บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน – บทที่ 989 พลังของราชาฉู่เจียง

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 989 พลังของราชาฉู่เจียง

บทที่ 989 พลังของราชาฉู่เจียง

เฉินซียืนอยู่เหนือทะเลทุกข์และครุ่นคิดอย่างลึกซึ้งเป็นเวลานาน ก่อนจะอดกลั้นต่อแรงกระตุ้นที่กดดันในใจของเขาได้ และไม่ได้มุ่งหน้าไปยังภูเขาหมื่นกระแสที่อยู่อีกฟากหนึ่งของทะเลทุกข์ในทันที

ยังมีเวลาอีกสามวัน

เขาต้องพักผ่อนและพักฟื้นอย่างเหมาะสม

การต่อสู้นองเลือดมากมายที่เขาประสบมาตั้งแต่เข้าสู่ทะเลทุกข์ในครั้งนี้ ทำให้ชายหนุ่มได้รับประโยชน์อย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาอยู่ในข้อจำกัดแห่งการลืมเลือน เขาได้รับคัมภีร์สยบสวรรค์แห่งการลืมเลือนมาโดยไม่คาดคิด จากนั้นจึงหลอมรวมเข้ากับมวลพลังจากผลึกทุกข์แห่งการลืมเลือนสี่สิบเก้าก้อน และทะลวงเข้าสู่ขอบเขตสมบูรณ์ในเต๋ารู้แจ้งแห่งการลืมเลือนในคราวเดียว!

ทำให้เฉินซีสามารถควบคุมข้อจำกัดแห่งการลืมเลือนโดยอาศัยสิ่งนี้ได้ จากนั้นจึงสังหารราชายักษาเหยียนถูและหลงไฮวได้อย่างง่ายดาย

โชคไม่ดีที่ข้อจำกัดแห่งการลืมเลือนได้รับความเสียหายอย่างมาก และถ้าไม่ใช่เพราะหลงไฮวเสียสละแก่นวิญญาณของผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีหนึ่งพันสามสิบสองคน มันคงไม่สามารถดึงพลังออกมาได้มากนัก

จนถึงเวลานี้ ข้อจำกัดสูงสุดที่จักรพรรดิยมโลกองค์ที่สามได้สร้างขึ้นด้วยตัวเองได้พังทลายลงแล้ว และไม่สามารถซ่อมแซมได้อีกต่อไป

เฉินซีอดไม่ได้ที่จะเสียใจ เพราะหากข้อจำกัดแห่งการลืมเลือนซ่อมแซมได้ เขาก็จะสามารถพึ่งพามันเพื่อต่อสู้กับราชาฉู่เจียงได้ และถึงขนาดที่ชายหนุ่มมั่นใจอย่างยิ่งว่าจะสามารถบดขยี้ราชาฉู่เจียงได้ที่นี่

‘ปารมิตา การพิพากษา การลืมเลือน… น่าเสียดายที่แม้ว่าข้าจะเข้าใจความลึกล้ำมากมาย แต่ข้าไม่สามารถทำสิ่งใดได้มากนัก เพราะการบ่มเพาะของข้ายังต่ำเกินไป หากข้าสู้กับราชาฉู่เจียง ข้าคงต้องพึ่งพาความช่วยเหลือจากหม้อใบจิ๋ว’

เฉินซีครุ่นคิดเป็นเวลานาน และอดไม่ได้ที่จะถามออกไปว่า “ผู้อาวุโส ราชาฉู่เจียงมีการบ่มเพาะขอบเขตเซียนทองคำ หากท่านต่อสู้กับเขา ท่านมั่นใจว่าจะเอาชนะเขาได้มากน้อยแค่ไหนขอรับ?”

หม้อใบจิ๋วเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวว่า “หากเป็นตัวข้าในยุครุ่งเรือง มันคงง่ายเหมือนการเป่าฝุ่น แต่ตอนนี้ข้าไม่มีความมั่นใจเลย”

เฉินซีตกตะลึง

แต่ก่อนเขาจะทันได้กล่าว หม้อใบจิ๋วก็กล่าวว่า “แต่ถ้าเป็นการช่วยเหลือเจ้าและผู้หญิงของเจ้า มันก็ไม่น่าจะมีปัญหาใด”

“ผู้อาวุโสฆ่าเขาไม่ได้หรือขอรับ?” เฉินซีรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย

“ราชานรกทั้งสิบต่างมีความเชื่อมโยงกับภพเซียนหรือภพพุทธองค์ ซึ่งสถานะของพวกเขาก็ยิ่งใหญ่กว่าเซียนทองคำเสียอีก ดังนั้นจึงประเมินความสามารถของพวกเขาต่ำเกินไปไม่ได้” หม้อใบจิ๋วตอบกลับ ก่อนจะกล่าวอะไรแปลก ๆ ออกมา “แต่บางทีสถานการณ์อาจดำเนินไปในทางที่ดีก็เป็นได้ ดังนั้นเราจะดำเนินไปตามสถานการณ์ จากการคาดเดาของข้า การเดินทางสู่ภูเขาหมื่นกระแสของเราครั้งนี้คงจะไม่สงบเป็นแน่แท้…”

ทันทีที่กล่าวจบ หม้อใบจิ๋วก็ตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง

เฉินซีตกใจมาก เขากังวลเพียงว่าจะสามารถสังหารราชาฉู่เจียงได้หรือไม่ และเขาไม่ได้สนใจแม้แต่น้อยว่า สถานการณ์จะดำเนินไปในทางที่ดีหรือไม่

“ช่างมันเถอะ ถึงอย่างไรก็ต้องพึ่งพาตนเองอยู่ดี!”

หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เฉินซีก็สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ สายตาของเขากลับมาชัดเจนและแน่วแน่ จากนั้นเจ้าตัวก็นั่งขัดสมาธิกลางอากาศ ก่อนจะเริ่มทำสมาธิท่ามกลางความเงียบงัน

หลังจากเข้าใจความล้ำลึกของการลืมเลือนจนถ่องแท้แล้วในตอนนี้ ชายหนุ่มก็มีความรู้สึกคุ้นเคยกับทะเลทุกข์แห่งนี้ ประหนึ่งได้กลับคืนสู่อ้อมกอดของมารดา และเขาไม่ต้องกังวลกับอันตรายใด ๆ

ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว!

ทันทีที่เฉินซีนั่งขัดสมาธิ กองเรือของตระกูลเว่ยก็แล่นเข้ามา แต่พวกเขาไม่ได้เข้าใกล้เฉินซี เพียงอ้อมเป็นวงกลมขนาดใหญ่และแล่นผ่านชายหนุ่มไปแทน

บนเรือเหาะสมบัติ เว่ยหลาน เว่ยเซียวเฟิง ชายชราในชุดคลุมปักและคนรับใช้ของตระกูลเว่ยทั้งหมดต่างโค้งคำนับพร้อมกันในเวลานี้ พวกเขาโค้งคำนับต่อร่างสูงเงียบ ๆ ในระยะไกลเพื่อแสดงความขอบคุณและความเคารพ

เนื่องจากพวกเขาตระหนักดีว่า พวกตนคงไม่อาจข้ามทะเลทุกข์ได้ หากไม่ได้รับความช่วยเหลือจากเฉินซี

“ออกเดินทางกันเถอะ!” เว่ยหลานมองไปทางร่างนั้นจากระยะไกล ก่อนที่นางจะหายใจเข้าลึก ๆ แล้วสั่งให้กองเรือเดินหน้าต่อไป

“พี่หญิง สักวันหนึ่งข้าจะกลายเป็นตัวตนที่ไม่มีวันยอมรับความพ่ายแพ้เหมือนกับผู้อาวุโสคนนั้น!” เว่ยเซียวเฟิงที่อยู่ใกล้เคียงกำหมัดแน่น ในขณะที่ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น

เว่ยหลานกับชายชราต่างชำเลืองมองกันและกัน ในขณะที่พวกเขารู้สึกพึงพอใจอย่างมาก!

…เมื่อผู้เยาว์ที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะเริ่มทำตามเป้าหมายของตนเอง เขาก็อยู่ไม่ไกลจากความเป็นผู้ใหญ่

สองวันต่อมา

เฉินซีตื่นขึ้นจากการทำสมาธิ และสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ในขณะที่สายตาอันลึกล้ำของเขาเต็มไปด้วยกลิ่นอายอันน่าเกรงขาม

ในช่วงสองวันที่ผ่านมานี้ ชายหนุ่มได้ปรับสภาพจิตใจ พลังชีวิต และการบ่มเพาะของเขาให้อยู่ในสถานะสูงสุดแล้ว มันจึงใสกระจ่างดุจท้องฟ้าสีคราม และไม่มีระลอกความหวั่นไหวเลยแม้แต่น้อย

เขายืนขึ้นและคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจที่จะไม่รบกวนเป้ยหลิงที่ยังทำสมาธิอยู่

การต่อสู้ที่ดุเดือดเมื่อสองสามวันก่อน ไม่ใช่เรื่องปกติธรรมดาสำหรับเขา และมันเป็นการต่อสู้ที่ยากลำบากรวมถึงอันตรายที่สุด ซึ่งเป้ยหลิงเคยประสบมาตลอดชีวิตของนาง

ในตอนนั้น นางทุ่มสุดตัวและรีดเรี่ยวแรงสุดท้ายในร่างกายออกมา แต่คาดเดาได้ว่า หลังจากได้รับประสบการณ์การบ่มเพาะที่ไม่ธรรมดา การบ่มเพาะและพลังต่อสู้ของหญิงสาวจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่อย่างแน่นอน

ดังนั้นจึงเป็นการดีกว่าที่จะไม่รบกวนการบ่มเพาะของนางในขณะนี้ ถ้าเป้ยหลิงยังคงอยู่ในเจดีย์บำเพ็ญทุกข์ ตราบใดที่เฉินซียังมีชีวิตอยู่ ชีวิตของนางจะไม่ตกอยู่ในอันตรายเช่นกัน!

ฟิ้ว!

โดยไม่ชักช้าอีกต่อไป ร่างของเฉินซีก็หลอมรวมกับท้องฟ้าในชั่วพริบตาต่อมา จากนั้นเขาก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย

อีกด้านหนึ่งของทะเลทุกข์เป็นภูมิภาคราชานรก มันกว้างใหญ่ไร้ขอบเขตและเต็มไปด้วยทรัพยากรมากมาย ซึ่งมีแนวชายฝั่งที่ทอดยาวออกไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

สิ่งที่โดดเด่นที่สุดในบรรดาสิ่งนี้คือ ภูเขาหมื่นกระแสอย่างไม่ต้องสงสัย

เทือกเขาที่สูงตระหง่านและสูงชันแห่งนี้ เป็นเหมือนยอดเขาที่ทอดไปสู่ท้องฟ้า มันสูงขึ้นหรือต่ำลงไปตามแนวชายฝั่ง และมีสีดำเหมือนหมึก ไม่ว่ายุคสมัยจะผ่านไปอย่างไร มันก็ยังคงไม่เคลื่อนไหว คอยแผ่กลิ่นอายอันสูงส่งและเคร่งขรึมที่ทำให้คนอื่นรู้สึกยุบยิบในหัวใจ

ตามตำนานว่ากันว่า ภูเขาหมื่นกระแสเป็นจุดบรรจบของสายน้ำทั้งหมดในภูมิภาคราชานรก และสายน้ำจำนวนมหาศาลก็ไหลลงสู่ทะเลทุกข์ผ่านทางนั้น เมื่อนานมาแล้ว เมื่อจักรพรรดิยมโลกองค์ที่สามยังคงเรืองอำนาจ ครั้งหนึ่งเขาเคยขึ้นไปบนภูเขาหมื่นกระแสและมองไปยังทะเลทุกข์อันไร้ขอบเขตจากระยะไกล ก่อนจะถอนหายใจด้วยความรู้สึกว่า สายน้ำมหาศาลได้ไหลมาบรรจบกับต้นกำเนิดของมัน เสมือนโลกได้รวมกันเป็นหนึ่งเดียว

แต่ภูเขาหมื่นกระแสในปัจจุบันได้กลายเป็นที่ประทับของราชานรกองค์ที่สอง ราชาฉู่เจียง และเป็นหนึ่งในสิบสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ยิ่งใหญ่ของภูมิภาคราชานรก นอกจากนี้ สถานะของมันยังสูงกว่าหกวิถีสังสารวัฏเสียด้วยซ้ำ

ท้องฟ้าปลอดโปร่งขณะที่เมฆหมอกเริ่มลอยขึ้น และลมภูเขาที่เย็นยะเยือกได้พัดผ่านภูเขาหมื่นกระแส ซึ่งยิ่งขับเน้นกลิ่นอายที่เย็นชาและอาฆาตเข้าไป

เมื่อเฉินซีมาถึงที่นี่ เขาจ้องมองภูเขาเพียงชั่วครู่ ก่อนที่จะพุ่งตรงไปยังยอดเขา

ในระหว่างนี้ ชายหนุ่มไม่พบเจอกับอุปสรรคใด และไม่ได้ปะทะกับข้อจำกัดใด ภูเขาหมื่นกระแสทั้งลูกดูจะเงียบงันอย่างยิ่ง

แต่ยิ่งเป็นแบบนี้ ยิ่งทำให้สีหน้าของเฉินซีตึงเครียดมากขึ้น

เพราะเขาทราบดีว่า การที่ภูเขาแห่งนี้ไม่ได้รับการปกป้อง ก็เป็นการประกาศเงียบ ๆ และชัดเจนว่า เจ้าของภูเขาแห่งนี้แข็งแกร่ง มั่นใจ และหยิ่งยโสเพียงใด ซึ่งอีกฝ่ายรังเกียจอย่างยิ่งที่จะใช้แผนการหรือเล่ห์เหลี่ยมเพื่อจัดการกับเฉินซี

กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ราชาฉู่เจียงพร้อมที่จะบดขยี้เขาอย่างเปิดเผย!

เฉินซีเผชิญกับสิ่งเหล่านี้ด้วยความเงียบ ในขณะที่ร่างของเขาไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย และหลังจากนั้นไม่นาน ชายหนุ่มก็มาถึงยอดเขาหมื่นกระแส

มีเพียงหน้าผาขรุขระสูงชันและโดดเดี่ยวที่นี่ มันถูกโอบล้อมด้วยทะเลเมฆ ซึ่งเผยให้เห็นถึงความรู้สึกอ้างว้างออกมา

ร่างสูงผู้โดดเดี่ยวยืนอยู่บนหน้าผา

เขาสวมมงกุฎของจักรพรรดิ เสื้อผ้าสีดำเข้มที่ให้ความรู้สึกลึกล้ำ และมีใบหน้าผอมบาง มีท่าทีอันทรงพลังและเอามือไพล่หลังไว้ ขณะที่ยืนอยู่ตรงนั้นอย่างสบายอารมณ์ แต่ก็แผ่กลิ่นอายที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ซึ่งดูสูงส่งและสง่างามออกมา

เมื่อมองแวบแรก เฉินซีทราบอย่างชัดเจนว่าบุคคลนี้คือราชาฉู่เจียง จี้คัง! เพราะกลิ่นอายที่สง่างามของจักรพรรดิที่ควบคุมฟ้าดินหรือควบคุมจักรวาล ไม่สามารถปลอมแปลงกันได้

ฟิ้ว!

ในทันทีที่ร่างของเฉินซีปรากฏขึ้น จี้คังก็แหงนหน้าขึ้น และดูเหมือนว่าเขาจะคาดหวังการมาถึงเฉินซีตั้งแต่แรก สายตาที่สงบและไม่แยแสของเจ้าตัวจึงกวาดมองมา

“นี่มันสายตาเช่นไรกัน?”

“มันสะท้อนปรากฏการณ์ของฟ้าดิน การสลับวนระหว่างดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์และดวงดาว มันปกคลุมโลกทั้งใบและก่อตัวเป็นความลึกซึ้งที่ไม่อาจหยั่งรู้ได้นับไม่ถ้วน!”

ในทันทีที่ถูกดวงตานี้จ้องมอง ดวงวิญญาณของเฉินซีก็รู้สึกถูกกดขี่ และเขารู้สึกว่าร่างกายถูกมองทะลุผ่าน ทำให้ตัวเขาไม่มีความลับอีกต่อไป

ความรู้สึกนี้ทำให้หัวใจของเฉินซีสั่นสะท้าน และเขายิ่งตระหนักได้อย่างชัดเจนว่า จี้คังนั่นน่ากลัวเพียงใด

เซียนทองคำ!

นี่เป็นเซียนทองคำที่แท้จริงและไม่ใช่แค่ร่างอวตารเหมือนปิงซื่อเทียน ดังนั้นแรงกดดันและพลังที่อีกฝ่ายปลดปล่อยออกมาจึงเป็นธรรมชาติยิ่ง!

หากเปรียบร่างอวตารของปิงซื่อเทียนเป็นท่อนไม้มหึมาซึ่งเกินขอบเขตของภพมนุษย์แล้ว ราชาฉู่เจียง จี้คังก็เป็นต้นไม้มหึมาที่ตั้งตระหง่านปกคลุมท้องฟ้า ซึ่งหยั่งรากลึกลงในภพเซียนและยมโลก

เฉินซียืนอยู่ที่นั่น ในขณะที่ปราณเซียนในร่างกายของเขาสั่นสะเทือนและโคจรถึงขีดสุด พร้อมกับใช้ความระมัดระวังเป็นอย่างมาก เพราะด้วยวิธีนี้เท่านั้นที่ชายหนุ่มจะสามารถสลายพลังยับยั้งอันน่าสะพรึงกลัวที่มีอยู่ทุกหนทุกแห่งได้

“ฝีมือของเจ้าไม่เลวเลยจริง ๆ ไม่น่าแปลกใจที่เจ้าจะสามารถฆ่าร่างอวตารของปิงซื่อเทียนได้ หากเป็นเซียนปฐพีธรรมดาทั่วไป คงจะต้องคุกเข่าและยอมจำนนเมื่อพบข้า อีกทั้งยังไม่เหลือเจตนาที่จะต่อต้านข้าแม้แต่น้อย”

ราชาฉู่เจียงกล่าวอย่างเฉยเมย “แต่ในความคิดของราชาผู้นี้ เซียนปฐพีก็เป็นเพียงเซียนปฐพีอยู่วันยันค่ำ และเจ้าไม่สามารถต้านทานการโจมตีได้แม้แต่ครั้งเดียว หากเจ้าตั้งใจที่จะช่วยเหลือชิงซิ่วอี้ เจ้าจะไม่มีโอกาสประสบความสำเร็จเลยแม้แต่น้อย”

น้ำเสียงของเขาเรียบเฉยและไม่ได้มีอำนาจกดขี่เลยแม้แต่น้อย แต่ท่ามกลางความเงียบสงบนี้ มีกระแสพลังที่หนักหน่วงและควบแน่น ซึ่งถูกปลดปล่อยออกมาเหมือนกับเทพเจ้ากำลังประกาศประกาศิตของพระองค์ และทำให้คนอื่นไม่กล้าต่อต้าน

เฉินซีขมวดคิ้ว ก่อนจะกล่าวว่า “แต่ข้าอยากจะเห็นดูสักครั้ง ว่าจะรู้สึกอย่างไรที่ได้ฆ่าเซียนทองคำด้วยสองมือของข้าเอง”

ราชาฉู่เจียงส่ายศีรษะและยังคงเฉยเมย จากนั้นจึงกล่าวว่า “เนื่องจากเจ้าพยายามดิ้นรนให้เป็นอิสระจากข้อจำกัดแห่งการลืมเลือน ราชาผู้นี้จึงทราบดีว่า เพียงแค่คำพูดคงไม่สามารถเปลี่ยนความตั้งใจของเจ้าได้อย่างแน่นอน แต่เป็นเช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน แม้ว่าผู้ใต้บังคับบัญชาของข้าจะไร้ประโยชน์ แต่พวกเขาก็รับใช้ข้ามานานหลายปี ดังนั้นจำเป็นต้องฆ่าเจ้า เพื่อเป็นการแก้แค้นให้แก่พวกเขา”

เมื่อกล่าวมาถึงตรงนี้ จี้คังก็แหงนหน้าขึ้นมองเฉินซี ก่อนจะกล่าวว่า “ชิงซิ่วอี้ถูกขังไว้ในถ้ำกรงเทวะที่ใจกลางของภูเขาหมื่นกระแส หากเจ้าต้องการช่วยนาง ก็ต้องผ่านราชาผู้นี้ไปก่อน”

ทันทีที่กล่าวจบ เขาก็ไม่ได้เคลื่อนไหว แต่ทันใดนั้นกลับมีกลิ่นอายที่น่าสะพรึงกลัวแผ่ออกมา ซึ่งสั่นคลอนเมฆจนปั่นป่วนวุ่นวาย และทำให้ฟ้าดินเผยถึงสัญญาณว่าใกล้จะล่มสลาย

จี้คังในตอนนี้ดูจะกลายร่างเป็นเทพเจ้า เขาควบคุมฟ้าดินและรวมเข้ากับพลังชีวิตของตนเอง ทำให้ตัวคนเปล่งกลิ่นอายที่สง่างามและทรงพลังออกมา

เมื่ออยู่ต่อหน้าเขา ฟ้าดินและทุกสรรพสิ่งดูจะกลายเป็นมดตัวจ้อยที่ไร้พลัง พวกเขาทำได้เพียงยอมจำนนและไม่อาจต่อต้าน!

ทันใดนั้น เฉินซีรู้สึกว่าฟ้าดินและทุกสรรพสิ่งดูเหมือนจะทอดทิ้งเขา เนรเทศเขา และปฏิเสธเขาจากมหาเต๋า!

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท