บทที่ 989 พลังของราชาฉู่เจียง
บทที่ 989 พลังของราชาฉู่เจียง
เฉินซียืนอยู่เหนือทะเลทุกข์และครุ่นคิดอย่างลึกซึ้งเป็นเวลานาน ก่อนจะอดกลั้นต่อแรงกระตุ้นที่กดดันในใจของเขาได้ และไม่ได้มุ่งหน้าไปยังภูเขาหมื่นกระแสที่อยู่อีกฟากหนึ่งของทะเลทุกข์ในทันที
ยังมีเวลาอีกสามวัน
เขาต้องพักผ่อนและพักฟื้นอย่างเหมาะสม
การต่อสู้นองเลือดมากมายที่เขาประสบมาตั้งแต่เข้าสู่ทะเลทุกข์ในครั้งนี้ ทำให้ชายหนุ่มได้รับประโยชน์อย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาอยู่ในข้อจำกัดแห่งการลืมเลือน เขาได้รับคัมภีร์สยบสวรรค์แห่งการลืมเลือนมาโดยไม่คาดคิด จากนั้นจึงหลอมรวมเข้ากับมวลพลังจากผลึกทุกข์แห่งการลืมเลือนสี่สิบเก้าก้อน และทะลวงเข้าสู่ขอบเขตสมบูรณ์ในเต๋ารู้แจ้งแห่งการลืมเลือนในคราวเดียว!
ทำให้เฉินซีสามารถควบคุมข้อจำกัดแห่งการลืมเลือนโดยอาศัยสิ่งนี้ได้ จากนั้นจึงสังหารราชายักษาเหยียนถูและหลงไฮวได้อย่างง่ายดาย
โชคไม่ดีที่ข้อจำกัดแห่งการลืมเลือนได้รับความเสียหายอย่างมาก และถ้าไม่ใช่เพราะหลงไฮวเสียสละแก่นวิญญาณของผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีหนึ่งพันสามสิบสองคน มันคงไม่สามารถดึงพลังออกมาได้มากนัก
จนถึงเวลานี้ ข้อจำกัดสูงสุดที่จักรพรรดิยมโลกองค์ที่สามได้สร้างขึ้นด้วยตัวเองได้พังทลายลงแล้ว และไม่สามารถซ่อมแซมได้อีกต่อไป
เฉินซีอดไม่ได้ที่จะเสียใจ เพราะหากข้อจำกัดแห่งการลืมเลือนซ่อมแซมได้ เขาก็จะสามารถพึ่งพามันเพื่อต่อสู้กับราชาฉู่เจียงได้ และถึงขนาดที่ชายหนุ่มมั่นใจอย่างยิ่งว่าจะสามารถบดขยี้ราชาฉู่เจียงได้ที่นี่
‘ปารมิตา การพิพากษา การลืมเลือน… น่าเสียดายที่แม้ว่าข้าจะเข้าใจความลึกล้ำมากมาย แต่ข้าไม่สามารถทำสิ่งใดได้มากนัก เพราะการบ่มเพาะของข้ายังต่ำเกินไป หากข้าสู้กับราชาฉู่เจียง ข้าคงต้องพึ่งพาความช่วยเหลือจากหม้อใบจิ๋ว’
เฉินซีครุ่นคิดเป็นเวลานาน และอดไม่ได้ที่จะถามออกไปว่า “ผู้อาวุโส ราชาฉู่เจียงมีการบ่มเพาะขอบเขตเซียนทองคำ หากท่านต่อสู้กับเขา ท่านมั่นใจว่าจะเอาชนะเขาได้มากน้อยแค่ไหนขอรับ?”
หม้อใบจิ๋วเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวว่า “หากเป็นตัวข้าในยุครุ่งเรือง มันคงง่ายเหมือนการเป่าฝุ่น แต่ตอนนี้ข้าไม่มีความมั่นใจเลย”
เฉินซีตกตะลึง
แต่ก่อนเขาจะทันได้กล่าว หม้อใบจิ๋วก็กล่าวว่า “แต่ถ้าเป็นการช่วยเหลือเจ้าและผู้หญิงของเจ้า มันก็ไม่น่าจะมีปัญหาใด”
“ผู้อาวุโสฆ่าเขาไม่ได้หรือขอรับ?” เฉินซีรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย
“ราชานรกทั้งสิบต่างมีความเชื่อมโยงกับภพเซียนหรือภพพุทธองค์ ซึ่งสถานะของพวกเขาก็ยิ่งใหญ่กว่าเซียนทองคำเสียอีก ดังนั้นจึงประเมินความสามารถของพวกเขาต่ำเกินไปไม่ได้” หม้อใบจิ๋วตอบกลับ ก่อนจะกล่าวอะไรแปลก ๆ ออกมา “แต่บางทีสถานการณ์อาจดำเนินไปในทางที่ดีก็เป็นได้ ดังนั้นเราจะดำเนินไปตามสถานการณ์ จากการคาดเดาของข้า การเดินทางสู่ภูเขาหมื่นกระแสของเราครั้งนี้คงจะไม่สงบเป็นแน่แท้…”
ทันทีที่กล่าวจบ หม้อใบจิ๋วก็ตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง
เฉินซีตกใจมาก เขากังวลเพียงว่าจะสามารถสังหารราชาฉู่เจียงได้หรือไม่ และเขาไม่ได้สนใจแม้แต่น้อยว่า สถานการณ์จะดำเนินไปในทางที่ดีหรือไม่
“ช่างมันเถอะ ถึงอย่างไรก็ต้องพึ่งพาตนเองอยู่ดี!”
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เฉินซีก็สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ สายตาของเขากลับมาชัดเจนและแน่วแน่ จากนั้นเจ้าตัวก็นั่งขัดสมาธิกลางอากาศ ก่อนจะเริ่มทำสมาธิท่ามกลางความเงียบงัน
หลังจากเข้าใจความล้ำลึกของการลืมเลือนจนถ่องแท้แล้วในตอนนี้ ชายหนุ่มก็มีความรู้สึกคุ้นเคยกับทะเลทุกข์แห่งนี้ ประหนึ่งได้กลับคืนสู่อ้อมกอดของมารดา และเขาไม่ต้องกังวลกับอันตรายใด ๆ
ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว!
ทันทีที่เฉินซีนั่งขัดสมาธิ กองเรือของตระกูลเว่ยก็แล่นเข้ามา แต่พวกเขาไม่ได้เข้าใกล้เฉินซี เพียงอ้อมเป็นวงกลมขนาดใหญ่และแล่นผ่านชายหนุ่มไปแทน
บนเรือเหาะสมบัติ เว่ยหลาน เว่ยเซียวเฟิง ชายชราในชุดคลุมปักและคนรับใช้ของตระกูลเว่ยทั้งหมดต่างโค้งคำนับพร้อมกันในเวลานี้ พวกเขาโค้งคำนับต่อร่างสูงเงียบ ๆ ในระยะไกลเพื่อแสดงความขอบคุณและความเคารพ
เนื่องจากพวกเขาตระหนักดีว่า พวกตนคงไม่อาจข้ามทะเลทุกข์ได้ หากไม่ได้รับความช่วยเหลือจากเฉินซี
“ออกเดินทางกันเถอะ!” เว่ยหลานมองไปทางร่างนั้นจากระยะไกล ก่อนที่นางจะหายใจเข้าลึก ๆ แล้วสั่งให้กองเรือเดินหน้าต่อไป
“พี่หญิง สักวันหนึ่งข้าจะกลายเป็นตัวตนที่ไม่มีวันยอมรับความพ่ายแพ้เหมือนกับผู้อาวุโสคนนั้น!” เว่ยเซียวเฟิงที่อยู่ใกล้เคียงกำหมัดแน่น ในขณะที่ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น
เว่ยหลานกับชายชราต่างชำเลืองมองกันและกัน ในขณะที่พวกเขารู้สึกพึงพอใจอย่างมาก!
…เมื่อผู้เยาว์ที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะเริ่มทำตามเป้าหมายของตนเอง เขาก็อยู่ไม่ไกลจากความเป็นผู้ใหญ่
…
สองวันต่อมา
เฉินซีตื่นขึ้นจากการทำสมาธิ และสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ในขณะที่สายตาอันลึกล้ำของเขาเต็มไปด้วยกลิ่นอายอันน่าเกรงขาม
ในช่วงสองวันที่ผ่านมานี้ ชายหนุ่มได้ปรับสภาพจิตใจ พลังชีวิต และการบ่มเพาะของเขาให้อยู่ในสถานะสูงสุดแล้ว มันจึงใสกระจ่างดุจท้องฟ้าสีคราม และไม่มีระลอกความหวั่นไหวเลยแม้แต่น้อย
เขายืนขึ้นและคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจที่จะไม่รบกวนเป้ยหลิงที่ยังทำสมาธิอยู่
การต่อสู้ที่ดุเดือดเมื่อสองสามวันก่อน ไม่ใช่เรื่องปกติธรรมดาสำหรับเขา และมันเป็นการต่อสู้ที่ยากลำบากรวมถึงอันตรายที่สุด ซึ่งเป้ยหลิงเคยประสบมาตลอดชีวิตของนาง
ในตอนนั้น นางทุ่มสุดตัวและรีดเรี่ยวแรงสุดท้ายในร่างกายออกมา แต่คาดเดาได้ว่า หลังจากได้รับประสบการณ์การบ่มเพาะที่ไม่ธรรมดา การบ่มเพาะและพลังต่อสู้ของหญิงสาวจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่อย่างแน่นอน
ดังนั้นจึงเป็นการดีกว่าที่จะไม่รบกวนการบ่มเพาะของนางในขณะนี้ ถ้าเป้ยหลิงยังคงอยู่ในเจดีย์บำเพ็ญทุกข์ ตราบใดที่เฉินซียังมีชีวิตอยู่ ชีวิตของนางจะไม่ตกอยู่ในอันตรายเช่นกัน!
ฟิ้ว!
โดยไม่ชักช้าอีกต่อไป ร่างของเฉินซีก็หลอมรวมกับท้องฟ้าในชั่วพริบตาต่อมา จากนั้นเขาก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
อีกด้านหนึ่งของทะเลทุกข์เป็นภูมิภาคราชานรก มันกว้างใหญ่ไร้ขอบเขตและเต็มไปด้วยทรัพยากรมากมาย ซึ่งมีแนวชายฝั่งที่ทอดยาวออกไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
สิ่งที่โดดเด่นที่สุดในบรรดาสิ่งนี้คือ ภูเขาหมื่นกระแสอย่างไม่ต้องสงสัย
เทือกเขาที่สูงตระหง่านและสูงชันแห่งนี้ เป็นเหมือนยอดเขาที่ทอดไปสู่ท้องฟ้า มันสูงขึ้นหรือต่ำลงไปตามแนวชายฝั่ง และมีสีดำเหมือนหมึก ไม่ว่ายุคสมัยจะผ่านไปอย่างไร มันก็ยังคงไม่เคลื่อนไหว คอยแผ่กลิ่นอายอันสูงส่งและเคร่งขรึมที่ทำให้คนอื่นรู้สึกยุบยิบในหัวใจ
ตามตำนานว่ากันว่า ภูเขาหมื่นกระแสเป็นจุดบรรจบของสายน้ำทั้งหมดในภูมิภาคราชานรก และสายน้ำจำนวนมหาศาลก็ไหลลงสู่ทะเลทุกข์ผ่านทางนั้น เมื่อนานมาแล้ว เมื่อจักรพรรดิยมโลกองค์ที่สามยังคงเรืองอำนาจ ครั้งหนึ่งเขาเคยขึ้นไปบนภูเขาหมื่นกระแสและมองไปยังทะเลทุกข์อันไร้ขอบเขตจากระยะไกล ก่อนจะถอนหายใจด้วยความรู้สึกว่า สายน้ำมหาศาลได้ไหลมาบรรจบกับต้นกำเนิดของมัน เสมือนโลกได้รวมกันเป็นหนึ่งเดียว
แต่ภูเขาหมื่นกระแสในปัจจุบันได้กลายเป็นที่ประทับของราชานรกองค์ที่สอง ราชาฉู่เจียง และเป็นหนึ่งในสิบสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ยิ่งใหญ่ของภูมิภาคราชานรก นอกจากนี้ สถานะของมันยังสูงกว่าหกวิถีสังสารวัฏเสียด้วยซ้ำ
ท้องฟ้าปลอดโปร่งขณะที่เมฆหมอกเริ่มลอยขึ้น และลมภูเขาที่เย็นยะเยือกได้พัดผ่านภูเขาหมื่นกระแส ซึ่งยิ่งขับเน้นกลิ่นอายที่เย็นชาและอาฆาตเข้าไป
เมื่อเฉินซีมาถึงที่นี่ เขาจ้องมองภูเขาเพียงชั่วครู่ ก่อนที่จะพุ่งตรงไปยังยอดเขา
ในระหว่างนี้ ชายหนุ่มไม่พบเจอกับอุปสรรคใด และไม่ได้ปะทะกับข้อจำกัดใด ภูเขาหมื่นกระแสทั้งลูกดูจะเงียบงันอย่างยิ่ง
แต่ยิ่งเป็นแบบนี้ ยิ่งทำให้สีหน้าของเฉินซีตึงเครียดมากขึ้น
เพราะเขาทราบดีว่า การที่ภูเขาแห่งนี้ไม่ได้รับการปกป้อง ก็เป็นการประกาศเงียบ ๆ และชัดเจนว่า เจ้าของภูเขาแห่งนี้แข็งแกร่ง มั่นใจ และหยิ่งยโสเพียงใด ซึ่งอีกฝ่ายรังเกียจอย่างยิ่งที่จะใช้แผนการหรือเล่ห์เหลี่ยมเพื่อจัดการกับเฉินซี
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ราชาฉู่เจียงพร้อมที่จะบดขยี้เขาอย่างเปิดเผย!
เฉินซีเผชิญกับสิ่งเหล่านี้ด้วยความเงียบ ในขณะที่ร่างของเขาไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย และหลังจากนั้นไม่นาน ชายหนุ่มก็มาถึงยอดเขาหมื่นกระแส
มีเพียงหน้าผาขรุขระสูงชันและโดดเดี่ยวที่นี่ มันถูกโอบล้อมด้วยทะเลเมฆ ซึ่งเผยให้เห็นถึงความรู้สึกอ้างว้างออกมา
ร่างสูงผู้โดดเดี่ยวยืนอยู่บนหน้าผา
เขาสวมมงกุฎของจักรพรรดิ เสื้อผ้าสีดำเข้มที่ให้ความรู้สึกลึกล้ำ และมีใบหน้าผอมบาง มีท่าทีอันทรงพลังและเอามือไพล่หลังไว้ ขณะที่ยืนอยู่ตรงนั้นอย่างสบายอารมณ์ แต่ก็แผ่กลิ่นอายที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ซึ่งดูสูงส่งและสง่างามออกมา
เมื่อมองแวบแรก เฉินซีทราบอย่างชัดเจนว่าบุคคลนี้คือราชาฉู่เจียง จี้คัง! เพราะกลิ่นอายที่สง่างามของจักรพรรดิที่ควบคุมฟ้าดินหรือควบคุมจักรวาล ไม่สามารถปลอมแปลงกันได้
ฟิ้ว!
ในทันทีที่ร่างของเฉินซีปรากฏขึ้น จี้คังก็แหงนหน้าขึ้น และดูเหมือนว่าเขาจะคาดหวังการมาถึงเฉินซีตั้งแต่แรก สายตาที่สงบและไม่แยแสของเจ้าตัวจึงกวาดมองมา
“นี่มันสายตาเช่นไรกัน?”
“มันสะท้อนปรากฏการณ์ของฟ้าดิน การสลับวนระหว่างดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์และดวงดาว มันปกคลุมโลกทั้งใบและก่อตัวเป็นความลึกซึ้งที่ไม่อาจหยั่งรู้ได้นับไม่ถ้วน!”
ในทันทีที่ถูกดวงตานี้จ้องมอง ดวงวิญญาณของเฉินซีก็รู้สึกถูกกดขี่ และเขารู้สึกว่าร่างกายถูกมองทะลุผ่าน ทำให้ตัวเขาไม่มีความลับอีกต่อไป
ความรู้สึกนี้ทำให้หัวใจของเฉินซีสั่นสะท้าน และเขายิ่งตระหนักได้อย่างชัดเจนว่า จี้คังนั่นน่ากลัวเพียงใด
เซียนทองคำ!
นี่เป็นเซียนทองคำที่แท้จริงและไม่ใช่แค่ร่างอวตารเหมือนปิงซื่อเทียน ดังนั้นแรงกดดันและพลังที่อีกฝ่ายปลดปล่อยออกมาจึงเป็นธรรมชาติยิ่ง!
หากเปรียบร่างอวตารของปิงซื่อเทียนเป็นท่อนไม้มหึมาซึ่งเกินขอบเขตของภพมนุษย์แล้ว ราชาฉู่เจียง จี้คังก็เป็นต้นไม้มหึมาที่ตั้งตระหง่านปกคลุมท้องฟ้า ซึ่งหยั่งรากลึกลงในภพเซียนและยมโลก
เฉินซียืนอยู่ที่นั่น ในขณะที่ปราณเซียนในร่างกายของเขาสั่นสะเทือนและโคจรถึงขีดสุด พร้อมกับใช้ความระมัดระวังเป็นอย่างมาก เพราะด้วยวิธีนี้เท่านั้นที่ชายหนุ่มจะสามารถสลายพลังยับยั้งอันน่าสะพรึงกลัวที่มีอยู่ทุกหนทุกแห่งได้
“ฝีมือของเจ้าไม่เลวเลยจริง ๆ ไม่น่าแปลกใจที่เจ้าจะสามารถฆ่าร่างอวตารของปิงซื่อเทียนได้ หากเป็นเซียนปฐพีธรรมดาทั่วไป คงจะต้องคุกเข่าและยอมจำนนเมื่อพบข้า อีกทั้งยังไม่เหลือเจตนาที่จะต่อต้านข้าแม้แต่น้อย”
ราชาฉู่เจียงกล่าวอย่างเฉยเมย “แต่ในความคิดของราชาผู้นี้ เซียนปฐพีก็เป็นเพียงเซียนปฐพีอยู่วันยันค่ำ และเจ้าไม่สามารถต้านทานการโจมตีได้แม้แต่ครั้งเดียว หากเจ้าตั้งใจที่จะช่วยเหลือชิงซิ่วอี้ เจ้าจะไม่มีโอกาสประสบความสำเร็จเลยแม้แต่น้อย”
น้ำเสียงของเขาเรียบเฉยและไม่ได้มีอำนาจกดขี่เลยแม้แต่น้อย แต่ท่ามกลางความเงียบสงบนี้ มีกระแสพลังที่หนักหน่วงและควบแน่น ซึ่งถูกปลดปล่อยออกมาเหมือนกับเทพเจ้ากำลังประกาศประกาศิตของพระองค์ และทำให้คนอื่นไม่กล้าต่อต้าน
เฉินซีขมวดคิ้ว ก่อนจะกล่าวว่า “แต่ข้าอยากจะเห็นดูสักครั้ง ว่าจะรู้สึกอย่างไรที่ได้ฆ่าเซียนทองคำด้วยสองมือของข้าเอง”
ราชาฉู่เจียงส่ายศีรษะและยังคงเฉยเมย จากนั้นจึงกล่าวว่า “เนื่องจากเจ้าพยายามดิ้นรนให้เป็นอิสระจากข้อจำกัดแห่งการลืมเลือน ราชาผู้นี้จึงทราบดีว่า เพียงแค่คำพูดคงไม่สามารถเปลี่ยนความตั้งใจของเจ้าได้อย่างแน่นอน แต่เป็นเช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน แม้ว่าผู้ใต้บังคับบัญชาของข้าจะไร้ประโยชน์ แต่พวกเขาก็รับใช้ข้ามานานหลายปี ดังนั้นจำเป็นต้องฆ่าเจ้า เพื่อเป็นการแก้แค้นให้แก่พวกเขา”
เมื่อกล่าวมาถึงตรงนี้ จี้คังก็แหงนหน้าขึ้นมองเฉินซี ก่อนจะกล่าวว่า “ชิงซิ่วอี้ถูกขังไว้ในถ้ำกรงเทวะที่ใจกลางของภูเขาหมื่นกระแส หากเจ้าต้องการช่วยนาง ก็ต้องผ่านราชาผู้นี้ไปก่อน”
ทันทีที่กล่าวจบ เขาก็ไม่ได้เคลื่อนไหว แต่ทันใดนั้นกลับมีกลิ่นอายที่น่าสะพรึงกลัวแผ่ออกมา ซึ่งสั่นคลอนเมฆจนปั่นป่วนวุ่นวาย และทำให้ฟ้าดินเผยถึงสัญญาณว่าใกล้จะล่มสลาย
จี้คังในตอนนี้ดูจะกลายร่างเป็นเทพเจ้า เขาควบคุมฟ้าดินและรวมเข้ากับพลังชีวิตของตนเอง ทำให้ตัวคนเปล่งกลิ่นอายที่สง่างามและทรงพลังออกมา
เมื่ออยู่ต่อหน้าเขา ฟ้าดินและทุกสรรพสิ่งดูจะกลายเป็นมดตัวจ้อยที่ไร้พลัง พวกเขาทำได้เพียงยอมจำนนและไม่อาจต่อต้าน!
ทันใดนั้น เฉินซีรู้สึกว่าฟ้าดินและทุกสรรพสิ่งดูเหมือนจะทอดทิ้งเขา เนรเทศเขา และปฏิเสธเขาจากมหาเต๋า!