บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน – บทที่ 985 ข้อจำกัดแห่งการลืมเลือน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 985 ข้อจำกัดแห่งการลืมเลือน

บทที่ 985 ข้อจำกัดแห่งการลืมเลือน

เป้ยหลิงมึนงงเล็กน้อย

ตั้งแต่ต่อสู้มาจนถึงตอนนี้ นางหลงลืมเวลาไปจนสิ้น ลืมโลกภายนอก ลืมศัตรูรอบกายไปจนหมด…

เหลือเพียงความคิดเดียวในหัวนางเท่านั้นคือ ตนจะเป็นภาระให้เฉินซีไม่ได้

ร่างกายของนางเปื้อนไปด้วยเลือด แขนสองข้างเริ่มอ่อนแรงจากการใช้งานมากเกินไป ทุกครั้งที่ขยับแขนมันให้ความรู้สึกเหมือนถูกหินหนักถ่วงมือถ่วงเท้า

มีอยู่หลายครั้งที่นางอยากยอมแพ้ แต่ก็ไม่อยากร้องขอความช่วยเหลือจากเฉินซีที่อยู่ไม่ไกลเช่นกัน

สุดท้ายแล้วหญิงสาวก็กัดฟันอดทนกับทุกสิ่งอย่าง และด้วยความที่ใช้พลังมากเกินไป ที่มุมปากจึงเริ่มมีโลหิตสายหนึ่งไหลริน แต่ดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่ได้สังเกตแม้แต่น้อย

การต่อสู้ครั้งนี้รับมือยากเกินไป!

นับตั้งแต่เป้ยหลิงบ่มเพาะมาจนถึงตอนนี้ นางไม่เคยรู้สึกเช่นนี้มาก่อน เป็นความรู้สึกที่ต้องกัดฟันอดทนอย่างขมขื่น เพราะทั้งร่างกายและจิตใจของนางใกล้จะไม่ไหวเต็มที

นางถึงกับถามตนเองว่าเหตุใดจึงทำเช่นนี้?

ทุกครั้งนางจะนึกถึงภาพเฉินซีอยู่ในใจ และรู้ดีว่านั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้นางต้องดื้อดึงฝืนทนต่อไป

นั่นก็เพราะนางไม่อยากเป็นภาระให้เฉินซี!

แต่เขาจะเข้าใจทั้งหมดนี้หรือไม่?

เป้ยหลิงเงยหน้าขึ้น สายตามองเห็นเพียงภาพพร่ามัว สองหูได้ยินเพียงเสียงปะทะของการต่อสู้ดังสะเทือน ทว่าสายตากลับไม่เห็นเงาร่างอันคุ้นตานั้นเลย!

สิ่งนี้ทำให้ในใจของหญิงสาวเกิดความลังเล ราวกับว่านางถูกคนทั้งโลกทอดทิ้ง เป็นความรู้สึกที่ทำให้เป้ยหลิงคล้ายถูกโถมใส่ด้วยความเหนื่อยล้าและความรู้สึกไร้พลัง!

เขา…อยู่ไหนกัน?

เป้ยหลิงอยากเห็นร่างนั้นอีกครั้ง หากเหลือบมองเขาได้อีกสักครา นางก็เชื่อว่าตนเองจะสามารถรวบรวมกำลังและฝืนทนไปได้อีกสักระยะหนึ่ง…

น่าเสียดายที่นางคงคาดหวังมากเกินไป

ฟิ้ว!

ในจังหวะที่ในใจของเป้ยหลิงเกิดความสับสน ดาบสีดำเมื่อมได้กรีดอากาศซัดเข้ามาทางนาง แสงดาบอันเฉียบคมและดุดันคละเคล้าไปด้วยจิตสังหารสะท้อนเข้าตา แต่พอจะยกมือขึ้นรับการปะทะ เป้ยหลิงกลับไม่เหลือเรี่ยวแรงให้ทำเช่นนั้นอีก

‘อย่างไรข้าก็ต้องตายอยู่ดี… สุดท้ายแล้วมันก็…’ มุมปากหญิงสาวได้เผยความอ่อนแอออกมา แต่นัยน์ตากลับเผยความมุ่งมั่นแน่วแน่

ถึงนางจะต้องตาย แต่ขอช่วยเฉินซีจัดการกับศัตรูก็แล้วกัน!

ส่วนเรื่องตกตาย… มันมีค่าให้ควรกล่าวถึงด้วยหรือ?

ทว่าในจังหวะนั้นเอง แขนแกร่งได้โอบเอวนางเข้าสู่อ้อมกอด พร้อมกับได้ยินเสียงคุ้นเคยดังขึ้นที่ข้างหู “ยัยบื้อ! ลืมคำข้าไปแล้วหรือ?!”

เป็นน้ำเสียงที่ไม่ปิดบังความโกรธแม้แต่น้อย

ทว่าเป้ยหลิงกลับคลี่ยิ้มออกมาแทน เพราะนางจับความเป็นห่วงในน้ำเสียงนั้นได้ และเท่านี้ก็มากพอแล้ว!

ถึงขนาดที่นางคิดว่าหากต้องตายในเวลานี้ก็คงไม่มีอะไรต้องเสียใจแล้ว

จากนั้นก็รู้สึกได้ว่าตนเองนอนอยู่บนหลังเฉินซี แผ่นหลังนี้อาจจะเรียกว่ากว้างไม่ได้ แต่กลับทำให้เป้ยหลิงรู้สึกมั่นคงและวางใจยิ่งนัก

จากนั้นนางจึงหลับตาลงแล้วผล็อยหลับไป

ที่มุมปากสีแดงประดับด้วยรอยยิ้มบางเบา แสดงให้เห็นถึงความสุขที่นางมี!

“เจ้านี่มัน…เป็นสตรีที่โง่เขลาจริง ๆ” …เฉินซีพึมพำพลางส่ายศีรษะ จังหวะต่อมาเขาก็มุ่งเข้าสู่การต่อสู้อีกครั้ง

แต่การเคลื่อนไหวรอบนี้มีความระมัดระวังมากยิ่งขึ้น ด้วยเกรงว่าจะรบกวนหญิงสาวบนหลัง

การต่อสู้ยังคงดำเนินต่อไป

การฆ่าสังหาร เลือดสาดกระเซ็น และเสียงกรีดร้องแหลมผสมผสานกันจนทำให้ที่แห่งนี้กลายเป็นแดนชำระล้างโชกเลือด

ศัตรูพากันดาหน้าเข้ามาอย่างไร้ความเกรงกลัว แต่ละตัวมีใบหน้าโกรธเกรี้ยว โหดเหี้ยม และบิดเบี้ยวไม่ปกติ แต่มันก็เป็นใบหน้าที่เจือแววความหวาดกลัว ความไม่พอใจ และความเหนื่อยอ่อนที่เกาะกินอยู่ในใจด้วย

จนถึงตอนนี้สหายของพวกเขาตายไปกว่าครึ่งแล้ว ในร่างเองก็เหลือพลังที่จะสู้เพียงหยิบมือ ทว่าชายหนุ่มที่เป็นคู่ต่อสู้กลับเหมือนขุนเขามั่นคงที่ไม่อาจเอาชนะได้ ส่งผลให้ในใจเกิดความสิ้นหวังขึ้นมา

เขารู้จักความเหน็ดเหนื่อยบ้างหรือไม่?

ไปเอาพลังขนาดนี้มาจากที่ไหนกัน?

จะไม่มีใครเอาชนะเขาได้จริง ๆ หรือ?

ในใจผุดคำถามมากมายขึ้นมา เป็นเหมือนอสรพิษร้ายที่กัดกินความมุ่งมั่นและจิตต่อสู้จนพังทลาย ความรู้สึกเช่นนี้ทำให้พวกเขาเดือดดาลยิ่ง แต่ก็หวาดกลัวสุดขีดไปพร้อมกัน

ใบหน้าของพวกเขาจึงแฝงไปด้วยความคับข้องอยู่ชั่วขณะ คล้ายกับว่ากำลังประมืออยู่กับปีศาจที่ไม่อาจใช้กฎเกณฑ์ข้อใดมาคาดคำนวณได้

แต่ไม่ว่าอีกฝ่ายจะคิดเห็นอย่างไร เฉินซีก็ยังคงต่อสู้อยู่ ทั้งยังเงียบสงบ เหี้ยมโหด และสุขุมยิ่ง ประหนึ่งยมทูตล่าวิญญาณ ทุกการโจมตีต้องคร่าชีวิตคนได้

ท่าทีเย็นชาไม่สนใจใครและการสังหารเลือดเย็นดุดันพลิกวิกฤตเป็นตาย โลหิตปะทะเปลวเพลิง เป็นภาพที่ทำให้ใต้หล้าล้วนขวัญผวา!

“เขากำลังจะชนะแล้วหรือ?” เว่ยหลานพึมพำ ขนาดนางเองยังไม่ทันสังเกตเลยว่าเสียงของนางสั่นเล็กน้อย มันเป็นความตกใจที่มาจากความประหม่าและความตื่นเต้นขั้นสุดจนไม่อาจยับยั้งได้

“ยังหรอก” ริมฝีปากของชายชราแห้งผาก เขากลืนน้ำลายอึกใหญ่ด้วยความยากลำบาก พยายามขัดคำของเว่ยหลาน แต่สุดท้ายความจริงก็คือความเป็นจริง และในตอนนี้เขาไม่สามารถหลอกตนเองและคนอื่นได้อีกต่อไป

ในสนามต่อสู้ จากลูกน้องราชาฉู่เจียงกว่าพันเหลือเพียงร้อยกว่าตนเท่านั้น แต่ก็ต้องอย่าลืมว่ายังมียอดฝีมืออีกสองคนบนตำหนักอันห่างไกลที่ยังไม่ได้ลงมืออยู่อีก!

แล้วเขาจะกล้าคาดเดาผลลัพธ์ส่งเดชได้อย่างไร?

“แต่ในใจข้าคือพวกเขาชนะไปแล้ว!” เว่ยเซียวเฟิงกำหมัดแน่น ใบหน้าอ่อนเยาว์เผยความเคารพ “เพราะพวกเขาเป็นยอดฝีมือที่ต่อสู้กับศัตรูทั้งกองทัพได้โดยไม่ยอมแพ้! ใครจะกล้าหาว่าพวกเขาเป็นฝ่ายแพ้ได้?”

เว่ยหลานกับชายชราได้ยินก็ชะงักไป จากนั้นในใจพลันเกิดความรู้สึกโล่งอกอย่างท่วมท้น ในที่สุดเด็กคนนี้ก็เติบโตขึ้นสักที!

ไม่แน่ว่านี่อาจเป็นผลพลอยได้จากการออกจากตระกูลมาท่องโลกหล้าก็เป็นได้

การอยู่แต่ในตระกูลย่อมเหมือนบุปผาในเรือนปลูก ได้รับความรักความสนใจอยู่ตลอดเวลา ทว่านั่นกลับทำให้คนเราไม่อาจประสบความสำเร็จได้ชั่วชีวิต มีแต่ต้องออกมาท่องโลกกว้างหาประสบการณ์มากมาย รวมถึงได้เปิดหูเปิดตาเท่านั้นจึงจะสามารถพัฒนาจิตใจและการวางตัวได้!

ถึงตอนนั้นจึงจะสามารถเติบใหญ่ได้อย่างแท้จริง!

บนตำหนักนั้น เหยียนถูมีสีหน้าหนักอึ้งยิ่งนัก การต่อสู้ที่อยู่ห่างไกลออกไปสะท้อนอยู่ในนัยน์ตาสีแดงเข้ม ในอกเกิดจิตสังหารพลุ่งพล่าน

“ไม่ถึงเค่อหนึ่งก็ถูกทำลายสิ้นแล้ว! ผู้อาวุโสหลงไฮว ท่านจะรอไปถึงเมื่อไหร่กัน!?” เหยียนถูเอ่ยเสียงเย็น เป็นเสียงราวกับกัดฟันพูด

“เร็ว ๆ นี้ รออีกสักหน่อย” หลงไฮวยังคงมีสีหน้าไร้อารมณ์และตอบเสียงเรียบกลับมา

“อีกสักหน่อยหรือ? แล้วมันอีกเท่าไรกัน?” เหยียนถูกดข่มความโกรธเกรี้ยวภายในใจไว้ไม่ไหวอีกต่อไปเมื่อเห็นอีกฝ่ายมีท่าทีเช่นนี้ “ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีพันตนตายไปต่อหน้าต่อตาเราเช่นนี้ ท่านทนได้อย่างไร?”

หลงไฮวมุ่นคิ้วเหลือบมองเขาด้วยสายตาไม่พอใจ “ก็แค่คนไม่เท่าไหร่ หากตายก็ตายไป จะโกรธไปไยเล่า? อีกทั้งยังไม่ได้ตายไปจริง ๆ เสียหน่อย!”

“หือ? ไม่ได้ตายไปจริง ๆ หรือ?” เหยียนถูชะงัก นัยน์ตาพลันสะท้อนประกายแสง จากนั้นถามเสียงประหม่าขึ้นว่า “ท่านหมายความว่าอย่างไร?”

หลงไฮวมองตรงไปยังฟ้าไกล มุมปากเผยรอยยิ้มลึกลับอีกครั้ง จากนั้นเขาก็ชี้ไปทางทะเลที่อยู่ไกล ๆ แล้วเอ่ยขึ้นว่า “ผู้บัญชาการเหยียนถู เจ้าลืมไปแล้วหรือว่านี่คือสนามรบสุดท้ายของจักรพรรดิยมโลกที่สามกับเทพแห่งโลกหล้าเมื่อหลายปีก่อน? ลืมไปแล้วหรือว่าที่นี่เรียกกันว่าสุสานแห่งเทพ?”

เหยียนถูขมวดคิ้วถาม “ท่านยังมีเวลามาพูดอ้อมค้อมอีกหรือ? บอกมาตามตรงเลยเถอะ!”

หลงไฮวยิ้มไม่คิดโกรธ “ในเมื่อเจ้ารู้จักค่ายกลพิฆาตอสูรโบราณ เช่นนั้นก็คงเคยได้ยินข้อจำกัดแห่งการลืมเลือนกระมัง?”

เหยียนถูอึ้งไป จากนั้นก็เหมือนนึกอะไรได้ นัยน์ตาเกิดประกายความตื่นตะลึง “ข้อจำกัดอันน่าเกรงขามที่จักรพรรดิยมโลกองค์ที่สามตั้งขึ้นเมื่อหลายปีก่อนเพื่อบดขยี้เหล่าเทพและพระโพธิสัตว์ทั้งหลายน่ะหรือ?”

“ถูกต้องแล้ว!” หลงไฮวยิ้มอย่างภาคภูมิใจ “ถึงแม้ว่าจักรพรรดิยมโลกที่สามจะถูกกำจัดไปได้หลายปี แต่ข้อจำกัดแห่งการลืมเลือนที่เขาตั้งไว้ก็บดขยี้ยอดฝีมือจากสามภพมานักต่อนักแล้ว!”

เหยียนถูชะงักไป เพราะเขาได้ยินมาว่าทันทีที่ข้อจำกัดแห่งการลืมเลือนถูกเปิดใช้เมื่อหลายปีก่อนนั้น ฟากฟ้าก็เต็มไปด้วยโลหิตแห่งเทพ ทั่วทั้งทะเลทุกข์ย้อมแดงไปด้วยเลือด ไม่จางหายไปมากกว่าหมื่นปีเลยทีเดียว!

นี่แสดงให้เห็นว่าค่ายกลนี้มีพลังน่าเกรงขามถึงขั้นไหน มันเทียบได้กับค่ายกลกระบี่สังหารเซียน มหาค่ายกลปีศาจโลหิตบรรพกาล ค่ายกลปราบมารหมื่นมุนินทร์แผดเผา และค่ายกลใหญ่ทั้งหลายเมื่อครั้งบรรพกาลเลยทีเดียว!

“หรือว่า… ท่าน…” เหยียนถูตกตะลึงสุดขีด

“ใช่แล้ว ข้อจำกัดแห่งการลืมเลือนที่สูญหายไปตามกาลเวลาจะถูกเปิดใช้อีกครั้งในอีกไม่นานนี้!” หลงไฮวนัยน์ตาเป็นประกาย เผยให้เห็นถึงความรุ่มร้อนในอารมณ์ จากนั้นก็ถอนหายใจพลางส่ายหัวว่า “น่าเสียดายที่แม้ซากข้อจำกัดแห่งการลืมเลือนยังอยู่ที่นี่ แต่ก็มีสภาพไม่สู้ดีเท่าไร ข้าซ่อมแซมมันมานานหลายปี อีกทั้งยอมสละชีวิตลูกน้องไปหลายพันเช่นนี้ ก็ยังสำแดงพลังออกมาได้เพียงสิบในร้อยส่วน”

“สละลูกน้อง…” เหยียนถูหรี่ตาลง ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้ว ใบหน้าจึงขรึมเคร่งอยากช่วยไม่ได้ “แพะเฒ่า! นี่ท่านวางแผนยืมมือพวกมันฆ่าลูกน้องเรามาตั้งแต่ต้นอย่างนั้นรึ?”

“ข้าจะคิดเช่นนั้นได้อย่างไร?” หลงไฮวพูดถึงขนาดนี้แล้ว แต่เมื่อเห็นเหยียนถูยังไม่เข้าใจ จึงส่งเสียงฮึดฮัดก่อนกล่าวขึ้นว่า “แผนของข้าไม่ได้ซับซ้อน หากใช้คนเหล่านี้สังหารทั้งสองได้ก็เป็นการดีที่สุด แต่หากทำไม่สำเร็จก็ยังสามารถใช้ข้อจำกัดแห่งการลืมเลือนได้”

“แต่หากพวกเราลงมือก็ไม่จำเป็นต้องเสียชีวิตคนไปมากขนาดนั้น!” เหยียนถูยังไม่คลายความโกรธ

“ผู้บัญชาการเหยียนถู!” หลงไฮวเอ่ยเสียงขรึม “ท่านไม่เข้าใจจริง ๆ หรือท่านโง่เขลากันแน่? ข้อจำกัดแห่งการลืมเลือนต้องใช้พลังจากความตายเป็นเครื่องสังเวย ในขณะที่แก่นวิญญาณของคนที่ตายเหล่านั้นจะถูกฟื้นคืนชีพมาใหม่ในรูปของค่ายกลใหญ่! จะมาบอกว่าตายแล้วได้อย่างไรกัน?”

เหยียนถูชะงัก ความโกรธบนใบหน้าเริ่มเลือนหาย เพราะรู้แล้วว่าตนเข้าใจหลงไฮวผิด แต่ก็ยังเอ่ยเสียงไม่พอใจออกมา “แพะเฒ่า! ท่านนี่มันมากเล่ห์นัก ใครจะไปคิดได้ว่าจะวางแผนไว้เช่นนี้?”

“เช่นนั้นก็หุบปากแล้วฟังคำสั่งของข้าให้ดี” หลงไฮวเหลือบมองเหยียนถูก่อนสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง สีหน้าจึงเคร่งเครียดขึ้นทันใด ก่อนจะมองไปยังการต่อสู้ที่อยู่ไกล ๆ “การต่อสู้ใกล้จะจบลงแล้ว เร็วเข้า! ส่งผลึกทุกข์แห่งการลืมเลือนของเจ้ามา!”

เหยียนถูอึ้งไป นึกถึงเหตุการณ์ที่ถูกหลงไฮวตวาดใส่เมื่อครู่ขึ้นมาได้ ดังนั้นจึงยับยั้งคำถามในใจเอาไว้แล้วส่งของให้แต่โดยดี

—————————————

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท