินทางลึกเข้าไปในทะเลทุกข์มากเท่าไร ความรู้สึกที่ว่าตัวเองเป็นตัวถ่วงก็ยิ่งชัดเจนกระจ่างใจ มันทำให้นางอดหงุดหงิดไม่ได้ ถึงขนาดที่รู้สึกว่าตนเองเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาต้องล่าช้า

ความรู้สึกเหล่านี้ผลักดันให้นางตัดสินใจที่จะทำทุกอย่างโดยไม่คำนึงถึงชีวิตตัวเอง ขอเพียงแค่ให้ได้ทำตัวมีประโยชน์ขึ้นมาบ้างเท่านั้น

แต่เป้ยหลิงไม่เคยคิดมาก่อนว่าเฉินซีจะมองเห็นความรู้สึกที่ซ่อนอยู่ภายในใจอย่างทะลุปรุโปร่ง นั่นทำให้นางนึกอึดอัดไม่น้อย

“จำไว้ ไม่ว่าจะเกิดอันใดขึ้น เจ้าต้องฟังข้า นี่เป็นคำขอเดียวที่ข้าจะขอเจ้า” เฉินซียืนกรานหนักแน่น

เป้ยหลิงอดไม่ได้ที่จะเม้มริมฝีปากสีแดงระเรื่อ “เพราะเหตุใดกัน? หรือเจ้ากลัวว่าข้าจะทำให้เจ้ารำคาญใจ?”

เฉินซียิ้มเจื่อนพลางลูบจมูกตัวเอง “เจ้าก็รู้ว่าข้าไม่เคยคิดเช่นนั้น”

เป้ยหลิงถามต่อ “เช่นนั้น เจ้าคิดอย่างไร?”

สิ้นคำพูด นางก็นึกโกรธตัวเองอย่างอดไม่ได้ หญิงสาวรู้สึกเหมือนตนเองกำลังกลายเป็นเด็กน้อยผู้เอาแต่ใจและไร้เหตุผล เป็นความรู้สึกที่ไม่ควรเกิดขึ้นกับคนอย่างนางเลยจริง ๆ

ใบหน้าอันเยือกเย็นมุดลงต่ำโดยไม่รู้ตัว

โดยปกติแล้ว สตรีผู้เยือกเย็นนี้มักจะดำรงตนอย่างสุขุม สง่างามและผ่าเผยเป็นนิจ ทว่านางในยามนี้กลับเผยให้เห็นถึงแววประหม่า เกิดเป็นภาพที่ซุกซ่อนเสน่ห์อันงดงามไว้ภายใน

เฉินซีชะงักเมื่อได้ยินคำถามที่เขาไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะถามไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหัวเราะออกมา “ข้าคิดว่าคุณค่าของทุกสิ่งในโลกไม่ได้ขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งหรือธรรมเนียม ค่านิยมใด อีกทั้งสิ่งเหล่านั้นล้วนไม่ใช่เครื่องหมายแห่งมิตรภาพแต่อย่างใด เป้ยหลิง เจ้าช่วยเหลือข้ามาเยอะมากแล้ว อย่าได้คิดว่าตนเองนั้นไร้ประโยชน์เด็ดขาด!”

เมื่อพูดถึงตรงนี้ เฉินซีพลันนึกถึงภาพในอดีตขึ้นมา ภาพในห้วงคำนึงของเขาคือสหายทั้งหลายในแผ่นดินซ่ง ชายหนุ่มนึกถึงเจิ้นหลิวชิง ฟ่านอวิ๋นหลาน หลิงอวี๋และคนอื่น ๆ นอกจากนี้เขายังคิดถึงศิษย์พี่ใหญ่ หั่วโม่เลย รวมไปถึงคนอื่น ๆ บนยอดเขาจรัสตะวันตกอีกด้วย

“ทั้งผลประโยชน์ ฐานันดร ต้นกำเนิด และความแข็งแกร่งล้วนแต่เป็นสิ่งที่ข้ามองข้ามทั้งสิ้น คำว่าสหายสำหรับข้านั้น คือคนที่สามารถพูดสิ่งที่อยู่ในใจได้อย่างอิสระ ทำในสิ่งที่ต้องการยามร่วมทุกข์ร่วมสุข จริงอยู่ที่ความคิดเช่นนี้ดูไร้เดียงสาและน่าขันในบางที แต่ถึงอย่างนั้น ข้าก็มองว่ามันเป็นสิ่งที่ล้ำค่ายิ่ง”

เป้ยหลิงนั่งฟังเงียบ ๆ ขณะที่ดวงตาของนางเปล่งประกายอันซับซ้อนออกมา ก่อนจะพูดขึ้น “เช่นนั้นเราก็คือสหายกัน”

“แน่นอน” เฉินซีกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“เป็นเกียรติของข้าที่ได้เป็นสหายกับยอดราชันแห่งขอบเขตเซียนปฐพี” เป้ยหลิงแสร้งแหย่เย้า เสียงหัวเราะรื่นหูดังออกมาจากริมฝีปากแดงสด การเคลื่อนไหวของนางประหนึ่งดอกไม้แย้มบานหลังวันฟ้าหม่น ช่างงดงาม แช่มช้อย และส่องประกาย

ไม่มีผู้ใดรู้ว่าลับหลังนั้น มีเพียงเสียงถอนหายใจเบา ๆ ที่ดังกึกก้องอยู่ภายในใจ คำตอบของเขาทำเอานางเกือบเสียศูนย์ สหายหรือ? สุดท้ายก็เป็นได้เพียงสหายอย่างนั้นสินะ…

ฮึ่ม!

ทันใดนั้นได้บังเกิดเสียงฟ้าคำรามแผดลั่นไปทั่วทั้งบริเวณ มันสร้างแรงสั่นสะเทือนให้แก่หมู่เมฆก่อนจะกลายเป็นสายฟ้าฟาดซัดสาดกระจายออกไป ทำให้โลกที่มืดสลัวพลันสว่างไสวงดงาม

ขณะเดียวกันนั้นเอง คลื่นความผันผวนที่มีแรงกดดันมหาศาลก็กระแทกเข้ามาประหนึ่งกระแสน้ำเชี่ยว

เรือเหาะสมบัติเริ่มสั่นโคลงเคลงอย่างรุนแรงราวกับว่ามันกำลังเผชิญหน้ากับวังน้ำวนที่อัดแน่นไปด้วยภยันตราย จนเกิดเป็นเสียงเกรียวกราวประหนึ่งจะพังครืนเสียให้ได้

เฉินซีตกตะลึง เขาลุกขึ้นยืนทันทีก่อนจะพุ่งตัวออกไปจากเรือเหาะสมบัติพร้อมกับเป้ยหลิง

ท่ามกลางแผ่นฟ้าที่ค้ำหัวพวกเขาอยู่นั้น พายุลูกมหึมากำลังหมุนวนอย่างบ้าคลั่ง ต่อหน้าพลังที่ยิ่งใหญ่นี้ พวกเขาทั้งสองไม่ต่างกับจอกแหนที่ล่องลอยกลางผืนสมุทร เพียงกระแสลมพัด ก็พร้อมจะถูกพัดพาให้หายไปในชั่วพริบตา

“นี่คือน่านน้ำไร้ผ่าน…” ริมฝีปากแดงระเรื่อของเป้ยขยับเป็นคำสั้น ๆ ขณะที่ทอดมองออกไปในระยะไกล

เฉินซีสูดหายใจเข้าลึกสุดปอด ดวงตาของเขาเหมือนกับสายฟ้าที่สาดแสงไปทั่วทั้งฟ้าดินขณะที่พูดด้วยรอยยิ้ม “ดูนั่นสิ ศัตรูของเรามาคอยท่าอยู่นานแล้ว”

กระแสพายุส่งเสียงหวีดหวิวประหนึ่งเทพแห่งท้องทะเลกำลังเกรี้ยวกราด ส่งผลให้คลื่นหลายพันลูกกระหน่ำซัดพลางส่งเสียงครวญคราง พร้อมกับการบดขยี้อากาศอันไพศาล

เสียงฟ้าร้องดังกึกก้องดุจอสรพิษสีเงินที่ขดตัวเต็มท้องฟ้ากำลังร้องคำราม รอยแยกมิติจำนวนมากปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า พวกมันเป็นเหมือนปากที่อาบไปด้วยเลือดของสัตว์อสูรยุคบรรพกาลมากมายที่ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางเงามืด

ทั้งพายุคลั่ง กระแสความผันผวน ข้อจำกัดที่น่าสะพรึงกลัว รวมไปถึงเสียงคำรามเหล่านี้ล้วนแต่คล้ายมาจากยุคบรรพกาลทั้งสิ้น

นี่คือน่านน้ำไร้ผ่าน เมื่อหลายปีก่อน ที่แห่งนี้เป็นสมรภูมิรบระหว่างจักรพรรดิยมโลกที่สาม เทพเซียน และพุทธองค์ ยามผู้ยิ่งใหญ่แห่งภพพุทธองค์ได้เห็นฉากนี้ เขาก็รำพึงในใจว่า ‘ทะเลทุกข์ไร้ขอบเขต กลับใจคือฟากฝั่ง’ ออกมา

ที่แห่งนี้ถูกเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าสุสานแห่งเทพเซียนในยมโลก ซากศพและวิญญาณของเหล่าเทพเซียนและพุทธองค์ผู้มากมานะทิฐิล้วนแต่จมลงอยู่ใต้ทะเลแห่งนี้

ตอนนี้เอง ตำหนักหลังหนึ่งพลันปรากฏสู่สายตาท่ามกลางลมพายุและสายฟ้าที่โหมกระหน่ำ มันตั้งตระหง่านอย่างมั่นคง ไม่สั่นคลอนต่อทะเลคลั่ง

ราชายักษาเหยียนถูและผู้คุ้มกันแห่งแนวป้องกันที่สาม หลงไฮวกำลังยืนอยู่ข้างกันบนชานตำหนัก

กลุ่มทหารองครักษ์วิญญาณเจียงและองครักษ์ยักษาตรึงกำลังสร้างแนวป้องกัน เมื่อมองจากระยะไกล กลุ่มของพวกเขาเป็นเหมือนกับก้อนสีดำทะมึนมหึมาที่ปกคลุมท้องทะเล พวกเขาสวมชุดเกราะที่ทำจากวัสดุเนื้อดี ไม่แตกต่างกับกองทัพอันทรงพลังซึ่งพร้อมรับมือกับการต่อสู้ทุกรูปแบบ ท่าทางของพวกเขาเคร่งขรึมและเต็มไปด้วยจิตสังหารที่แผ่กระจายไปทั่ว จนชวนให้รู้สึกยำเกรงไม่น้อย

ในบรรดาคนเหล่านี้มีผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีนับพันคน!

ภาพที่ยิ่งใหญ่นี้ราวกับเวลาได้ย้อนกลับเมื่อครั้งที่มีสงครามระหว่างเทพอสูรในยุคบรรพกาล บรรดายักษาลาดตระเวนไปรอบ ๆ บริเวณ ในขณะที่ผู้เยี่ยมยุทธ์มีมากมายเหลือล้นไม่ต่างจากต้นไม้ในป่าใหญ่ เพียงเท่านี้ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ผู้เยี่ยมยุทธ์คนอื่น ๆ ในโลกรู้สึกสิ้นหวัง

วูด~! วูดด~!! วูดดด~!!!

เสียงแตรกัมปนาทสั่นสะท้านไปทั่วทั้งสวรรค์และโลก ไม่ว่าเสียงฟ้าผ่าจะกึดังกก้องสักเพียงไหน ก็ไม่อาจเทียบกับเสียงของแตรนี้ได้ พลังของมันทำให้พื้นที่โดยรอบคละคลุ้งไปด้วยจิตสังหารเข้มข้น

“บุก!”

“บุก!”

“บุก!”

เสียงตะโกนที่ดังขึ้นอย่างพร้อมเพรียงสะท้อนในอากาศกว้าง เจตจำนงแห่งการต่อสู้ของพวกเขาเหมือนกับกระแสน้ำที่พัดพาน้ำทะเลทั้งหลายให้กระจายออกไป ก่อนจะเกิดเป็นระลอกคลื่นรูปวงกลมลอยขึ้นไปบนท้องฟ้าคราแล้วคราเล่า

เมื่อเผชิญหน้ากับเหตุการณ์นี้ ทั้งเป้ยหลิงและเฉินซีก็ไม่ต่างอันใดกับมดปลวกสองตัวที่เล็ดลอดเข้าไปในกองทัพที่ยิ่งใหญ่ สภาพของพวกเขาในตอนนี้เหมือนคนตัวจ้อยที่กำลังจะถูกบดขยี้ด้วยจิตสังหารอันเยือกเย็น

หากเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์คนอื่น ความมุ่งมั่นที่จะต่อสู้ก็คงจะมลายหายไปสิ้น แน่นอนว่าความหวาดกลัวที่เข้ามาแทนที่ในใจคงจะผลักให้พวกเขายอมจำนนตั้งแต่ไม่ทันได้เริ่ม

อย่างไรเสียภาพตรงหน้านี้ก็น่าหวาดกลัวเกินไป การที่มีผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีอยู่มากกว่าหนึ่งพันคน ย่อมเพียงพอแล้วที่จะกวาดล้างสิบนิกายเซียนในแดนภวังค์ทมิฬ!

สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าทรัพยากรและกองกำลังของราชานรกองค์ที่สองนี้มหาศาลเพียงไร หากเทียบกับในภพมนุษย์แล้ว เขาคงจะเป็นสุดยอดสิ่งมีชีวิตที่เหนือกว่าสรรพสิ่งทั้งมวลอย่างแน่นอน

ตอนนี้กองกำลังขนาดใหญ่ได้ถูกนำออกมาใช้เพื่อจัดการเป้ยหลิงและเฉินซีเพียงสองคนเท่านั้น… เห็นได้ชัดว่าการที่เฉินซีสังหารอากู่หลัว โม่ฟู หัวหลิง และเยี่ยหลัวเจินนั้น ส่งผลให้บรรดาผู้ใต้บังคับบัญชาของราชานรกฉู่เจียงไม่กล้ามองเขาเป็นเพียงมนุษย์ไร้ค่าอีกต่อไป

บางทีนี่อาจจะเป็นวิธีแสดงออกถึงความตั้งใจของราชานรกองค์ที่สอง หรือไม่ก็เป็นเพราะรับรู้ได้ถึงความแข็งแกร่งที่แท้จริงของเฉินซีและเป้ยหลิง

แน่นอนว่า ราชาฉู่เจียงหมายจะจัดการทั้งสองคนอย่างรวดเร็วด้วยพลังมหาศาลนี้!

“ให้ตายเถิด! นี่มันออกจะเกิน…” ในทะเลที่กว้างใหญ่ไกลโพ้น เมื่อเว่ยหลาน เว่ยเซียวเฟิง และชายชราของกองเรือตระกูลเว่ยเห็นเหตุการณ์ที่น่าสะพรึงกลัวนั้นเข้า ร่างกายของพวกเขาพลันสั่นสะท้านอย่างยากระงับ ความตกตะลึงบังเกิดขึ้นในห้วงอารมณ์จนไม่อาจอธิบายความรู้สึกตรงหน้าออกมาเป็นคำพูดได้

พวกเขาเคยเห็นภาพที่เฉินซีสังหารอากู่หลัวและองครักษ์ยักษาอีกกว่าร้อยนายมาแล้วครั้งหนึ่งที่เส้นทางหมื่นดารา อีกทั้งยังได้เห็นตอนที่ชายหนุ่มกำลังสังหารแม่ทัพยักษาสามร้อยตนและบริวารอีกสามร้อยด้วยกระบี่เพียงเล่มเดียว

ในตอนนั้น กองเรือตระกูลเว่ยได้เกิดความรู้สึกเคารพอย่างยิ่งต่อเฉินซีและเป้ยหลิง และแม้แต่คุณชายเจ็ดแห่งตระกูลเว่ยผู้ดื้อรั้นอย่างเว่ยเซียวเฟิง ก็ยังรู้สึกเคารพเฉินซีอย่างมาก ผิดจากนิสัยที่เคยเป็น

ทว่าเมื่อพวกเขาเห็นภาพดังกล่าวในตอนนี้ ร่างกายของทุกคนพลันแข็งทื่อ แม้พวกเขาจะมั่นใจในความแข็งแกร่งของคนทั้งสองมากเพียงไหน พวกเขาก็ยังไม่มั่นใจว่าทั้งเป้ยหลิงและเฉินซีจะเป็นฝ่ายคว้าชัยในครานี้

พวกเขาพร่ำถามตัวเองว่าหากคนที่เผชิญกับเรื่องนี้เป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีคนอื่นที่ไม่ใช่เฉินซี รูปการณ์จะออกมาย่ำแย่สักเพียงไหนกัน?

นี่มันเกินขอบเขตของการต่อสู้ไปแล้ว เห็นได้ชัดว่ามันคือสงคราม!

จริงอยู่ที่กองกำลังจำนวนมหาศาลนี้มีอานุภาพในการกวาดล้างกองกำลังอื่น ๆ ได้ ทว่าบัดนี้ มันกลับถูกนำมาใช้เพื่อจัดการกับคนเพียงสองคนเท่านั้น

ไม่ต้องพูดถึงโอกาสชนะเลย แม้แต่โอกาสหลบหนียังเป็นไปไม่ได้!

“ข้าไม่คิดเลยว่าพวกเขาจะประเมินข้าสูงส่งถึงเพียงนี้” เฉินซียืนอยู่กลางอากาศ เมื่อต้องเผชิญหน้ากับผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีที่มีราว ๆ พันคนแล้ว เขากลับไม่หวาดกลัว กลิ่นอายกดดันจากอีกฝ่ายไม่อาจทำให้ชายหนุ่มหวั่นไหวได้เลย กลับกัน… เจตจำนงแห่งการต่อสู้ของเขายิ่งลุกโชติยิ่งกว่าเพลิงกาฬใด ๆ เสียอีก!

“เจ้าดูจะไม่กลัวเลยสินะ” เป้ยหลิงหัวเราะเบา ๆ เส้นผมงามสลวยของนางพลิ้วไหวจนปรกใบหน้าอันเยือกเย็น มีเพียงดวงตาใสกระจ่างที่ยังเด่นชัดด้วยประกายแห่งจิตสังหาร

“เจ้าเองก็เหมือนกันไม่ใช่หรือ?” เฉินซียิ้มก่อนจะทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าอย่างองอาจ เสียงการเคลื่อนไหวของเขาราวกับฟ้าคำรามที่สั่นสะเทือนไปทั่วสวรรค์ทั้งเก้าชั้น

“มาเลย! แน่จริงก็เข้ามาฆ่าข้า!”

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท