บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน – บทที่ 986 จมดิ่งสู่ทะเลทุกข์

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 986 จมดิ่งสู่ทะเลทุกข์

บทที่ 986 จมดิ่งสู่ทะเลทุกข์

หลงไฮวชำเลืองมองกระเป๋าสัมภาระ ขมวดคิ้วแล้วถามว่า “แค่สี่สิบเก้าหรือ? ถ้าข้าจำไม่ผิด ผลึกทุกข์แห่งการลืมเลือนที่เจ้านำทหารองครักษ์ยักษาไปรวบรวมมาตลอดหนึ่งร้อยปีที่ผ่านมา ยังไม่ได้ถูกส่งมอบให้ใต้เท้าใช่หรือไม่?”

เหยียนถูพ่นลมออกจมูกอย่างเย็นชา ถามกลับว่า “เจ้าคิดว่าผลึกทุกข์แห่งการลืมเลือนคือของเน่าเสียข้างถนนที่สามารถพบเจอได้ดาษดื่นหรือไร?”

หลงไฮวชำเลืองมองอีกฝ่าย ไม่ตอบอันใด ก่อนหันไปมองสมรภูมิที่อยู่ไกลออกไป

พรวด!

ในช่วงเวลานี้ เฉินซีแบกเป้ยหลิงไว้บนแผ่นหลัง สังหารทหารองครักษ์ยักษาตนสุดท้าย จนโลหิตสาดกระเซ็น และเกิดเส้นโค้งงดงามสีแดงสดกลางอากาศ

จนถึงตอนนี้ ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีทั้งหนึ่งพันสามสิบสองตนที่อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของราชาฉู่เจียง ล้วนถูกเด็ดศีรษะ โลหิตย้อมทะเลทุกข์ กลิ่นโลหิตคละคลุ้ง ผ่านไปพักใหญ่ก็ยังไม่จางหาย

เฉินซีแบกเป้ยหลิงไว้บนแผ่นหลัง ก้าวเข้าสู่ความว่างเปล่า ก่อนจะถึงตำหนักโบราณ ร่างสูงโปร่งของชายหนุ่มยืนตระหง่าน ชุดอาบย้อมไปด้วยโลหิต ดวงตาลึกล้ำราวกับหุบเหว เผยเจตจำนงต่อสู้อันเกรี้ยวกราด

หลังจากผ่านการต่อสู้ในศึกใหญ่ ชายหนุ่มกลับไร้ซึ่งรอยขีดข่วน แม้กระทั่งปราณและพลังชีวิต รวมถึงกลิ่นอายยังไม่ได้อ่อนกำลังลง เขายังคงสงบนิ่งดุจทะเล ขณะแผ่กลิ่นอายอันน่าสะพรึงออกมา

“หากข้าเดาไม่ผิด หลังจากฆ่าพวกเจ้าสองคนแล้ว ข้าก็จะสามารถไปถึงอีกฝั่งของทะเลทุกข์ได้อย่างราบรื่นใช่หรือไม่?” เฉินซีกล่าวอย่างเย็นเยือก

ต่อให้รู้อยู่แล้วว่า เฉินซีไม่ได้รับบาดเจ็บจากการต่อสู้ก่อนหน้านี้ แต่เมื่อเห็นตัวคนมาปรากฏตรงหน้าจัง ๆ ผนวกกับกลิ่นอายอันไร้เทียมทานของอีกฝ่าย …มันก็มากพอที่จะทำให้ราชายักษาเหยียนถูกับหลงไฮวประหลาดใจอยู่ดี

เซียนปฐพีผู้มาจากภพมนุษย์ผู้นี้มีฝีมือร้ายกาจนัก พวกเขาไม่สงสัยเลยว่าเหตุใดจึงกล้าทะลวงเข้ามาในยมโลกเพียงลำพัง ตั้งตนเป็นศัตรูกับราชานรกองค์ที่สอง! แค่ความอาจหาญเพียงอย่างเดียว ก็ไม่มีใครเทียบเคียงได้แล้ว

แน่นอนว่า ความประหลาดใจก็ส่วนประหลาดใจ พวกเขาทั้งสองไม่ได้หวาดกลัวหรือวิตก เพราะในสายตาของทั้งคู่ ต่อให้เฉินซีรอดปลอดภัยจนถึงตอนนี้ อึดใจต่อมาเขาก็จะต้องตกตายอยู่ดี!

“ถูกต้อง สหายตัวน้อยช่างเก่งกาจนัก ไม่มีใครในขอบเขตเซียนปฐพีที่สามารถเทียบเจ้าได้ แม้กระทั่งชายชราเช่นข้ากับราชายักษาก็ไม่คิดว่าจะรับมือเจ้าไหว”

หลงไฮวหัวเราะเสียงดัง ถามอย่างใคร่รู้ว่า “แต่ว่าการจะฆ่าพวกข้านั้นใช่ว่าจะทำได้ง่าย หากต้องการข้ามทะเลแห่งนี้ไป ย่อมไม่มีทางเป็นไปได้ ข้าสงสัยจริงว่าเจ้าจะเชื่อหรือไม่?”

ขณะจ้องมองคนทั้งสอง ชายหนุ่มเห็นสีหน้ามั่นใจและความคิดดูถูกของอีกฝ่ายอย่างชัดเจน เฉินซีจึงหรี่ตาเล็กน้อย และตอบอย่างสงบว่า “เช่นนั้นข้าก็ต้องลองดูสักตั้ง”

“ใช่ ต้องลองดู พูดอย่างเดียวมันไม่ได้หรอกนะ”

หลงไฮวยิ้มแล้วพยักหน้า จากนั้นชี้ไปยังพื้นที่ทะเลใต้เท้าของเฉินซี กล่าวว่า “เจ้าหนูน้อยจงดู ที่นั่นคือที่ฝังศพของเจ้า!”

ครืน!

เมื่อสิ้นเสียง กลิ่นอายอันน่าสะพรึงยิ่งพลันพุ่งขึ้นมาจากน้ำทะเลใต้เท้าของเฉินซี ในตอนนั้น มันเหมือนกับเทพบรรพกาลที่ตื่นจากการหลับใหลในก้นทะเล!

ครืนนน!

เพียงชั่วพริบตา ผืนทะเลภายในรัศมีหนึ่งหมื่นลี้ น้ำทะเลคล้ายกับกำลังเดือดพล่าน โลหิตเอ่อล้น เปล่งประกายแวววาว ม้วนตัวแล้วบรรจบกันที่ตรงกลาง

หากมองลงมาจากท้องนภา ก็จะพบว่าทะเลขนาดใหญ่ที่เคยเงียบสงัด ตอนนี้มันได้ก่อเกิดวังวนขนาดใหญ่อย่างไร้สุ้มเสียง และกำลังหมุนวนอย่างบ้าคลั่ง!

ทุกครั้งที่มันหมุนวน จะมีอำนาจบางอย่างดูดกลืนปราณวิญญาณโดยรอบเข้าไป รวมถึงฉีกกระชากความว่างเปล่ารอบข้าง กลืนกินหมู่เมฆในรัศมีหมื่นลี้ เกิดรอยแยกมิติและหลุมดำมากมาย

อำนาจนี้น่าสะพรึงกลัวเกินไป ด้วยความแข็งแกร่งและความเร็วในการตอบสนองของเฉินซี เมื่อกำลังจะเคลื่อนหลบ เขากลับถูกลากขังไว้ที่เดิมทันที ชายหนุ่มได้แต่ตัวแข็งทื่ออยู่กลางอากาศ ไม่ว่าจะดิ้นรนอย่างไรก็เปล่าประโยชน์

อำนาจแห่งการลืมเลือนนี้ เหตุใดจึงทวีความรุนแรงได้ถึงเพียงนี้?

ไม่ใช่! นี่มันอำนาจจากค่ายกล!

หัวใจของเฉินซีแทบหยุดเต้น แต่ยามจะทันได้ตอบสนอง เขาก็รู้สึกว่าร่างตนถูกพลังบางอย่างบีบรัดอย่างรุนแรงจนควบคุมไม่ได้ ก่อนถูกลากลงไปในทะเลทุกข์อย่างโหดเหี้ยม

ตู้ม!

โลหิตสูบฉีดพลุ่งพล่าน ทั้งเขาและเป้ยหลิงที่อยู่บนแผ่นหลัง จมดิ่งก่อนหายไป

เมื่อเห็นเช่นนี้ หลงไฮวพลันหัวเราะลั่น ใบหน้าเผยความยินดีออกมา “ดูสิ นี่คือข้อจำกัดแห่งการลืมเลือน ข้าหลงไฮวประจำการอยู่ที่นี่มาสามพันปี ข้าได้ซ่อมแซมมันมาตลอดสามพันปีนี้! และด้วยการสังเวยเลือดของผู้เยี่ยมยุทธ์เซียนปฐพีถึงหนึ่งพันสามสิบสองคน ในที่สุดมันก็ทำงานแล้ว!”

หลงไฮวในยามนี้เหมือนกับตาแก่เสียสติผู้กำลังตกอยู่ในความบ้าคลั่ง ตะโกนอย่างคลุ้มคลั่งว่า “นี่คือผลงานชิ้นเอกของจักรพรรดิยมโลกองค์ที่สาม เป็นข้อห้ามสูงสุดที่แม้แต่ทวยเทพและพุทธองค์ยังต่อต้านไม่ได้! หลังจากผ่านมานานแสนนาน ในที่สุดมันก็ปรากฏขึ้นในโลกอีกครา! ต่อให้มองไปทั่วทั้งยมโลก ใครบ้างจะได้เป็นสักขีพยานกับเหตุการณ์อันยิ่งใหญ่นี้ที่จะต้องได้รับการบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์นี้?”

คลื่นโลหิตม้วนตัว น่านน้ำในรัศมีหนึ่งหมื่นลี้ได้กลายเป็นวังวนขนาดใหญ่ที่ทำให้ผู้คนรู้สึกหวาดกลัว หมุนวนไปมาอย่างรวดเร็ว จนเกิดเป็นแรงดูดแห่งการลืมเลือนที่ไม่อาจขัดขืนได้ ทำให้สวรรค์และโลกบิดเบี้ยวพังทลาย

ภาพอันน่าสะพรึงกลัวผนวกกับเสียงหัวเราะอันคลุ้มคลั่งของหลงไฮว ทำให้ผู้คนขนลุกและหวาดกลัวจนถึงจิตวิญญาณ

แม้กระทั่งราชายักษาเหยียนถูยังต้องยอมรับว่า เขาตกตะลึงกับเหตุการณ์นี้ และถึงเวลาจะผ่านไปชั่วครู่แล้วก็ตาม ทว่าเจ้าตัวก็ยังอดไม่ได้ที่จะรู้สึกถึงความเล็กจ้อยและความไร้พลังราวกับแมลงเม่าของตัวเอง

เมื่อเผชิญหน้ากับ ‘ข้อจำกัดแห่งการลืมเลือน’ ที่สังหารตัวตนทรงอำนาจนับไม่ถ้วนในสามภพ ถามหน่อยเถิดว่า ใครจะนิ่งเฉยไม่ตกตะลึงกับมันได้บ้าง?

“พอแล้ว! เจ้าไม่กังวลว่าจะฆ่าสองคนนั้นได้หรือไม่รึ! เพราะถึงอย่างไร ข้อจำกัดแห่งการลืมเลือนก็สำแดงพลังได้เพียงสิบส่วนจากร้อยส่วนเท่านั้น”

หลังเหยียนถูได้สติจากความตกตะลึง และพบว่าหลงไฮวยังคงหัวเราะกับตัวเองอย่างบ้าคลั่ง เขาก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วแล้วติเตือนด้วยน้ำเสียงเย็นชา

เนื่องจากถูกคนขัดจังหวะ หลงไฮวจึงไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง เขาชำเลืองมองเหยียนถูด้วยสายตาเหยียดหยัน จากนั้นกล่าวอย่างภาคภูมิใจว่า “ไม่ต้องห่วง ต่อให้เป็นเซียนปฐพี แม้แต่เซียนสวรรค์ หรือว่าเซียนลึกลับ ก็ยังหลบหนีจากมันไม่ได้!”

“เจ้าแน่ใจหรือ?” เหยียนถูถาม

“ไม่แน่ใจเท่าไร แต่ด้วยผลึกทุกข์แห่งการลืมเลือนเหล่านี้ พวกเขาจะต้องตายอย่างแน่นอน!”

หลงไฮวยิ้มขณะหยิบถุงสัมภาระออกมาจากแขนเสื้อ เขาทิ้งมันทั้งหมดลงไปในทะเลทุกข์อย่างไม่ลังเล พลางพึมพำว่า “นี่คือโอกาสครั้งเดียวในชีวิต เป็นช่วงเวลาอันศักดิ์สิทธิ์ที่จะเขียนตำนาน ‘ข้อจำกัดแห่งการลืมเลือน’ ขึ้นมาใหม่ ถึงแม้ผลึกทุกข์แห่งการลืมเลือนจะหายาก แต่พวกมันมากพอที่จะปลดปล่อยพลังในการสังหารผู้เยี่ยมยุทธ์ระดับเซียนลึกลับได้…”

“เจ้า…ยอมเสียของขนาดนี้เชียวหรือ?”

เหยียนถูเจ็บปวดเล็กน้อย นี่คือสิ่งที่เขาสั่งให้ลูกน้องรวบรวมมาตลอดหลายร้อยปี จนกระทั่งได้ผลึกทุกข์แห่งการลืมเลือนสี่สิบเก้าก้อน ตอนนี้พวกมันกลับถูกหลงไฮวทิ้งลงไปในทะเล แล้วเขาจะไม่เจ็บปวดได้อย่างไร?

“เสียของอันใดกัน?!” หลงไฮวตวาดเสียงดัง “ผลึกทุกข์แห่งการลืมเลือนเสียไปก็หาใหม่ได้ แต่ข้อจำกัดแห่งการลืมเลือน ชั่วชีวิตนี้จะมีโอกาสได้เห็นสักกี่ครั้งกัน?”

เหยียนถูลังเล พูดไม่ออก หัวใจแตกสลาย

เมื่อเผชิญหน้ากับตาแก่เสียสติ เขาย่อมพูดอะไรไม่ออก ทำได้เพียงชำเลืองมองทะเลเบื้องล่าง ขณะพึมพำว่า “คราวนี้แหละ ถึงเวลาตายแล้ว จริงสิ แม้แต่เซียนลึกลับยังไม่รอดเลย แล้วผู้เยี่ยมยุทธ์เซียนปฐพีสองคนจะไปเหลืออันใด?”

“แค่รอเฉย ๆ ก็พอ ไม่ถึงหนึ่งเค่อ สองคนนั้นจะต้องตกตายแน่นอน จากนั้นเราสองค่อยเก็บกู้คือแก่นวิญญาณของทหารที่จากไป ถึงยามนั้น …ทุกอย่างก็จะจบลงอย่างสมบูรณ์แบบ!”

เคราและเส้นผมของหลงไฮวไหวไปมา เจ้าตัวส่งเสียงหัวเราะซึ่งเต็มไปด้วยความอิ่มเอมใจดังลั่น

“นี่มัน…”

ใบหน้าของเว่ยหลานซีดเซียวด้วยความหวาดกลัว ร่างกายสั่นสะท้าน

ก่อนหน้านั้น ท้องทะเลพลันกลายเป็นวังวนกลืนกินสวรรค์ ลากความว่างเปล่าลงไปในทะเล หากก้าวไม่ระวัง อาจจะถูกฝังในทันที

ถึงแม้ตอนนี้จะรอดจากภัยพิบัติมาได้ แต่ในใจนางก็ยังคงหวาดกลัว

“ข้อจำกัดแห่งการลืมเลือน!”

ชายชราในชุดคลุมปักกล่าวเช่นนั้นออกมาจากริมฝีปากอย่างแผ่วเบา น้ำเสียงของเขาคลุมเครือ แม้จะเป็นคำพูดสั้น ๆ แต่ดูเหมือนกับมีน้ำหนักหนึ่งพันจิน เมื่อคำพูดหลุดออกมา เจ้าตัวตกอยู่ในสภาพสิ้นหวังทันที

“ข้อจำกัดแห่งการลืมเลือนหรือ? ข้อจำกัดแห่งการลืมเลือนคืออันใด?” ด้านหนึ่ง เว่ยเซียวเฟิงถามอย่างสนใจ แต่เขาไม่แตกตื่นหรือหวาดกลัว

“คนหนุ่มสาวมักโง่เขลา ไร้ความกลัวเกรง”

ชายชราสูดหายใจเข้า พยายามสงบสติตัวเอง จากนั้นกล่าวช้า ๆ บอกเล่าทุกสิ่งที่ล่วงรู้ให้คนทั้งสองได้ทราบ

หลังจากได้ฟัง เว่ยหลานแข็งทื่ออยู่กับที่ พึมพำว่า “แสดงว่า พวกเขาถึงคราวที่ต้องตายแล้วอย่างนั้นหรือ…”

แต่เว่ยเซียวเฟิงกลับกัดฟันแล้วกล่าวว่า “ข้อจำกัดแห่งการลืมเลือน! นี่คือข้อจำกัดอันทรงอานุภาพยิ่งที่จักรพรรดิยมโลกองค์ที่สามใช้ เพื่อกำราบและสังหารทวยเทพแลพุทธองค์ แต่ลูกน้องของราชาฉู่เจียง กลับใช้มันเพื่อจัดการกับผู้เยี่ยมยุทธ์เซียนปฐพีสองคนจากภพมนุษย์ วิธีการนี้…ช่างน่ารังเกียจยิ่งนัก มันคู่ควรกับชื่อเสียงอันรุ่งโรจน์ของค่ายกลนี้หรือ? น่ารังเกียจ! น่ารังเกียจสิ้นดี!”

ชายชราในชุดคลุมปักยิ้มแห้ง เขาย่อมมองออกว่าข้อจำกัดแห่งการลืมเลือนนี้ไม่สมบูรณ์ พลังของมันไม่น่ากลัวอย่างที่เล่าลือกันมา ทว่าก่อนหน้านี้ผู้เยี่ยมยุทธ์ทั้งสองจากภพมนุษย์ ได้สังหารคนของราชานรกองค์ที่สองไปมาก ดังนั้นการจัดการกับพวกเขาด้วยวิธีนี้ จะบอกว่าน่ารังเกียจได้อย่างไร?

“เฮ้อ น่าเสียดายที่ชายหญิงไร้เทียมทานสองคนนี้…” ชายชราในชุดคลุมปักถอนหายใจด้วยความเสียดายยิ่ง

บนภูเขาหมื่นกระแส หมู่เมฆเคลื่อนตัวอย่างอิสระ สายลมขุนเขาพัดผ่าน

ราชานรกองค์ที่สองจี้คังเอามือไพล่หลัง ยืนอยู่บนยอดเขาอย่างภาคภูมิ ชุดคลุมปลิวไสว มองดูทะเลทุกข์กว้างใหญ่ที่อยู่ไกลออกไป ตะวันและจันทราเวียนสลับขึ้นลงในดวงตาคู่นั้น สะท้อนภาพสวรรค์และโลก ราวกับกำลังทะลวงผ่านเก้าสวรรค์สิบปฐพี ไม่มีสิ่งใดเล็ดรอดสายตานี้ไปได้

“หลงไฮวผู้นี้ ช่างอาจหาญยิ่งนัก”

ผ่านไปสักพัก จี้คังพึมพำ บนใบหน้าผอมชราแปลกประหลาด มีความรู้สึกบางอย่างอยู่ ราวกับเขาประหลาดใจต่อ ‘ข้อจำกัดแห่งการลืมเลือน’

“เจ้าสหายน้อยน่าสงสารทั้งสอง สุดท้ายก็ย่างเข้าสู่ภูเขาหมื่นกระแสไม่สำเร็จ ราชาผู้นี้นับว่าเจ้าเป็นคู่ต่อสู้ที่มีศักยภาพ ถึงกระนั้นก็ประเมินพวกเขาสูงเกินไป…”

ขณะส่ายหน้า จี้คังสะบัดแขนเสื้อ หันหลังแล้วจากไป ไม่เหลียวแลอีก เขาคล้ายกับหมดกำลังใจเล็กน้อย

ภายในถ้ำกรงเทวะ ณ ภูเขาหมื่นกระแส

ในตอนนี้ ชิงซิ่วอี้ผู้กำลังนั่งขัดสมาธิอย่างเงียบงันพลันลืมตาที่กระจ่างใสขึ้นในความมืด

“เจ้ามาแล้วสินะ แต่เหตุใดจึงพาผู้หญิงมาด้วย?”

เสียงถอนหายใจเย็นชาและแจ่มชัดดังก้องในความมืด ในน้ำเสียงดังกล่าวเจือด้วยร่องรอยความหงุดหงิดที่หาได้ยาก แต่ก็มีความโล่งอกระคนยินดีรวมอยู่ด้วย

“เป็นตายแบ่งแยกได้หรือ? จี้คัง เจ้าเหมือนจะด่วนสรุปเกินไปหน่อยนะ…”

ผ่านไปสักพัก ชิงซิ่วอี้ผู้กำลังครุ่นคิดอยู่เนิ่นนาน หลับตาลงอีกครั้ง ก่อนที่ทุกสิ่งจะกลับสู่ความมืดอีกครา

—————————————

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท